จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 912 ความบ้าระห่ำของฉินเจียเฉียง
เพื่อนนักเรียนคนอื่น ต่างก็ขมวดคิ้วขึ้น
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อว่าหลินหยุนนั้นจะไปใส่ร้ายฉินเจียเฉียงอย่างไม่มีเหตุผล แต่ว่า ถ้าหาก
หลินหยุนไม่สามารถนำหลักฐานการวางยาของฉินเจียเฉียงออกมาได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการใส่ร้าย
เพราะว่า ตอนนี้กฎหมายได้ระบุเอาไว้แล้วว่า ผู้ใดฟ้องร้อง ผู้นั้นก็ต้องแสดงหลักฐาน
แต่ว่า ให้หลินหยุนไปหาหลักฐานมานั้น มันยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก
หลักฐานเดียวที่มีอยู่ ก็คือไวน์ที่โดนวางยาลงไปแก้วนั้น
แต่ไวน์แก้วนั้นได้ถูกฉินเจียเฉียงดื่มจนหมดแล้ว
ทำลายร่องรอยหลักฐานจนหมดสิ้น
หลินหยุนแทบจะไม่สามารถหาหลักฐานมาได้อีกแล้ว
ฉินเจียเฉียงคนนี้ ช่างแยบยลรอบคอบยิ่งนัก!
หลินโร่สุ่ยเข้าใจถึงสิ่งสำคัญของเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว โดยหญิงสาวผู้ที่ตรงไปตรงมาอย่างโร่สุ่ย ก็ได้ตวาดใส่ขึ้นทันทีว่า: “ฉินเจียเฉียง ฉันว่าแล้วทำไมเมื่อครู่นายถึงรีบดื่มไวน์จนหมด ที่แท้ก็
ต้องการที่จะทำลายหลักฐานนั่นเอง”
ฉินเจียเฉียงหัวเราะเหอะเหอะและพูดว่า: “เพื่อนโร่สุ่ย คุณพูดว่าไวน์แก้วนั้นโดนฉันวางยา แต่ว่า ทำไมฉันถึงไม่เป็นอะไรล่ะ? ”
“นายต้องกินยาแก้พิษก่อนล่วงหน้าแล้วอย่างแน่นอน! ” หลินโร่สุ่ยพูดโต้แย้งขึ้น
ฉินเจียเฉียงแสดงสายตาเหยียดหยาม หัวเราะเหอะเหอะแล้วพูดว่า: “คุณคิดว่านี่คือนิยาย
จอมยุทธ์อย่างนั้นเหรอ? มียาแก้พิษด้วย? อีกทั้ง ต่อให้ฉันมียาแก้พิษ แล้วเมื่อครู่พวกคุณเห็นฉัน
กินมันเข้าไปหรือเปล่าล่ะ? ”
ไม่มีจริง ๆ ด้วย
แต่ว่า นี่ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า ฉินเจียเฉียงไม่ได้กินยาแก้พิษล่วงหน้าก่อนแล้ว
ตอนนี้ฉินเจียเฉียงก็แอบก่นด่าอยู่ในใจ: “ไอ้เวรที่สมควรตายนั่น โกหกฉันว่ายานี้ออกฤทธิ์อย่าง
มหัศจรรย์ มันออกฤทธิ์อย่างมหัศจรรย์ที่ไหนกันล่ะ! ”
เขาไม่ได้กินยาแก้พิษอะไรเลย ยาชนิดนี้ เมื่อระบายออกมาแล้วยาก็จะหมดฤทธิ์ลง จะต้องใช้
ยาแก้พิษที่ไหนล่ะ?
