จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 889 จุดไฟ
หลินหยุนเอ่ยถาม : “ทดสอบเหมือนกับตอนที่พวกเราผ่านเข้าประตูใหญ่มางั้นเหรอ?”
โม่จือมิ่งพยักหน้า : “ใช่ครับ แต่ความยากของที่นี่ จะยากมากกว่าตอนผ่านเข้าประตูหลายเท่าตัว”
หลินหยุนมองออก เพราะเตาอั้งโล่ครั้งนี้ มีขนาดใหญ่กว่าเตาอั้งโล่หน้าประตูใหญ่หลายเท่านัก หากต้องการจุดไฟ ก็ต้องลำบากกว่าเตาอั้งโล่หน้าประตูใหญ่อยู่แล้ว
ในกลุ่มคน เริ่มมีเสียงพูดคุยกันขึ้นมาเบา ๆ
“ไม่ใช่มั้ง ความยากในด่านแรกของงานปีนี้ เพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน ๆ เยอะเลย!”
“จริงด้วย ฉันจำได้ว่าคราวก่อนเป็นเตาอั้งโล่ขนาด 1เมตร แต่เตาอั้งโล่ในครั้งนี้ น่าจะใหญ่ถึง1.3เมตรเลยนะ!”
“ความยากเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสามเลยเหรอ!”
โม่จือมิ่งได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ ก็ได้พูดกับหลินหยุนเสียงเบา ๆ ว่า : “ความยากในการผ่านด่านสามด่านของการประลองกลั่นยา ยากมากขึ้นทุกครั้งจริง ๆ แต่ว่า ผู้มีความสามารถในโลกกลั่นยา ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกปีเช่นกัน การเพิ่มระดับความยากขึ้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล!”
หลินหยุนไม่สนใจเรื่องความยากสามด่านเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงสนใจว่าเมื่อไหร่จะได้ท้าทายป่ายหลี่เถ่
ขอแค่ได้เอาบันทึกเตากลั่นยากลับไป เรื่องอื่นเขาก็ไม่สนใจแล้ว
ส่วนเรื่องวิชาการกลั่นยาของนักบู๊ในโลกเหล่านี้ หลินหยุนไม่มีความสนใจที่จะดูเลยด้วยซ้ำ
ป่ายหลี่เถ่ได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ก็ได้ยิ้มพลางพูดเสียงดังว่า : “ทุกคนพูดถูกแล้ว ความยากในการผ่านด่านสามด่านนั้นเพิ่มมากขึ้นทุกครั้ง แต่ว่า ผู้ที่มีความสามารถในโลกกลั่นยาของพวกเรา ก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกปีไม่ใช่หรือ?”
“ฉะนั้น ความยากในสามด่านนี้ไม่ได้เปลี่ยนตามอำเภอใจ แต่เป็นการปรับตามระดับความสามารถของพวกเราในโลกกลั่นยา!”
“ทั้งสามด่านเพิ่มระดับความยากมากขึ้น แสดงว่าโลกกลั่นยาของพวกเรามีการพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้น”
คำพูดเหล่านี้ของป่ายหลี่เถ่ ทำให้นักกลั่นยาหลายคนที่โอดครวญอยู่ในใจกันเมื่อครู่นี้ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นกอง
ยังไงก็ตาม ในฐานะที่เป็นนักกลั่นยา ย่อมต้องอยากเห็นโลกกลั่นยายิ่งใหญ่อยู่แล้ว
ถ้าหากสามารถกลับไปยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับโลกบู๊ในตอนนั้นได้ คงเป็นความปรารถนาของนักกลั่นยาทุกคน
เห็นทุกคนไม่วิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว ป่ายหลี่เถ่จึงพูดเสียงดังว่า : “เริ่มได้!”
เมื่อพูดจบ ในกลุ่มผู้คนก็มีคนเดินออกมาทันที
“ฉันขอลองก่อน”
ชายร่างใหญ่แข็งแรงกำยำคนหนึ่ง ได้เดินมาด้านหน้าเตาอั้งโล่เตาหนึ่ง แล้วใช้ฝ่ามือกดลงไปที่ขอบเตา
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง ระเบิดพลังออกมา
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างวิตกกังวลแทนเขา
ปู๊ด!
แต่น่าเสียดาย ที่มีแต่ลมตดออกมาจากชายร่างกำยำคนนั้น เตาอั้งโล่ยังคงปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้านในไม่มีเปลวไฟเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าฮ่า……”
ผู้คนต่างหัวเราะกันอย่างเสียงดัง
“ล้มเหลว!” กรรมการคนหนึ่งเอ่ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา แล้วมองไปที่ชายร่างกำยำคนนั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม
ชายร่างกำยำคนนั้นหน้าแดงขึ้นมา แล้วหมุนตัวเดินลงจากแท่นไป ก้มหน้าหลบเข้าไปในฝูงชน ไม่กล้าโผล่หน้าออกมาอีก
“ฉันเอง!”
มีนักกลั่นยาขึ้นมาบนแท่นอีกคนแล้ว คนนี้รูปร่างผอมสูง หน้าตาท่าทางดูลามกอยู่บ้าง
เขาลงมืออย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนแท่นก็เอามือกดไปบนเตาอั้งโล่ทันที
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในเตา แต่สูงกว่าเตาเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
“ผ่าน!” บนแท่น กรรมการคนเดิมได้เอ่ยพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
คนผมสูงคนนั้นได้หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปยังที่ว่างด้านหน้า ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
เมื่อมีคนทดสอบผ่าน ผู้คนด้านล่างก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นทันที
ขึ้นมาบนแท่นครั้งละสิบคน มีทั้งคนที่ทดสอบผ่าน และคนที่ล้มเหลว
ผลงานที่ดีสุด ก็ทำได้แค่ให้เปลวไฟสูงเหนือเตาอั้งโล่เพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น
ผลงานระดับนี้ จัดว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว แม้แต่กรรมการบนเวทีและป่ายหลี่เถ่ยังรู้สึกชื่นชม
โม่จือมิ่งอธิบายให้หลินหยุนฟังว่า : “ถ้าหากผ่านด่านแรกไปได้ ก็จะเข้าไปรอในจุดที่จัดไว้ เพื่อเตรียมทดสอบด่านที่สอง”
“ถ้าหากล้มเหลว ก็ถูกคัดออกทันที”
หลินหยุนเอ่ย : “พวกเราขึ้นไปกันเถอะ!”
“ครับ”
หลินหยุนและโม่จือมิ่งขึ้นไปบนแท่น แล้วเริ่มทดสอบ
โม่จือมิ่งเป็นอัจฉริยะแห่งหุบเขาเทพยา พลังไม่ธรรมดา วิชาการกลั่นยาของเขา ถือว่าเป็นยอดฝีมือในโลกกลั่นยาเลยทีเดียว
แต่ว่า เปลวไฟที่โม่จือมิ่งก่อขึ้นมา สูงเหนือเตาอั้งโล่เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
ผลงานอย่างนี้ถือเป็นระดับที่ต่ำ
แน่นอนว่า นี่เป็นเพราะโม่จือมิ่งปกปิดพลังของตัวเอง ไม่อย่างนั้น ด้วยความสามารถของเขา อย่างน้อยคงทำให้เปลวไฟสูงได้ถึงยี่สิบเซนติเมตร
หลินหยุนมองไปที่เตาอั้งโล่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นเอามือดันไปที่เตาเบา ๆ
พรึ่บ!
ในเตาอั้งโล่มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาทันที เปลวไฟนี้สูงถึงหนึ่งเมตรเลยทีเดียว
“นี่……”
ทุกคนตกใจกันหมด!
“พระเจ้า เปลวไฟนี่สูงเกือบหนึ่งเมตรได้เลยนะ!”
“คนนั้นดูท่าทางน่าจะอายุยี่สิบต้น ๆ เอง เก่งกาจขนาดนี้เชียวหรือ!”
“หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นลูกศิษย์อัจฉริยะของมหาอำนาจที่ไหน?”
“ผลงานระดับนี้ได้ทำลายสถิติในด่านแรกทั้งหมดที่เคยจัดงานมาเลย!”
“แม้แต่ตอนนั้นที่เจ้าสำนักแห่งสำนักยาตันผ่านด่านแรก เปลวไฟก็สูงเหนือเตาเพียงหกสิบเจ็ดสิบเซนติเมตรเท่านั้น”
“อัจฉริยะ เจ้าหนุ่มนี่เป็นอัจฉริยะแน่นอน!”
ผู้คนต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที ต่างอุทานอย่างตกใจ ซุบซิบกันไม่หยุดปาก
บนแท่น กรรมการแต่ละคนต่างลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกใจ
กรรมการคนหนึ่งที่ไว้เครายาว ได้ตบขาเสียงดัง แล้วร้องออกมาว่า : “เยี่ยม!”
“นานแล้วที่ไม่มีอัจฉริยะอย่างนี้ปรากฏตัว!”
“ผลงานระดับนี้ เอาชนะผลงานของเจ้าสำนักแห่งสำนักยาตันในตอนนั้นไปได้!”
“ฉันคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเป็นม้ามืดในงานประลองกลั่นยาครั้งนี้!”
ป่ายหลี่เถ่มองไปที่หลินหยุน แล้วหัวเราะพลางพูด : “ไอ้หนุ่มคนนี้ไม่เลว แต่ว่า ฉันคิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้น่าจะเข้าหาได้ยาก!”
สายตาในการมองคนของป่ายหลี่เถ่ ถือว่าแม่นยำมาก
ด้วยนิสัยของหลินหยุนแล้ว เข้าหาเขาได้ยากจริง ๆ นั่นแหละ
กรรมการที่อายุมากสุดคนนั้น ได้หัวเราะพลางเอ่ย : “ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ มีใครเข้าหาได้ง่ายบ้างล่ะ?”
“ถ้าหากเข้าหาได้ง่าย ก็คงไม่ได้กลายเป็นอัจฉริยะหรอก”
“นายท่านกู่พูดถูก อัจฉริยะน่ะ ก็คงจะมีหลักการของตัวเองแหละ!” ชายชราใบหน้าแดงวาวเอ่ยพูดขึ้น
ป่ายหลี่เถ่มองไปที่หลินหยุน แล้วยิ้มพลางเอ่ย : “ทุกท่านอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย นี่เพิ่งด่านแรกเอง จะใช่อัจฉริยะหรือไม่ ไว้รอให้ผ่านทั้งสามด่านแล้วค่อยยืนยัน!”
กรรมการแต่ละคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของป่ายหลี่เถ่
ด้านล่างเวทีกรรมการ ป่ายหลี่หลงเซิ่งกำลังโอบเอวซูม่านม่านด้วยแขนข้างหนึ่งอยู่ แล้วมองไปที่งานประลองกลั่นยาด้วยสีหน้าได้ใจ
หลินหยุนแสดงผลงานได้โดดเด่นขนาดนั้น จึงไม่หลุดพ้นสายตาของป่ายหลี่หลงเซิ่งไปได้อยู่แล้ว
“เป็นมันนี่เอง!”
“เหอะ คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้หมอนี่มันจะมีพรสวรรค์อย่างนี้!”
“ผลงานระดับนี้ ยังทำได้ดีกว่าพ่อของฉันในตอนนั้นเสียอีก!”
ซูม่านม่านขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกกังวล : “ต้องเตือนเจ้าสำนักหน่อยไหม ไอ้หมอนี่มันเป็นคนของหุบเขาเทพยา จะส่งผลเสียกับพวกเราหรือเปล่า?”
ป่ายหลี่หลงเซิ่งหัวเราะออกมา สีหน้ามั่นใจในตัวเอง : “ต่อให้มันผ่านด่านสามด่านไปได้อย่างสวยงาม แต่น้ำหน้าอย่างมัน คิดจะแข่งกับสำนักยาตันของพวกเรา ยังห่างชั้นกันอีกเยอะ!”
“ไม่ต้องไปสนใจ ด่านแรกนี้ อาจเป็นเพราะมันโชคดีก็ได้?”
“ดูสิว่ามันจะสามารถผ่านด่านที่สองไปได้ไหม!”
ซูม่านม่านขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าป่ายหลี่หลงเซิ่งจะประมาทถึงขนาดนี้ แม้แต่คนของหุบเขาเทพยาเขายังไม่สนใจ
ซูม่านม่านค่อนข้างระแวดระวัง อยากไปบอกฐานะที่แท้จริงของหลินหยุนให้ป่ายหลี่เถ่ได้รู้เหลือเกิน
แต่ว่า ถึงแม้ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงของป่ายหลี่หลงเซิ่ง แต่ฐานะในสำนักยาตันของเธอกลับไม่สูงนัก
ตอนนี้ เธอไม่มีสิทธิ์ได้ใกล้ชิดกับเจ้าสำนัก
อีกทั้ง ถ้าหากเธอทำโดยพลการ ถ้าหากป่ายหลี่หลงเซิ่งรู้เข้า อาจจะทำร้ายเธอก็เป็นได้
ที่จริง ตอนนี้ซูม่านม่านคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่หุบเขาเทพยาเป็นอย่างมาก
แต่น่าเสียดาย ที่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
เธอหันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว และไม่สามารถให้หุบเขาเทพยารับรู้ได้ว่าชีวิตเธอแย่ลง
ไม่อย่างนั้น ศักดิ์ศรีที่มีเพียงน้อยนิดของเธอ คงสูญสิ้นจนหมด
หลินหยุนและโม่จือมิ่งเดินไปรอในจุดที่ให้รอด้านหน้า เตรียมตัวทดสอบด่านที่สอบ
โม่จือมิ่งพูดเสียงเบา ๆ ว่า : “ปรมาจารย์หลิน คุณไม่จำเป็นต้องแสดงความสามารถสูงเกินไป เพียงแค่ให้ผ่านด่านทดสอบสามด่านก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นก็มีสิทธิ์แข่งกับสำนักยาตัน!”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร ที่จริง เขาถ่อมตัวมาก ๆ แล้วนะ
ถ้าหากให้เขาปล่อยพลังตามใจชอบ เกรงว่าเปลวไฟในเตาอั้งโล่ คงจะพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว