จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 885 หมู่บ้านตันโจว
หมู่บ้านตันโจว เป็นหมู่บ้านห่างไกลความเจริญที่อยู่ใกล้ภูเขาใหญ่แห่งหนึ่ง
เป็นเพราะว่าการคมนาคมที่นี่ไม่สะดวก ผู้คนในหมู่บ้านนี้ ก็แทบจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกจนหมดแล้ว นานวันเข้า ทั้งหมู่บ้านแทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อีกเลย
แต่ว่า ก็เป็นเพราะว่าที่นี่ห่างไกลความเจริญ อีกทั้งยังอยู่ใกล้ภูเขาใหญ่ ดังนั้น ที่นี่จึงกลายเป็นจุดศูนย์รวมสำหรับนักกลั่นยาทั้งหลายเข้ามาหาสมุนไพรในป่าเขา
เมื่อเวลานานเข้า ก็มีพวกนักกลั่นยาบางคนเห็นโอกาสในการทำธุรกิจที่นี่ จึงเริ่มมาวางแผงค้าขายที่นี่ แล้วจำหน่ายยาสมุนไพรที่ตัวเองหามาได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งของที่ตัวเองต้องการ
เมื่อเริ่มมีคนหนึ่งวางแผงค้าขาย แล้วได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หลังจากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มเลียนแบบ ทยอยกันมาวางแผงขายของที่นี่ด้วยเช่นกัน
ในที่สุด ที่นี่จึงกลายเป็นตลาดของโลกกลั่นยาแห่งหนึ่งไปแล้ว ชื่อเสียงก็ค่อยๆโด่งดังไปทั่วทั้งโลกกลั่นยา
หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลแล้ว ก็มีคนเสนอว่า ให้ย้ายสถานที่จัดงานประชุมกลั่นยาของโลกกลั่นยามาจัดที่หมู่บ้านตันโจวแห่งนี้
ข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับจากพวกนักกลั่นยามากกว่าร้อยละเก้าสิบทีเดียว อย่างน้อยที่สุดสถานที่จัดงานประชุมกลั่นยาเดิมนั้น ยังไม่มิดชิดพอ อีกทั้งสิ่งแวดล้อมก็ไม่ดีอีกด้วย มีนักกลั่นยาจำนวนมากต่างก็บ่นเรื่องนี้เช่นกัน
ส่วนหมู่บ้านตันโจวไม่เหมือนกัน สถานที่มิดชิดพอ สิ่งแวดล้อมก็ดี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย เมื่อมาจัดงานประชุมกลั่นยาที่นี่แล้ว ก็ถือโอกาสแลกเปลี่ยนสมุนไพรที่ตัวเองต้องการได้อีกด้วย
สำนักยาตันที่เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดงานประชุมกลั่นยา ก็รีบตอบตกลงทันที
หลังจากที่งานประชุมกลั่นยาได้เข้ามาจัดที่นี่แล้ว ทำให้ชื่อเสียงของเมืองตันโจวโด่งดังมากยิ่งขึ้นในชั่วพริบตา
เพียงแต่ว่า เป็นเพราะสถานที่นี้ห่างไกลความเจริญมากเกินไป หลินหยุนและโม่จือมิ่งต้องเปลี่ยนรถมาหลายครั้ง จึงจะสามารถมาถึงตำบลภูเขาต้าผานที่ห่างไกลจากหมู่บ้านตันโจวหลายสิบกิโลเมตร
ส่วนระยะทางหลายสิบกิโลเมตรจากตำบลภูเขาต้าผานถึงหมู่บ้านตันโจวช่วงนี้ ก็ได้แต่อาศัยเดินเท้าเข้าไป
ยังดีที่หลินหยุนและโม่จือมิ่งต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป หลายสิบกิโลเมตรสำหรับพวกเขาแล้วก็ยังนับว่าไม่เท่าไหร่