เมื่อครู่เขากังวลว่าหลินหยุนจะเก็บหลักฐานได้ ดังนั้นจึงลองเสี่ยงดื่มไวน์แก้วที่รินให้หลินโร่สุ่ย
เดิมทีฉินเจียเฉียงคิดว่า ถ้าหากยาออกฤทธิ์ เขาก็หาข้ออ้างเพื่อจากไป จากนั้นก็หาที่ระบาย
ปลดปล่อยออกมา
แต่ว่า ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ เขาโดนหลอกแล้ว ยาชนิดนี้ไม่มีผลอะไรเลย
ก็หมายความว่า ต่อให้หลินหยุนไม่พบว่าเขาวางยา ฉินเจียเฉียงเองก็ไม่สามารถที่จะครอบครอง
หลินโร่สุ่ยได้
ตอนนี้ ก็เท่ากับว่ายังไม่ทันจะลงมือสำเร็จ กลับได้ก่อความยุ่งยากวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
ฉินเจียเฉียงจะไม่กลัดกลุ้มได้อย่างไร
จางจื่อยี่ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า: “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พวกคุณกล่าวหาว่าคุณชายฉินวางยา อย่างนั้นก็นำหลักฐานออกมา มิเช่นนั้น พวกเราก็จะฟ้องร้องว่าพวกคุณหมิ่นประมาท! ”
“ไอ้หนุ่ม กล่าวขอโทษคุณชายฉินก่อนเลย ไม่อย่างนั้น อย่าได้กล่าวโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ! ”
หลินหยุนมองไปที่เขา แล้วเอามือล้วงไปในกระเป๋ากางเกง ยิ้มเยาะและพูดว่า: “นายคิดจะไม่
เกรงใจในรูปแบบไหนล่ะ? ”
จางจื่อยี่กำหมัดแน่น ที่ข้อต่อนิ้วมือมีเสียงดังขึ้นแกร็กแกร็ก แล้วมองไปที่หลินหยุนอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับแสดงท่าทางข่มขู่: “นายว่าอย่างไรดีล่ะ? ”
หลินโร่สุ่ยตกใจ และพูดตวาดด้วยความโมโหว่า: “จางจื่อยี่ นายคิดจะทำอะไร! ”
“ที่นี่คืองานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเพื่อนนักเรียนฉู่หมิงเฟิย หากนายต้องการจะก่อความวุ่นวาย เชิญนายออกไปเดี๋ยวนี้! ”
หลินโร่สุ่ยไม่ได้กลัวว่าจางจื่อยี่จะลงมือจัดการหลินหยุน แต่กลัวว่าหากจางจื่อยี่ไปยั่วยุทำให้
หลินหยุนโมโหขึ้นมา อาจจะถูกหลินหยุนใช้ฝ่ามือตบจนตายได้
นั่นคงจะทำให้โลกมนุษย์ตกตะลึงเลยทีเดียว!
ต่อไป เกรงว่าเธอคงจะต้องถูกย้ายโรงเรียน
จางจื่อยี่จะรู้ได้อย่างไรว่าหลินโร่สุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ยังจะคิดว่าหลินโร่สุ่ยกำลังปกป้อง
หลินหยุนอยู่ เพราะหวาดกลัวเขา
ครั้นแล้ว จางจื่อยี่ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องเข้าไปใหญ่: “โร่สุ่ย เตือนพี่ชายของคุณหน่อย รีบบอกให้เขา
ขอโทษคุณชายฉินเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น อย่าได้กล่าวโทษพวกเราว่าไม่ให้เกียรติกันในความเป็น
เพื่อนนักเรียน! ”
ด้านข้าง เพื่อนนักเรียนชายที่ได้รับยกย่องว่าเป็นคนจิตใจดีประจำชั้นเรียน ได้พูดกับหลินหยุนว่า: “หากว่าคุณคือพี่ชายลูกผู้พี่ของเพื่อนโร่สุ่ยแล้ว ก็อย่าได้ทำให้โร่สุ่ยต้องลำบากใจ รีบขอโทษ
คุณชายฉินเถอะ เพราะว่า คุณไม่มีหลักฐาน จะพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์”
“ใช่เลย คุณควรจะคิดถึงโร่สุ่ยบ้าง คุณใส่ร้ายคุณชายฉิน ต่อไปโร่สุ่ยจะมีหน้าพบเจอกับ
เพื่อนนักเรียนได้อย่างไร! ” หลายคนต่างก็เริ่มที่จะพูดเตือนหลินหยุน
เพราะว่า ฉินเจียเฉียงมีพื้นฐานวงศ์ตระกูลที่ดี เพื่อนนักเรียนจำนวนมากต่างก็คิดที่จะประจบทำดี
กับเขา
จางจื่อยี่กระหยิ่มยิ้มย่องและพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ไอ้หนุ่ม นายคิดให้ดี ๆ นะ ด้วยอิทธิพลบารมี
ของตระกูลฉินแล้ว ต่อให้เป็นตระกูลหลินแห่งอูซูของพวกนาย ก็ยังไม่กล้าที่จะล่วงเกินได้”
“ถ้าหากพวกผู้ใหญ่ในตระกูลของพวกนายรู้ว่านายล่วงเกินคุณชายฉิน คงจะต้องลงโทษนาย
อย่างหนักเป็นแน่! ”
“พอได้แล้ว! ” หลินโร่สุ่ยตวาดขึ้นด้วยความโมโห ตอนนี้เธองุนงงทำอะไรไม่ถูกแล้ว
พวกเพื่อนนักเรียนเหล่านี้ต่างรู้จักเพียงแค่ตระกูลฉิน แต่ พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไรว่า ต่อให้มีหนึ่งร้อยตระกูลฉิน หลินหยุนก็ยังคงไม่เห็นอยู่ในสายตา
ยังจะไปบอกกับเจ้าบ้านตระกูลหลินอีก หารู้ไม่ว่าตอนนี้ทั้งตระกูลหลินนั้น หลินหยุนก็คือ
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
ใครกล้าที่จะมาทำอะไรเขา?
