จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 884 ฉันรับปากคุณ
หลินหยุนยื่นมือออกไปกลางอากาศ มีพลังที่แสนอบอุ่นแรงหนึ่ง พยุงตัวโม่จือมิ่งให้ลุกขึ้นยืน
โม่จือมิ่งในใจรู้สึกช็อก การใช้พลังแรงผ่านทางอากาศสามารถยกคนที่มีน้ำหนักขึ้นมาได้ นี่ยังล้ำเลิศกว่าการหยิบของผ่านทางอากาศในตำนานที่ร่ำลือกันถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว!
สายตาที่โม่จือมิ่งมองดูหลินหยุน ก็รู้สึกนับถือยำเกรงมากยิ่งขึ้น
โม่จือมิ่งไม่กล้าขัดใจหลินหยุน จึงได้ลุกขึ้นมาตามพลังแรงนั้น แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าหลินหยุนอย่างนอบน้อม
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “ตอนนี้คุณก็เป็นคนของชางฉองกรุ๊ปของฉันแล้ว มีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนี้”
ในใจโม่จือมิ่งรู้สึกดีใจมาก คำพูดนี้หมายความว่าหลินหยุนได้เห็นเขาเป็นคนกันเองแล้ว!
หลังจากนั้น โม่จือมิ่งก็มีความกล้ามากขึ้น จึงโค้งคำนับหลินหยุนอีกครั้งแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หลินครับ ผมอยากจะขอให้คุณเป็นตัวแทนหุบเขาเทพยาไปร่วมแข่งขันในงานประชุมกลั่นยาครั้งนี้ครับ!”
งานประชุมกลั่นยา!
เรียกว่างานประชุมกลั่นยา แท้จริงแล้วก็คือนักกลั่นยาทั้งหลายรวมตัวกันมาโชว์ฝีมือ แล้วประลองระดับมาตรฐานการกลั่นยาของใครจะสูงกว่ากัน
ในโลกบำเพ็ญเซียนที่หลินหยุนอยู่นั้น ก็มีการจัดงานเช่นนี้ขึ้นเหมือนกัน
แต่ว่า ตัวโม่จือมิ่งเองกลับไม่ไปลงแข่งด้วย กลับให้เขาเป็นตัวแทนหุบเขาเทพยาเข้าร่วมแข่งขัน ดูไปแล้วโม่จือมิ่งคนนี้ก็เห็นแก่ความสำคัญของชื่อเสียงเหมือนกัน!
หลินหยุนมองดูโม่จือมิ่ง ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่โม่จือมิ่งกลับรับรู้ได้ว่าในใจของหลินหยุนไม่ค่อยพอใจนัก
โม่จือมิ่งรีบอธิบายว่า “ปรมาจารย์หลิน ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ผมขอให้ท่านเป็นตัวแทนหุบเขาเทพยาเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในงานประลองการกลั่นยาครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าชื่อเสียงของตระกูลโม่เรา แต่มีเรื่องลำบากใจที่สุดวิสัยจริงๆ”
หลินหยุนมองดูเขา ไม่ได้พูดอะไร นั่งรอฟังต่อไปอย่างเงียบๆ
โม่จือมิ่งดูเหมือนว่ายากที่จะพูดออกจากปากได้ ลังเลอยู่สักครู่ใหญ่ จึงได้กัดฟันพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมออกมาว่า “เรื่องนี้เป็นความลับของหุบเขาเทพยา และก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าที่สุดของหุบเขาเทพยาอีกด้วย หุบเขาเทพยาปกปิดเรื่องนี้มาตลอด มีคนที่รู้เรื่องอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”
โม่จือมิ่งพูดด้วยสีหน้าที่กำลังรำลึกความหลังว่า “ตอนนั้น ตระกูลพวกเราครอบครองหุบเขาเทพยา ได้รับการยกย่องเชิดชูจากคนทั่วๆไป แม้แต่คนในโลกบู๊ก็ยังเคารพนับถือตระกูลโล่เราเป็นอย่างมาก”