จากการนำของโม่จือมิ่ง ในที่สุดหลินหยุนทั้งสองคนก็ได้มาถึงหมู่บ้านตันโจวก่อนที่จะมืดค่ำ
เพราะว่าหมู่บ้านตันโจวไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย จึงเป็นสถานที่เปลี่ยวมาก หลินหยุนมองดูบริเวณรอบๆล้วนแต่เป็นซากปรักหักพังทั้งนั้น บ้านเรือนพวกนั้นมองดูก็รู้ว่าไม่ได้ซ่อมแซมมานานหลายปีแล้ว
แต่ว่า สถานที่บริเวณเชิงเขาต้าผาน กลับมีคฤหาสน์ขนาดใหญ่มหึมาหลังหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับซากปรักหักพังรอบๆบริเวณนั้นแล้วก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สำหรับบ้านเรือนที่อยู่รอบๆบริเวณนั้นแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ก็เหมือนกับเป็นปราสาทโบราณในสมัยยุคกลางของยุโรป ทั้งลึกลับและแปลกประหลาด
“นั่นก็คือเมืองตันโจว!” โม่จือมิ่งมองไปยังคฤหาสน์หลังนั้น สายตาเต็มไปด้วยความหวังที่รอคอย
“สถานที่แห่งนี้ สำหรับหุบเขาเทพยาแล้ว เป็นความอัปยศอดสูที่ไม่มีวันจางหายไปได้เลย”น้ำเสียงของโม่จือมิ่งแฝงด้วยความอัดอั้นตันใจ
สามารถทำให้คนอย่างโม่จือมิ่งยังไม่ยอมปล่อยวางความอัปยศอดสูครั้งนี้ได้ จะเห็นได้ว่าตอนนั้นตระกูลป๋ายหลี่แห่งโลกบู๊โบราณและเทพธิดาซูม่านม่าน ได้สร้างบาดแผลที่ปวดร้าวไว้ให้กับหุบเขาเทพยามากเพียงใด
หลินหยุนมองดูโม่จือมิ่งแวบเดียว มุ่งหน้าเดินไปยังคฤหาสน์หลังนั้น แล้วทิ้งคำพูดไว้ว่า “คราวนี้ ฉันก็จะไปทวงคืนความอัปยศที่คุณได้รับพร้อมกับดอกเบี้ยคืนมาให้หมด”
ในใจโม่จือมิ่งรู้สึกสะดุ้ง รีบวิ่งตามหลินหยุนไปด้วยความดีใจ: “ได้ยินคำพูดของปรมาจารย์หลินคำนี้แล้ว งานประชุมกลั่นยาครั้งนี้ จะต้องล้างความอับอายที่หุบเขาเทพยาได้รับมาหลายปีอย่างแน่นอน”
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าประตูของคฤหาสน์
ประตูใหญ่สีดำใหญ่โตโอ่อ่ามาก ประตูด้านบนเขียนด้วยตัวอักษรตัวเต็มสามตัวว่า เมืองตันโจว
ด้านข้างของประตูทั้งสอง มีเตาเผาสีทองแดงอยู่ทั้งสองข้าง ภายในเตาเผาว่างเปล่าไม่มีเถ้าถ่านอะไรเลย
คฤหาสน์หลังหนึ่ง ถึงกับใช้ชื่อเมืองมาตั้งชื่อ แสดงให้เห็นถึงความละโมบของนักกลั่นยาพวกนี้
แต่ว่าตอนนี้ประตูก็ยังปิดสนิทอยู่ ดูแล้วไม่เหมือนกับกำลังมีการจัดงานอะไรขึ้นเลย
โม่จือมิ่งก็รีบอธิบายว่า “งานประชุมกลั่นยาไม่ต้องมีเวรยาม แต่ว่ากลับมีกฎกติกาอยู่”
“คนที่อยากจะเข้าไปในเมืองตันโจว จะต้องผ่านการทดสอบจากหน้าประตูก่อน”
พูดพลางโม่จือมิ่งก็เดินไปตรงหน้าเตาเผาสีทองแดงด้านข้างประตู แล้วยื่นมือข้างหนึ่งกดลงไปบนเตาเผานั้น
โม่จือมิ่งก็สูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นก็ส่งพลังออกมาทันที แล้วตะโกนพูดว่า “จุดไฟ!”
เตาเผาที่ว่างเปล่าก็เกิดเปลวไฟขึ้นมาทันที หลังจากนั้นประตูสีดำที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดเปิดออกทันที
สามารถมองเห็นภายในที่มีสภาพเหมือนกับตลาดสดขายผักที่ครึกครื้น
โม่จือมิ่งก็ชักมือกลับมา เปลวไฟในเตาเผาก็ดับตามไปด้วย
“นี่ก็คือการทดสอบคนที่คิดอยากจะเข้ามาในเมืองตันโจว คนของโลกกลั่นยาพวกเราเรียกกันว่าจุดไฟ เพราะว่ามีแต่นักกลั่นยาที่สำเร็จขั้นชี่แท้อุบัติไฟเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปข้างในได้”
ไม่จำเป็นต้องให้โม่จือมิ่งอธิบายเลย หลินหยุนก็ย่อมเข้าใจถึงหลักการของชี่แท้อุบัติไฟอย่างแน่นอน ก็เป็นหลักการเดียวกับการเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นความร้อน เปลี่ยนจากพลังอย่างหนึ่งไปเป็นพลังอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง
หลินหยุนเดินไปยังเตาเผาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แล้วใช้มือกดลงไปบนเตาเผา ก็เกิดเปลวไฟลุกช่วงขึ้นมาทันที
ประตูเมืองตันโจวก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” โม่จือมิ่งพูด
“อึม” หลินหยุนพยักหน้า แล้วเดินนำหน้าเข้าไปข้างใน
เมื่อเดินผ่านถนนทางเดินสายหนึ่ง คฤหาสน์กว้างใหญ่ที่มองไปอย่างไร้ขอบเขต ก็เข้ามาอยู่ในสายตาหลินหยุนแล้ว
ที่นี่ก็ไม่แตกต่างไปจากที่โม่จือมิ่งเคยบรรยายไว้ ก็คือเป็นตลาดใหญ่โตแห่งหนึ่งนอกจากไม่มีเสียงดังหนวกหูและเสียงตะโกนร้องขายของแล้ว ก็เหมือนกับตลาดสดขายผักจริงๆ
“ปรมาจารย์หลินครับ ถ้าคุณต้องการสมุนไพรอะไร ที่นี่อาจจะมีก็ได้นะ” โม่จือมิ่งพูดกระซิบ
หลินหยุนก็ได้รับรู้ถึงกระแสเคลื่อนไหวของพลังทิพย์หลายชนิดก่อนแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่ยาวิเศษที่เขาต้องการ แต่ก็น่าจะเป็นของจำเป็นที่ผู้บำเพ็ญเซียนต้องการใช้
โม่จือมิ่งมองดูหลินหยุน แล้วถามอย่างระวังว่า “ตอนนี้ยังมีเวลาอีกนานกว่าที่งานประชุมกลั่นยาจะเริ่มขึ้น ถ้างั้นผมจะพาคุณไปเดินสำรวจรอบๆก่อนดีไหม?”
