จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 879 ลงโทษสถานเบา
ต่อให้หวางซูเฟินตอนนี้ได้สมหวังดังปรารถนาแล้วก็ตาม แต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้น บาดแผลที่ถูกคนใกล้ชิดที่สุดในครอบครัวทำร้ายนั้น กลับยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจไม่รู้ลืมตลอดไป
ก็เหมือนกับความแค้นที่สะสมมาหลายสิบปี เมื่อถึงเวลาได้แก้แค้นแล้ว หันหลังกลับไปมองอีกที ก็พบว่าคนใกล้ชิดก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว เหลือแต่ตัวเองคนเดียวที่โดดเดี่ยวเดียวดายเพียงลำพังเท่านั้น
หลังจากที่ปลาบปลื้มยินดีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่และเคว้งคว้างเปล่าเปลี่ยว
สภาพจิตใจของหวางซูเฟินตอนนี้ ก็เป็นลักษณะเช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทางของหวางซูเฟินล่องลอยเช่นนั้น ฉินหลันรู้สึกเป็นห่วง จึงได้กระซิบถามอยู่ข้างหลังว่า “ผู้อำนวยการ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
หวางซูเฟินหันหน้ามายิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไร”
“เสี่ยวหยุน ขอบคุณนะ!” คำพูดของหวางซูเฟินนี้ กลั่นออกมาจากใจจริงๆ ถึงแม้หลินหยุนจะเป็นลูกชายของเธอก็จริง เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดจาเกรงใจเช่นนี้
แต่ว่า หวางซูเฟินก็ยังอยากจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย “แม่ครับจะมาเกรงใจอะไรผมล่ะ”
หวางซูเฟินพูดว่า “ชางฉองกรุ๊ปนั้น ให้ลูกเป็นคนรับผิดชอบเหมือนเดิมจะดีกว่าไหม? แม่ครับแล้ว ไม่เหมาะสมหรอก”
หลินหยุนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “มีแต่แม่เท่านั้นที่สามารถนำพาชางฉองกรุ๊ป ก้าวไปให้ไกลยิ่งขึ้นได้ ผมไม่ค่อยสนใจทำธุรกิจเท่าไหร่ แม่ก็น่าจะรู้ดี”
ท่าทีหลินหยุนมุ่งมั่นมาก
หวางซูเฟินยังอยากจะปฏิเสธอีก แต่ฉินหลันพูดเตือนว่า “ผู้อำนวยการคะ คุณก็ตกลงไปเถอะค่ะ เสี่ยวหยุนไม่เหมาะสำหรับทำการค้าจริงๆ!”
“อีกอย่างหนึ่ง ถ้าบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปต้องการจะหลุดพ้นจากสถานะภาพตอนนี้ละก็ ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือของชางฉองกรุ๊ปอีกด้วย”
หวางซูเฟินมองไปยังฉินหลัน ฉินหลันก็พยักหน้าให้กำลังใจเธอ
หวางซูเฟินจึงตอบตกลงว่า “ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นฉันก็รับชางฉองกรุ๊ปเอาไว้ก็แล้วกัน”
“ไม่ทราบว่าทุกท่านที่นี่มีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” สายตาของหวางซูเฟินก็หันไปมอง พวกซูจื่อเหลียงที่อยู่ข้างหลัง
อีหยุ่นยิ้มแล้วพูดว่า: “ตั้งแต่ที่พวกเราเข้าร่วมเป็นสมาชิกของชางฉองกรุ๊ปเป็นต้นมา ก็เป็นลูกน้องของชางฉองกรุ๊ปแล้ว สำหรับการตัดสินใจของปรมาจารย์หลิน พวกเราน้อมรับเสมอ”
เจี่ยงสงก็พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า: “ผู้อำนวยการหวางครับ ชื่อเสียงของคุณในวงการธุรกิจเมืองจีนนั้น พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดี หากว่าท่านสามารถเป็นผู้นำชางฉองกรุ๊ปได้ ผมจะยกมือทั้งสองข้างสนับสนุนเลย”
ควีนจินพูดว่า: “ผู้อำนวยการหวางคะ ในแวดวงการธุรกิจด้วยกันนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครอยู่เหนือคุณได้เลยค่ะ”
“ดังนั้นการตัดสินใจของปรมาจารย์หลิน ฉลาดหลักแหลมมากค่ะ ”
“อึม พวกเราก็สนับสนุนผู้อำนวยการหวางรับช่วงมาบริหารชางฉองกรุ๊ปด้วย”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วย อีกทั้ง เมื่อเทียบกับหลินหยุนที่ดูแลรับผิดชอบชางฉองกรุ๊ปแล้ว ทุกคนก็ยิ่งคาดหวังที่จะให้หวางซูเฟินเป็นคนรับช่วงดูแลต่อมากกว่า
อย่างน้อยหลินหยุนก็เป็นได้แค่เจ้าของแต่ในนามเท่านั้นเอง อีกทั้งเขาไม่รู้จักการบริหารงานธุรกิจอีกด้วย
แต่หวางซูเฟินกลับไม่เหมือนกัน เมื่ออดีตนั้นหวางซูเฟินลำพังคนเดียว นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นจากศูนย์เลยทีเดียว ที่สามารถก่อตั้งบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปที่ใหญ่โตขึ้นมาได้
พรสวรรค์ด้านการทำธุรกิจเช่นนี้ ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในนั้น ต่างก็รู้ตัวดีว่ายังไม่สามารถทำได้เลย
อีกทั้งหวางซูเฟินก็เป็นแม่ของหลินหยุน หวางซูเฟินรับช่วงมาดูแลชางฉองกรุ๊ปแล้ว หลินหยุนก็จะต้องคอยปกป้องคุ้มครองชางฉองกรุ๊ปอย่างแน่นอน
เช่นนี้แล้ว ชางฉองกรุ๊ปก็จะสามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงดั่งขุนเขา
พลังบู๊ของหลินหยุน ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้ ส่วนพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจของหวางซูเฟิน ก็เป็นที่หาได้ยากยิ่ง
ถ้าสามารถทำให้หวางซูเฟินเป็นผู้นำของชางฉองกรุ๊ปได้ หลินหยุนก็จะคอยปกป้องดูแลชางฉองกรุ๊ปด้วยพละกำลังของเขาเอง ซึ่งเป็นการรวมจุดแข็งทั้งสองด้านเข้าด้วยกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นนี้แล้ว ชางฉองกรุ๊ปอีกไม่นานก็จะต้องโด่งดังไปทั่วประเทศจีนอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้น ต่อให้สี่ตระกูลใหญ่ร่วมมือกันได้ ก็คงได้แต่อยู่ใต้อุ้งเท้าของชางฉองกรุ๊ปเท่านั้นเอง
หวางซูเฟินไม่คิดเลยว่า คนใหญ่คนโตที่เมื่อก่อนเธอเคยได้แต่แหงนมองจำนวนมากมายเช่นนี้ ตอนนี้ถึงกับมาสนับสนุนเธอแล้ว
อีกทั้ง จากสายตาที่พวกเขามองมานั้น หวางซูเฟินสามารถมองออกว่า พวกเขาสนับสนุนด้วยความจริงใจ
ถึงแม้หวางซูเฟินเข้าใจดีว่า สาเหตุครึ่งหนึ่งเป็นเพราะมาจากหลินหยุนก็ตาม แต่ว่าเขาก็ยังต้องขอบคุณทุกคนเช่นกัน
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณทุกท่านเลยค่ะ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นต่อจากนี้ไปพวกเราทุกคน ก็จับมือไปด้วยกัน ร่วมมือทำงานเพื่อนำไปสู่ชัยชนะด้วยกัน”
“ดี!”
ทุกคนต่างก็ตอบรับด้วยความเต็มใจ
เมื่อหวางโส่วเหรินมองเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว สีหน้าบูดบึ้งจนน่ากลัว
หันหน้าไปมองหวางเซิ่งเฉียน แล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า “ยังไม่ไปอีก? หรือว่าจะรอให้คนอื่นมาไล่พวกเราก่อนล่ะ?”
หวางเซิ่งเฉียนยิ้มด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “มันก็ไม่ธรรมดาจริงๆเลยนะ ปรมาจารย์หลินนี่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคู่แข่งของฉันได้จริงๆ”
“ฉันคิดว่าคราวนี้เขาต้องตายแน่นอน ถ้าเขาใช้กำลังบู๊ละก็ ฉันก็จะมีข้ออ้างบีบบังคับให้ประธานาธิบดีจัดการกับเขา”
“ถ้าเขาไม่ใช้กำลังบู๊แล้ว งั้นบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปก็ต้องหายสาบสูญไปแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่า เขาถึงกับใช้วิธีนี้มาแก้ไขปัญหาการโจมตีของฉัน สนุกดีนะ”
หวางโส่วเหรินขมวดคิ้วแล้วมองดูหวางเซิ่งเฉียน ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าในสมองของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ตอนนี้เห็นอยู่ว่าพ่ายแพ้แล้ว เขายังดูเหมือนดีใจได้ขนาดนี้
“ต่อจากนี้ไป นายเป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”
“ชางฉองกรุ๊ปมาแรงมาก ในโลกมโนธรรมสามารถอยู่เหนือพวกเราตระกูลหวางแล้ว”
“ถึงแม้พวกเขายังไม่สามารถทำให้ตระกูลหวางสั่นคลอนได้ก็จริง แต่ว่าต่อไปพวกเราก็ไม่มีทางที่จะไปข่มขู่พวกเขาได้อีกแล้ว”
“ดังนั้น ต่อไปนี้สิ่งที่นายจะต้องเผชิญหน้าไม่เพียงแค่บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเท่านั้น ยังรวมไปถึงชางฉองกรุ๊ปที่แข็งแกร่งกว่าบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเป็นรอยเท่าอีกด้วย”
สีหน้าของหวางเซิ่งเฉียนยังคงมีรอยยิ้มที่แปลกประหลาดเช่นเดิม “อารองวางใจเถอะ มันก็แค่ชางฉองกรุ๊ปเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ? ฉันยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตาเลย”
“การสู้กันครั้งนี้ ถือว่าพวกเขาชนะไป”
“แต่ว่าหนังดีเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง”
พอพูดจบ หวางเซิ่งเฉียนและหวางโส่วเหรินหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
“หยุดนะ พวกคุณคิดจะไปกันง่ายๆอย่างนี้เหรอ?” หลินหยุนถามอย่างเรียบๆ
หวางโส่วเหรินและหวางเซิ่งเฉียนหันหน้ากลับมา หวางโส่วเหรินพูดด้วยเสียงเข้มว่า “แกคิดจะทำอะไร? หรือว่าแกยังอยากให้พวกเราอยู่ต่ออีกหรือไง?”
หวางเซิ่งเฉียนพูดเยาะเย้ยอยู่ข้างๆว่า “ต่อให้แกคิดจะให้พวกเราอยู่ต่อ แกจะกล้าเหรอ?”
หวางซูเฟินสีหน้าตกใจ รีบพูดเตือนว่า “เสี่ยวหยุน อย่าเพิ่งวู่วาม!”
“คราวนี้ พวกเขาก็พ่ายแพ้ไปแล้ว”
หลินหยุนส่งสายตาไปยังหวางซูเฟินเพื่อให้วางใจ จากนั้นก็หันหน้าไปมองหวางเซิ่งเฉียนแล้วพูดว่า “ฉันไม่คิดอยากจะให้พวกแกอยู่ต่อหรอก แต่ก็จะไม่ปล่อยให้พวกแกกลับออกไปได้ง่ายๆอย่างนี้”
“ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องทิ้งอะไรบางอย่างไว้บ้าง”
พอพูดจบ ร่างของหลินหยุนก็ปลดปล่อยพลังแรงกดดันที่แข็งแกร่งออกมา
นั่นเป็นพลังแรงกดดันที่มาจากจิตวิญญาณโดยตรง ก็เหมือนกับเป็นพลังแรงกดดันโดยกำเนิดของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีต่อสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั่นเอง
ภายในห้องโถงนั้น พวกผู้คนที่ตระกูลหวางพามาทั้งหมดนั้น ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนก็รู้สึกเหม่อลอยไม่ได้สติ ต่างก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลินหยุนโดยพร้อมเพรียงกัน
แม้แต่หวางโส่วเหริน ก็ยังคงยืนหยัดได้เพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น แต่ก็ต้องคุกเข่าลงตรงหน้าหลินหยุนด้วยสีหน้าที่หวาดผวา
มีเพียงแต่หวางเซิ่งเฉียนเท่านั้น ถึงแม้ว่าสีหน้าซีดขาว แต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะยืนต่อไปได้
ภายในห้องโถงใหญ่นั้น หวางซูเฟินและกลุ่มคนในชางฉองกรุ๊ปทั้งหลาย เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ ต่างก็แตกตื่นตกใจจนอ้าปากค้าง
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า พวกเขาเดาออกว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของหลินหยุนอย่างแน่นอน
นอกจากพลังความสามารถที่ล้ำเลิศขั้นเทพของหลินหยุนแล้ว ยังจะมีใครสามารถทำได้เช่นนี้อีก?
หลินหยุนสองมือไขว้หลัง เดินไปตรงหน้ากลุ่มคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สุดท้ายแล้ว หลินหยุนก็มายืนอยู่ตรงหน้าหวางเซิ่งเฉียน
“แกคิดว่า แกจะยืนหยัดอยู่ได้อีกนานไหม?”
เมื่อพูดจบ หลินหยุนก็ปล่อยพลังกดดันที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมออกมาอีกครั้ง
หวางเซิ่งเฉียนรู้สึกแต่เพียงว่าเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ทับลงมาบนตัวเขาอย่างแรง
สีหน้าเขาเริ่มแดงขึ้น มุมปากก็มีรอยเลือดซึมออกมา
แต่ว่า เขากลับยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคงเช่นเดิม
หลินหยุนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ถ้าดูตามพลังความสามารถตอนนี้ของหวางเซิ่งเฉียนแล้ว พลังแรงที่เขาปลดปล่อยออกมานั้น หวางเซิ่งเฉียนไม่มีทางที่จะต้านรับไว้ได้อย่างแน่นอน
ดูไปแล้ว ในตัวของหวางเซิ่งเฉียนนั้น น่าจะต้องมีความลับอะไรแอบแฝงอยู่
แต่ว่าหลินหยุนก็ไม่อยากจะไปสืบเสาะว่าในตัวของหวางเซิ่งเฉียนมีของดีอะไรอยู่กันแน่ สิ่งที่เขาต้องการก็คือ เพียงแค่จะให้หวางเซิ่งเฉียนคนพวกนี้หลาบจำไปให้นานที่สุด
“คราวนี้ นับว่าเป็นการลงโทษสถานเบาเท่านั้น คราวหน้าถ้ายังมายุ่งกับฉันอีก คงไม่ได้ ง่ายดายอย่างนี้อีกแล้ว”
“ถึงเวลานั้น ในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถช่วยพวกแกได้อีก”
“ไสหัวไป!”