“แต่ว่าในโลกบู๊โบราณนั้น ก็ยังมีตระกูลกลั่นยาอีกตระกูลหนึ่งที่แข่งขันกับพวกเราตระกูลโม่มาหลายร้อยปีแล้ว ตระกูลป๋ายหลี่”
“สำนักยาตันของตระกูลป๋ายหลี่อยู่ในโลกบู๊โบราณ ก็มีฐานะเทียบเท่ากับหุบเขาเทพยาพวกเราเช่นกัน พวกเราสองตระกูลได้ต่อสู้กันมานับเกินร้อยปีแล้ว ไม่เคยมีใครแพ้ใครชนะกันเลย”
“แต่ว่าหลังจากนั้น ผู้มีฝีมือของหุบเขาเทพยาก็ค่อยๆลดน้อยถอยลง จนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักยาตันอีกแล้ว จนถึงเมื่อหกปีที่แล้ว หุบเขาเทพยาพวกเราก็ได้ปรากฏอัจฉริยะล้ำเลิศคนหนึ่งขึ้นมา คนในโลกกลั่นยาตั้งชื่อให้ว่าเทพธิดาซูม่านม่าน”
หลินหยุนไม่ได้ถามอะไรเลย เขารู้สึกว่าเทพธิดาซูม่านม่านคนนี้ปรากฏขึ้นที่หุบเขาเทพยาแล้ว เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้ว ตอนนั้นที่เขาอยู่หุบเขาเทพยาทำไมจึงไม่เคยเห็นหน้าเทพธิดาคนนี้เลย
และจริงอย่างที่ว่า โม่จือมิ่งพูดต่อไปอีกว่า “หลังจากที่ชื่อเสียงของเทพธิดาโด่งดังมากยิ่งขึ้น เมื่อสำนักยาตันก็ได้ข่าวเรื่องนี้แล้ว สำนักยาตันย่อมไม่ยอมที่จะให้มีอัจฉริยะล้ำเลิศเช่นนี้ปรากฏอยู่ในหุบเขาเทพยาอย่างแน่นอน”
“เพียงแต่ว่าในเวลานั้น โลกบู๊โบราณยังมีข้อตกลงกับโลกมโนธรรมที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ในฐานะที่สำนักยาตันอยู่ในโลกบู๊โบราณ จึงไม่กล้าที่จะทำอะไรกับหุบเขาเทพยาพวกเราอย่างเปิดเผย”
เพื่อพูดถึงตรงนี้ โม่จือมิ่งก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย สีหน้าแสดงความโกรธออกมา
จากนั้นโม่จือมิ่งก็สูดลมหายใจลึกๆ พูดด้วยเสียงสูงต่อไปว่า “สำนักยาตันไม่กล้าจู่โจมหุบเขาเทพยาพวกเราโดยตรง ดังนั้น พวกเขาจึงได้วางกับดักไว้ในงานประชุมกลั่นยาที่จัดขึ้นสี่ปีครั้งหนึ่ง!”
“ในงานประชุมกลั่นยาในปีนั้น คนของสำนักยาตัน ก็พยายามหยามเกียรติพวกเราอย่างไร้เหตุผลมาโดยตลอด พวกเราก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักยาตัน ดังนั้นจึงได้อดกลั้นมาโดยตลอด”
“แต่ว่าจนปัญญาที่พวกเขาพยายามบีบบังคับ ในที่สุดคนของพวกเราก็อดรนทนไม่ไหว สุดท้ายแล้วก็ตกลงรับคำท้าประลองกับสำนักยาตัน ผลที่ได้รับคุณก็น่าจะเดาออกแล้ว พวกเราพ่ายแพ้ให้กับสำนักยาตันอย่างหมดท่า ทำให้ขายหน้าในโลกกลั่นยาจนหมดสิ้น”
“ถ้าหากเป็นเพียงแค่ขายหน้าในงานประชุมกลั่นยาเท่านั้น ก็เป็นเพราะว่าหุบเขาเทพยามีความสามารถสู้คนอื่นไม่ได้ พวกเราก็ยอมรับได้”
“แต่ว่า สำนักยาตันก็แอบส่งคนมายั่วยวนเทพธิดาของหุบเขาเทพยาพวกเรา”
“เดิมทีคิดว่าเทพธิดาจะสำนึกบุญคุณของหุบเขาเทพยาพวกเรา จะต้องไม่ทรยศหักหลังหุบเขาเทพยาพวกเราอย่างแน่นอน แต่ว่า ไม่คิดเลยว่าเทพธิดานั้นไม่เพียงแต่ทรยศหักหลังหุบเขาเทพยาพวกเราแล้ว ยังขโมยของล้ำค่าประจำหุบเขาเทพยาพวกเรา บันทึกเตากลั่นยา ไปด้วย เพื่อเอาไปเป็นของขวัญในการขอสวามิภักดิ์ต่อสำนักยาตัน!”
“ตอนนั้นพี่ชายของผมก็โกรธมาก ด่าทอเทพธิดาซูม่านม่านว่าเป็นคนอกตัญญู คิดอยากจะแย่งชิง ตำราบันทึกเตากลั่นยา กลับคืนมา แต่ว่าก็ไม่มีกำลังความสามารถพอ จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้ อีกทั้งยังถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่อัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงของหุบเขาเทพยา มิหนำซ้ำยังเอามาเป็นข้อคติเตือนใจของหุบเขาเทพยา เพื่อจะได้เตือนคนรุ่นหลังว่า ขอเพียงให้มีโอกาสก็จะต้องแย่งชิงบันทึกเตากลั่นยานี้กลับคืนมาให้ได้”
“ตอนนี้เห็นว่างานประชุมกลั่นยาที่สี่ปีจัดขึ้นครั้งหนึ่งจวนจะเริ่มขึ้นแล้ว ในประเทศจีนเราก็ได้เกิดอัจฉริยะล้ำเลิศอย่างปรมาจารย์หลินเช่นนี้ขึ้นมา”
“ดังนั้นผมจึงใคร่ขอร้องให้ปรมาจารย์หลินออกหน้า ช่วยพวกเราหุบเขาเทพยาเข้าร่วมแข่งขันงานประชุมกลั่นยาครั้งนี้ จะได้แย่งชิงตำราบันทึกเตากลั่นยาจากมือของสำนักยาตันกลับคืนมา!”
เมื่อเห็นหลินหยุนก็ยังไม่พูดจาอะไร โม่จือมิ่งก็รู้สึกใจเสีย: “ปรมาจารย์หลินต้องขออภัยที่ผมไร้มารยาท เป็นเพราะผมกลัวพลาดโอกาสครั้งนี้ไปจริงๆ แล้วก็จะไม่สามารถเอาบันทึกเตากลั่นยานี้กลับคืนมาได้อีกตลอดกาล”
เมื่อได้ยินเรื่องที่โม่จือมิ่งเล่ามา หลินหยุนก็รู้สึกว่าสำนักยาตันถึงแม้จะทำเกินไปก็จริง แต่เทพธิดาคนนั้นยิ่งเลวทรามต่ำช้ากว่าอีก
“ผมรับปากคุณ จะช่วยคุณชิงเอา บันทึกเตากลั่นยา กลับมาให้ได้ แต่ว่าคุณแน่ใจแล้วหรือว่า คนของสำนักยาตันจะไปร่วมแข่งขันในงานประชุมกลั่นยาครั้งนี้ด้วย?” หลินหยุนถาม
โม่จือมิ่งดีใจมาก ตื่นเต้นจนใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็สั่นไปหมด แล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หลินวางใจเถอะ สำนักยาตันตอนนี้เป็นพลังอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลั่นยา ส่วนงานประชุมกลั่นยาที่จัดขึ้นสี่ปีครั้งหนึ่งนั้น ฝ่ายที่จัดงานนี้จะต้องเป็นฝ่ายที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในโลกกลั่นยาเท่านั้น ดังนั้นสำนักยาตันก็จะต้องไปอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะต้องยอมรับการท้าประลองจากพลังอำนาจภายนอกอีกด้วย” โม่จือมิ่งพูดอย่างหน้าอกมั่นใจ
หลินหยุนพนักหน้า “งั้นก็ดีแล้ว”