“ดี” หลินหยุนพูด
โม่จือมิ่งชี้ไปยังถนนทางซ้ายมือแล้วพูดว่า “พวกเราเดินจากถนนเส้นนี้ไป ก็สามารถเดินดูแผงขายของได้ครบหมดเลย”
พูดจบ โม่จือมิ่งก็เดินนำหน้าไป
หลินหยุนเดินตามหลังโม่จือมิ่ง สายตาไม่ได้มองด้านข้างเลย หลินหยุนไม่จำเป็นจะต้องใช้สายตาไปมองดู ไม่ว่าสิ่งของหรือสมุนไพรอะไรก็ตามที่ผู้บำเพ็ญเซียนใช้ประโยชน์ได้ ก็จะต้องมีกระแสพลังทิพย์ที่แข็งแกร่งเคลื่อนไหวอยู่
วิทยายุทธ์ที่นักบู๊พวกนี้ฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีความรู้สึกไวต่อกระแสเคลื่อนไหวของชี่ทิพย์ฟ้าดินมากนัก
แต่ว่าในฐานะที่หลินหยุนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน จึงมีความรู้สึกไวต่อของที่ชี่ทิพย์อยู่ด้วย
สำหรับหลินหยุนแล้ว ของที่มีชี่ทิพย์พวกนั้น ก็เหมือนกับดวงจันทร์บนท้องฟ้า
ขอเพียงเป็นของที่มีชี่ทิพย์อยู่ ก็ไม่มีทางรอดพ้นจากความรู้สึกรับรู้ของหลินหยุนไปได้เลย
เดินไปทางตามทาง โม่จือมิ่งก็เริ่มเดินช้าลงมาก เพราะว่าเขาคิดว่าหลินหยุนต้องการดูของ ความเร็วในการเดินจะต้องไม่เร็วจนเกินไป
แต่ว่า ความเร็วของหลินหยุนกลับนำหน้าเขาไปแล้ว
เขาสังเกตเห็นหลินหยุนไม่ได้ดูแผงขายของที่อยู่สองข้างทางว่าขายอะไรบ้าง ก็เดินผ่านไปเลย
ในใจของโม่จือมิ่งแอบคิดว่า “ดูเหมือนของที่นี่คง ไม่ได้อยู่ในสายตาของปรมาจารย์หลินเลย”
โม่จือมิ่งก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามขึ้นไป แล้วพูดเตือนหลินหยุนอยู่ข้างหลังด้วยเสียงเบาๆว่า “ปรมาจารย์หลินครับ สมุนไพรบางอย่างยากที่จะแยกออกว่าดีหรือไม่ด้วยการมองผ่านผิวเผิน คุณสามารถเดินช้าหน่อย เพื่อจะดูให้ละเอียดขึ้นนะ”
หลินหยุนไม่ได้หันหลังและไม่ได้หยุดเดิน พูดอย่างเงียบๆว่า “ไม่ต้องหรอก คุณตามฉันมาก็ได้แล้ว”
ในใจโม่จือมิ่งถึงแม้ไม่เข้าใจก็ตาม แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่เดินตามหลังหลินหยุนไป
ในไม่ช้า หลินหยุนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าแผงขายของแผงหนึ่งที่อยู่หัวมุม
โม่จือมิ่งมองไปยังแผงลอยนั้น มีพวกโสมป่าที่พบเห็นบ่อยๆจำนวนหนึ่ง มีอยู่ต้นหนึ่งน่าจะมีอายุเก่าแก่เกินร้อยปีแล้ว
หรือว่าปรมาจารย์หลินก็ถูกใจโสมป่าต้นนี้เหรอ?
โสมป่าเก่าแก่ที่มีอายุเกินร้อยปีถึงแม้มีไม่มาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นของล้ำค่าอะไร ปรมาจารย์หลินคงไม่ใช่ถูกใจโสมป่าต้นนี้หรอกนะ!
ระหว่างทางที่เดินมานั้น โม่จือมิ่งก็ได้เห็นสมุนไพรบางอย่างไม่เลวเลย ในตลาดก็หาได้ยากด้วย ยังไงก็ล้ำค่ากว่าโสมป่านี้มาก
แต่ว่าหลินหยุนกลับไม่มองก็เดินหนีไปแล้ว
ทำไมตอนนี้ถึงกับถูกใจโสมป่าต้นหนึ่งล่ะ?