หลินโร่สุ่ยไม่ได้สนใจจางจื่อยี่ แต่กลับมองไปยังฉินเจียเฉียงที่ยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดขึ้น
ด้วยใบหน้าที่หม่นหมองว่า: “คุณชายฉิน เรื่องนี้จบกันเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน อย่าได้ส่งผลกระทบกับ
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเพื่อนฉู่เลย! ”
“คุณคิดว่าอย่างไร? ”
แม้ว่าหลินหยุนจะไม่มีหลักฐาน แต่ฉินเจียเฉียงได้วางยาหรือไม่นั้น ตัวเขาเองที่รู้อยู่แก่ใจดี
หลินโร่สุ่ยพูดขึ้นมาแบบนี้ ก็เท่ากับว่ายอมแพ้แล้ว
ด้านข้าง ฉู่หมิงเฟิยที่มองดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ก็ได้เสนอตัวออกมา เพื่อเป็น
คนไกล่เกลี่ยปัญหา
“เหอะเหอะ หลินโร่สุ่ยพูดได้ถูกต้องเลย คุณชายฉิน เรื่องนี้ก็ขอให้มันผ่านพ้นไปเถอะ ล้วนแต่เป็น
เพื่อนนักเรียนกัน สันติภาพความสงบสุขคือสิ่งสำคัญที่สุด! ”
ฉู่หมิงเฟิยเอ่ยปากขึ้น เพื่อนนักเรียนทั้งหลายต่างก็หันมาเตือนฉินเจียเฉียงด้วยเช่นกัน: “ใช่เลย แม้แต่เจ้าภาพของงานในวันนี้ก็ยังพูดแบบนี้ คุณชายฉิน เรื่องนี้ก็ขอให้มันผ่านพ้นไปเถอะ ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็ไม่มีอะไรที่ต้องสูญเสีย! ”
ทุกคนต่างก็ประเมินระดับความเลวทรามของฉินเจียเฉียงต่ำกันเกินไป จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เมื่อครู่นี้ หลินโร่สุ่ยคงจะมองเขาเป็นศัตรูอย่างแน่นอน
ต่อไปหากคิดที่จะลงมือกับหลินโร่สุ่ยอีก ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
ในเมื่อเป็นศัตรูกัน นิสัยความเคยชินของฉินเจียเฉียงในการรับมือกับศัตรูนั้น ไม่เคยที่จะเมตตา
ไว้หน้าใครมาก่อนเลย
ฉินเจียเฉียงหัวเราะเหอะเหอะ จากนั้นก็ยิ้มแหยะแหยะแล้วมองไปยังฉู่หมิงเฟิย: “คุณชายฉู่ ถ้าหากมีคนใส่ร้ายคุณ ทำลายชื่อเสียงของคุณ คุณจะเลือกสันติภาพควาสงบสุข หรือว่าจะขอคืน
ความเป็นธรรมล่ะ? ”
พวกเพื่อนนักเรียนทั้งหลายเงียบกริบ
ยังจะต้องพูดอีกเหรอ? จะต้องขอคืนความเป็นธรรมอย่างแน่นอน ใครจะยอมถูกคนอื่นใส่ร้ายล่ะ!