“งานประชุมกลั่นยาเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ?” หลินหยุนถาม
โม่จือมิ่งพูดว่า: “สามวันหลังจากนี้ จะจัดขึ้นที่เมืองตันโจว”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “งั้นดีแล้ว พวกเราก็รออีกสามวันก็แล้วกัน พอดีฉันต้องการจะหาสมุนไพรบางอย่างในหุบเขาเทพยาด้วย”
โม่จือมิ่งพูดอย่างนอบน้อมว่า “งั้นผมจะให้คนไปเปิดคลังยาไว้ให้ ปรมาจารย์หลินต้องการอะไรก็ไปเลือกได้เต็มที่เลยครับ”
“ได้” หลินหยุนก็ไม่เกรงใจ ถึงแม้ว่าโม่จือมิ่งเป็นเจ้าหุบเขาเทพยาในนามก็จริง แต่เจ้าของหุบเขาเทพยาที่แท้จริงก็คือหลินหยุนนั่นเอง
หลินหยุนมาถึงคลังยาหุบเขาเทพยา แต่ว่าเขาได้ค้นหาทั่วคลังยาแล้ว ก็ยังไม่สามารถหาสมุนไพรที่เขาต้องการพวกนั้นได้เลย
“ดูไปแล้ว ชี่ทิพย์ในโลกนี้ก็ยังคงมีอยู่น้อยมาก ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมุนไพรที่ต้องการหล่อเลี้ยงจากชี่ทิพย์ฟ้าดินเลย”
เมื่อเห็นหลินหยุนไม่สามารถหาสมุนไพรที่ตัวเองต้องการแล้ว โม่จือมิ่งจึงพูดปลอบใจว่า “ปรมาจารย์หลินอย่าได้ร้อนใจไปเลย ต่อให้ไม่มีในหุบเขาเทพยา ถ้าไปงานประชุมกลั่นยาครั้งนี้ อาจไม่แน่จะมีสมุนไพรที่คุณต้องการก็ได้”
“อย่างน้อย งานประชุมกลั่นยาได้เจริญมาจนถึงทุกวันนี้ ก็กลายเป็นตลาดซื้อขายโอสถที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งไปแล้ว มีพ่อค้าและนักขายอิสระจำนวนมาก ก็จะเอาของที่ตัวเองไม่ได้ใช้มาขายที่นี่ด้วย”
“อีกทั้งยังมีคำพูดอย่างหนึ่งที่ว่า ในงานประชุมกลั่นยา มีแต่สิ่งที่คุณคิดไม่ถึง ไม่มีอะไรที่คุณซื้อไม่ได้”
เมื่อฟังคำแนะนำของโม่จือมิ่งแล้ว หลินหยุนก็รู้สึกสนใจงานประชุมกลั่นยานี้มากขึ้น
แน่นอนที่ว่าไม่ได้สนใจกับวิชากลั่นยาของคนเหล่านั้น แต่สนใจในงานประชุมกลั่นยาครั้งนี้จะมีสมุนไพรที่ตัวเองต้องการหรือไม่
หลินหยุนก็รออยู่ที่หุบเขาเทพยาสองวัน เมื่อถึงเช้าวันที่สาม ทั้งสองคนก็ออกเดินทางทันที
การจัดงานประชุมกลั่นยาที่เมืองตันโจวครั้งนี้ จัดขึ้นที่เมืองชายแดนทางด้านทิศตะวันตกแห่งหนึ่งในประเทศจีน
แต่ว่า งานประชุมกลั่นยาไม่ได้จัดขึ้นในเขตตัวเมือง แต่จัดขึ้นที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
หมู่บ้านนั้นมีชื่อว่า หมู่บ้านตันโจว