จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 877 คนคุ้นเคยทั้งนั้น
หลินหยุนมองเขาแวบเดียวแล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “ฆ่าพวกแกแล้ว ฉันกลัวเลอะมือฉันเปล่าๆ”
หวางโส่วเหรินโกรธจนสีหน้าบึ้งตึง แต่ก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับหลินหยุนอีก
แต่ว่า กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขาพวกนั้น กลับทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
มีชายหนุ่มตระกูลหวางคนหนึ่งพูดอย่างเยาะเย้ยว่า “ฮื่อ ไม่กล้าก็บอกมาเลยว่าไม่กล้า ทำไมต้องพูดให้ตัวเองดูดีแบบนี้ด้วย!”
“ฆ่าพวกฉันแล้ว แกก็รอให้กองทัพทหารจีนมาถล่มแกก็แล้วกัน!”
ชายหนุ่มอีกคนก็ออกมาพูดอย่างเย้ยเหยียนว่า “ก็นั่นนะสิ หลินหยุนแกก็ลองฆ่าสักคนให้พวกเราดูหน่อย”
หลินหยุนมองหน้าเขาแวบเดียว ก็จำได้ว่าเป็นจางจื่อเห้า
เขาเป็นเพื่อนนักเรียนตอนมัธยมปลายของหลินหยุน ตั้งแต่ที่อยู่บ้านของอันซิน หลังจากหลินหยุนเคยตบหน้าเขาไปแรงๆหนึ่งที แล้วก็ไม่ได้พบหน้าเขามานานอีกแล้ว
หลินหยุนแทบจะลืมคนคนนี้ไปแล้ว
ดูเหมือนว่า เพื่อโจมตีตัวเองแล้ว หวางเซิ่งเฉียนลงทุนลงแรงไปมากเลย
“เป็นยังไงล่ะ? มองอะไร ไม่รู้จักฉันเหรอ? เพื่อนนักเรียนเก่าแก่ไง ความจำของแกก็แย่มากไปหน่อยนะ!” จางจื่อเห้าสีหน้ายโสโอหัง สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
คราวก่อนอยู่ที่บ้านอานซินนั้น หลินหยุนไม่เพียงแต่ตบหน้าเขาต่อหน้าเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หลังจากนั้น ทำให้เขาต้องขัดใจกับไอ้หน้าบากเฉียงเพราะสาเหตุเรื่องนี้ แล้วถูกไอ้หน้าบากเฉียงกระทืบอย่างแรงอีกด้วย
ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงชีวิตที่มืดมิดที่สุดของจางจื่อเห้าเลยทีเดียว
ก็เป็นเพราะช่วงชีวิตนั้นของเขา ทำให้จางจื่อเห้าแอบสาบานในใจกับตัวเองว่า ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ จะต้องแก้แค้นหลินหยุนให้ได้ ทวงหนี้แค้นที่หลินหยุนทำกับเขาทุกอย่างกลับคืนมาเป็นเท่าตัว
เพียงแต่ว่า เมื่อเขาได้ยินจากปากของเพื่อนนักเรียนด้วยกันว่า หลินหยุนได้เป็นปรมาจารย์หลินไปแล้ว เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่มีโอกาสอีกแล้ว อาจไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว
แต่ว่า จู่ๆมีอยู่วันหนึ่ง คนของตระกูลหวางก็มาหาเขา
ตอนนั้นสำหรับจางจื่อเห้าแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เลยทีเดียว
ในสายตาของจางจื่อเห้าแล้ว ตระกูลหวางราวกับเป็นเทพเจ้ามาโปรด ถูกคัดเลือกจากตระกูลหวาง อีกทั้งยังให้มาจัดการกับหลินหยุนอีกด้วย จางจื่อเห้าก็ต้องยินยอมร้อยเปอร์เซ็นต์
ตอนนี้ เมื่อหลินหยุนเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้น จางจื่อเห้าก็อดรนทนไม่ไหวที่จะรีบเผยตัวออกมาจัดการกับหลินหยุนทันที
หลินหยุนกวาดสายตามองเขาอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “ดูไปแล้ว แกลืมเหตุการณ์ตอนนั้นเร็วไปหน่อยนะ”
“ถึงเวลาที่ควรจะทำให้แกจดจำให้นานกว่านี้แล้ว”
สีหน้าจางจื่อเห้าโหดเหี้ยม “หลินหยุน ตอนนั้นแกทำลายชีวิตฉันยับเยินไปหมด ตอนนี้ กรรมตามสนองแล้ว คิดไม่ถึงสิว่าแกก็มีวันนี้!”
“แกดูแกสิมีตาหามีแววไม่ ถึงกับไปลบหลู่ตระกูลหวางเข้าให้!”
“ตอนนี้ ถึงแม้แกพอมีฝีมืออยู่บ้างนิดหน่อย แต่ว่าเมื่อเทียบกับตระกูลหวางล่ะก็ แกก็เหมือนมดตัวเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ตระกูลหวางที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แค่บีบมือเล็กน้อยก็บี้แกให้ตายคามือได้แล้ว”
“ตอนนี้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปของแม่แกถูกบีบจนไม่มีทางไปอีกแล้ว แกจะทำอะไรได้ล่ะ? ใช้กำลังบู๊ของแกทำร้ายคนหรือ? แกกล้าหรือ?”
จางจื่อเห้าหน้าตาเหมือนคนบ้าคลั่ง พูดเยาะเย้ยเสียดสีหลินหยุนอย่างเต็มที่ ราวกับว่าอยากจะระบายความอัดอั้นตันใจในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดออกมาที่ตัวหลินหยุนทีเดียวเลย
ในเวลานี้เอง ก็มีสาวสวยแต่งตัวเซ็กซี่คนหนึ่ง เดินมาอยู่ข้างๆจางจื่อเห้า
ใบหน้าของหญิงสาวแฝงไปด้วยสีหน้าที่อ่อนแอนิ่มนวล ทำให้คนรู้สึกอดไม่ได้ที่จะเข้าไปปกป้องเธอ
หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นเลย เป็นกิ๊กเก่าของหลินหยุน เถียนชุ่ยชุ่ยนั่นเอง
เถียนชุ่ยชุ่ยไม่ได้ไปร่วมงานพิธีเปิดชางฉองกรุ๊ปกับตระกูลเหยียนสองพ่อลูก แต่กลับถูกหวางเซิ่งเฉียนเรียกให้มาอยู่ที่สำนักงานใหญ่บริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
ก็เพื่อที่จะรอให้หลินหยุนปรากฏตัวออกมา แล้วใช่เธอมาโจมตีหลินหยุนนั่นเอง
ข้างกายของเถียนชุ่ยชุ่ย ยังมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งตามหลังมาด้วย ชายหนุ่มคนนั้นหน้าตาก็ธรรมดามาก มืออันอ่อนช้อยของเถียนชุ่ยชุ่ยข้างหนึ่ง ก็คล้องแขนของเขาเอาไว้ด้วย
สีหน้าของเถียนชุ่ยชุ่ยตอนนี้นิ่งเฉยมาก มองดูหลินหยุนอย่างเงียบๆ แต่ว่า ความภูมิใจที่แสดงออกทางสายตาเป็นใครก็ย่อมรับรู้ได้
“หลินหยุน ครั้งแรกที่ได้ยินว่าคุณคือปรมาจารย์หลินนั้น ฉันตกใจมากจริงๆเลย!”
“ตอนนั้นฉันก็กำลังคิดว่า คนห่วยแตกอย่างคุณจะเป็นปรมาจารย์หลินไปได้ยังไงกัน?” “หลังจากที่นักบู๊พวกนั้นได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว ฉันก็เข้าใจแล้วว่า ที่แท้แล้วปรมาจารย์หลินที่พูดถึงนั้น ก็เป็นเพียงนักบู๊คนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ต่อจากนั้น คุณก็อาศัยพลังบู๊อันน้อยนิดของคุณ ก่อกรรมทำเข็ญสร้างศัตรูไปทั่ว สำหรับเรื่องราวของคุณ ฉันได้ยินมามากแล้ว แต่กลับไม่มีเรื่องที่ดีเลยสักเรื่องเดียว ล้วนเป็นข่าวคราวที่คุณใช้กำลังบู๊ไปรังแกคนอื่นทั้งนั้น”
“ตอนนี้ คุณไม่ควรไปยุ่งกับคนที่ไม่สมควรยุ่งด้วย ด้วยพลังบู๊อันน้อยนิดของคุณ ในสายตาคนอื่น อาจไม่แน่ว่ามันจิ๊บจ๊อยมากจนไม่อยากพูดถึงเลย”
“เพื่อนฝูงของคุณ พวกจางซือจู่พวกนั้น บอกว่าฉันมีตาไร้แววไม่ใช่เหรอ? เสียดายพวกเขาไม่ได้มาด้วย ถ้าพวกเขาได้มาเห็นเหตุการณ์วันนี้แล้ว พวกเขาก็จะได้รู้ซะทีว่า ใครที่มีตาไร้แววกันแน่”
“ฉันโชคดีมากที่ตัดขาดจากคุณไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว วันนี้ฉันก็คงต้องรับเคราะห์เพราะคุณ”
“ฉันขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือเพื่อนชายของฉัน หวางชิงอวิ๋น ญาติห่างๆของตระกูลหวางที่เป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่”
“เมื่อเทียบกับปรมาจารย์อย่างคุณ แข็งแกร่งกว่ากันมากเลย!”
“ใช่แล้ว คุณอาจจะยังไม่รู้นะว่า ตระกูลของฉินโส่วเพื่อนคุณคนนั้น ตอนนี้จวนจะถูกตระกูลเหยียนฮุบไปหมดแล้ว” เถียนชุ่ยชุ่ยสีหน้าราวกับคนถ่อยได้ปลื้ม
ตอนนี้ ด้านข้างก็มีคนกระโดดออกมาอีกคน
ถึงกับเป็นคู่อริเก่าของหลินหยุน เว่ยเทียนหมิง
คนนี้เป็นลูกชายของรองประธานเว่ย เคยถูกหลินหยุนกระทืบหลายครั้งแล้ว จนไม่กล้าคิดต่อสู้อีก มิหนำซ้ำในใจก็ยังคงมีเงามืดของหลินหยุนตามหลอนอยู่อีกด้วย
ตอนนี้ เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหวาง เพื่อมาเป็นศัตรูกับหลินหยุนอีกครั้งหนึ่ง
“ฉันจะบอกข่าวแกอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงแต่ตระกูลเหยียนเท่านั้น แม้แต่ตระกูลอีแห่งเจียงหนาน ก็ยังเดือดร้อนเพราะแกเลย ตอนนี้เกรงว่าคงถูกตระกูลป๋ายฮุบไปหมดแล้ว”
“ใช่แล้ว ตระกูลป๋ายแห่งเจียงหนานแกก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้างนะ แกยังจำในงานวันเกิดของอีหลิง ที่แกไปทำร้ายสองพี่น้องตระกูลป๋ายได้ไหม? แกยังไปทำลายวรยุทธ์ของป๋ายยุ่ยเหวินอีกด้วย”
“แต่ว่า คนอย่างแกไม่เคยสนใจความเป็นความตายของคนอื่นอยู่แล้ว อาจไม่แน่แกคงลืมมันไปนานแล้วล่ะ!”
“เพียงแต่ว่า ตอนนี้ก็คือตระกูลป๋ายนั่นก็ได้ยึดตระกูลอีไปแล้ว”
เถียนชุ่ยชุ่ยหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาที่ได้แก้แค้นสำเร็จ “หลินหยุน ได้ยินแล้วยังล่ะ! มีอีกคนแล้วที่ถูกคุณทำให้เดือดร้อน คุณนี่เป็นตัวซวยจริงๆเลย!”
หวางซูเฟินและฉินหลันต่างก็เคยได้ยินชื่อของตระกูลอีมาก่อน อย่างน้อยชื่อเสียงอันโด่งดังของคุณอีแห่งเจียงหนาน ก็เคยได้ยินคำร่ำลือมาก่อน
อีกทั้ง ตอนที่ตระกูลหลินจัดงานปีใหม่นั้น อีหยุ่นก็ยังพาอีหลินมาร่วมงานปีใหม่ด้วย
“คิดไปถึงว่า แม้แต่ตระกูลอีก็ยังเดือดร้อนเพราะพวกเราเลย!”
“อำนาจบารมีของตระกูลอีแข็งแกร่งขนาดนั้น ก็คงมีแต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลหวางจึงจะสั่นคลอนเขาได้”
หวางซูเฟินรู้สึกหมดหดหู่เล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะต้องเสียบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปไปก็ไม่เป็นไร แต่ว่า ถ้าเป็นเพราะเธอที่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
ฉินหลันก็รู้สึกเสียใจบ้างเล็กน้อย พูดด้วยเสียงตึงเครียดว่า “อำนาจอิทธิพลของตระกูลหวางแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ เพียงแต่เสียดายตระกูลอี!”
หลินหยุนกวาดสายตาไปยังเถียนชุ่ยชุ่ยและเว่ยเทียนหมิงอย่างเรียบๆ แล้วหันหน้ากลับมาพูดกับหวางซูเฟินว่า“แม่ไม่ต้องเป็นกังวล ทั้งตระกูลอีและตระกูลฉินต่างก็ไม่เป็นไรเลย”
เถียนชุ่ยชุ่ยก็รีบพูดเยาะเย้ยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “หลินหยุน จนป่านนี้แล้ว คุณยังจะรักษาหน้าตัวเองอยู่อีก คุณกำลังโกหกแม่คุณอยู่หรือ? หรือว่าเจตนาที่จะพูดปลอบโยนเธอกันแน่?”
“คิดไม่ถึงเลยว่า ปรมาจารย์หลินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงตอนนี้ก็ยังได้แต่พูดเล่นลิ้นไปวันๆ น่าอนาถจัง!”
สี่หน้าเถียนชุ่ยชุ่ยยิ้มเยาะเย้ยอย่างสะใจบนความทุกข์ของคนอื่น
หลินหยุนไม่ได้สนใจเถียนชุ่ยชุ่ยเลย สายตามองไปยังหวางเซิ่งเฉียน พูดอย่างเรียบๆว่า “จูงสุนัขของแกกลับไปได้แล้ว อย่าปล่อยให้มาเห่าอยู่แถวนี้ มันหนวกหู”
หวางเซิ่งเฉียนพูดเยาะเย้ยว่า “หลินหยุน แกก็ได้แต่เห่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? นอกจากพูดคุยโวอวดเก่งแล้ว แกยังทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปตอนนี้ก็จนตรอกแล้ว ปรมาจารย์หลินอย่างแก เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“รู้สึกยังไม่ยอมแพ้สิ ใช่มั๊ย? โกรธมากเหรอ? แต่ว่าแกก็ไม่กล้าลงมืออยู่ดี”
“หลินหยุน แกนี่ไร้ค่าจริงๆ ฉันดูถูกแกมากเลย”