แต่ว่า หากฉู่หมิงเฟิยพูดแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นการยกก้อนหินแล้วทุ่มลงใส่เท้าของตนเอง
ไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้น ฉู่หมิงเฟิยหัวเราะเหอะเหอะ และพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจออกไป: “ถ้าหากเป็นคนนอก ฉันจะต้องขอคืนความเป็นธรรมอย่างแน่นอน แต่ว่า ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนนักเรียน ก็ต้องเลือก
สันติภาพความสงบสุขเอาไว้ก่อน”
หลินโร่สุ่ยมองไปยังฉู่หมิงเฟิยด้วยความขอบคุณ ที่พูดแบบนี้ออกมา ก็คงจะทำให้ฉู่หมิงเฟิย
ลำบากใจมากเกินพอแล้ว
เพราะว่า ในมหาวิทยาลัยนั้น ฉู่หมิงเฟิยถือว่าเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยมีชื่อเสียง ให้ความสำคัญ
ในเรื่องของเกียรติและหน้าตาเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นฉินเจียเฉียงก็ได้ถีบเข้าไปที่ท้องของฉู่หมิงเฟิยอย่างรุนแรง จนฉู่หมิงเฟิยกระเด็นลอยไป
ไกลหลายเมตร
หลินโร่สุ่ยตกใจและตวาดใส่อย่างโมโห: “ฉินเจียเฉียง แกทำอะไร! ”
เพื่อนนักเรียนคนอื่น ต่างก็ตกตะลึงกับการกระทำของฉินเจียเฉียง
วันนี้ฉู่หมิงเฟิยเป็นเจ้าภาพ คิดไม่ถึงว่าฉินเจียเฉียงจะลงมือกระทำอย่างนี้ นี่มันช่างไม่เห็น
ฉู่หมิงเฟิยอยู่ในสายตาเลยทีเดียว!
สายตาของหลินหยุน เยือกเย็นขึ้นแวบหนึ่ง
ฉินเจียเฉียงคนนี้ ลงมือเด็ดขาด น้ำนิ่งไหลลึก เกรงว่าต่อไปคงจะหาโอกาสเล่นงานหลินโร่สุ่ย
อีกเป็นแน่
ฉู่หมิงเฟิยกุมไปที่ท้อง เดิมทีใบหน้าที่หล่อเหลา ตอนนี้กลับขาวซีดไปหมดแล้ว
เขาลุกยืนขึ้น และมองไปที่ฉินเจียเฉียงด้วยความโมโห: “นายกล้าที่จะลงมือ? ”
ฉินเจียเฉียงยิ้มเยาะ: “ใช่เลย ฉันลงมือแล้ว ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนนักเรียน นายควรที่จะเลือก
สันติภาพความสงบสุขใช่ไหม! ”
ที่จริงแล้ว เพราะคำพูดนี้ที่ทำให้ฉินเจียเฉียง ลงมือกับฉู่หมิงเฟิยอย่างกะทันหัน
พวกเพื่อนนักเรียนต่างก็เกิดความหดหู่ขึ้น จิตใจที่คิดแก้แค้นของฉินเจียเฉียงนี้ ช่างรุนแรงยิ่งนัก
ฉู่หมิงเฟิยสีหน้าท่าทางโกรธเคือง อดกลั้นจนใบหน้าแดงก่ำแล้ว แต่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ถ้าหากลงมือ เขาก็หวาดกลัวอิทธิพลของตระกูลฉิน อีกทั้ง เมื่อครู่เขาพูดไว้ว่า สันติภาพความ
สงบสุขคือสิ่งสำคัญที่สุด
ถ้าหากไม่ลงมือ เขาก็จะต้องเสียเปรียบแน่นอน อีกทั้งต่อไปเรื่องนี้ก็คงจะกลายเป็นเรื่องขบขัน
สำหรับตัวเขา
แต่ถ้าหากเขาลงมือ ถ้าอย่างนั้นก็เกรงว่าตระกูลฉู่ อาจจะต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย