จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 923 มาตระกูลกู่
เดิมทีเมืองหยุนเฉิง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน
แต่ไม่เคยมีใครกล้าสบประมาทเมืองแห่งนี้
เพราะในเมืองแห่งนี้ มีตระกูลที่สืบทอดกันมากว่าพันปี
ซึ่งก็คือตระกูลกู่เมืองหยุนเฉิง
บ้านเก่าตระกูลกู่ ตั้งอยู่ที่ตีนเขาชีเฟิ่ง ซึ่งมีวิวงดงามที่สุด ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง สไตล์ไม่ธรรมดา
ตอนนี้ในห้องโถงบ้านเก่าตระกูลกู่ ฉินเห้าเทียน เจ้าบ้านลู๋ และเจ้าบ้านเสิ่น ทั้งสามยืนอยู่ตรงกลางอย่างนอบน้อม มองนายท่านกู่ลิ่งสุนที่นั่งบนเก้าอี้ ด้วยสีหน้าน้อยใจ
ทั้งสามเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลหลิน โดยใส่สีตีไข่ให้นายท่านกู่ลิ่งสุนฟัง แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่หลินหยุนอวดดี เหิมเกริมอย่างไร ตระกูลหลินกลั่นแกล้งพวกเขาอย่างไร
สรุปว่าแค่คนตระกูลหลินหายใจ ก็ผิดแล้ว พวกเขาสามคนทำอะไร ก็ถูกไปเสียทุกอย่าง
หลังฟังทั้งสามคนพรรณนาออกมา คนส่วนใหญ่ในตระกูลกู่พากันโมโห ต่อว่าตระกูลหลิน
เจ้าสามตระกูลกู่ ดูเดือดดาลที่สุด เขาลุกขึ้น และพูดกับนายท่านกู่ลิ่งสุนว่า “เจ้าบ้าน ตระกูลหลินรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว!”
“โบราณกล่าวไว้ว่าตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ ตระกูลหลินรู้อยู่แล้วว่าเป็นรองตระกูลกู่ของเรา ยังอับอายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตระกูลกู่อยู่ในสายตา!”
เพียงประโยคเดียว ทำให้พวกฉินเห้าเทียนถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ใช้ประโยคนี้ในตอนนี้ เหมาะสมมาก แต่การเปรียบเทียบกลับไม่เหมาะสม นี่กำลังเปรียบพวกฉินเห้าเทียนเป็นหมานะ!
แต่ทั้งสามคน ไม่ได้เถียง เพราะเจ้าสามกู่กำลังพูดถึงพวกเขา
ทำได้เพียงมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน และแอบก่นด่าครูภาษาของเจ้าสามกู่ในใจ
คนในตระกูลกู่ มองเจ้าสามกู่ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ฉายาซื่อบื้อ ไม่ได้เรียกไปเปล่าๆ
ในเมื่อพวกฉินเห้าเทียนไม่พูด คนในตระกูลกู่ ก็ไม่เป็นฝ่ายพูดถึงประโยคที่ใช้ผิดของเจ้าสามกู่
เมื่อเจ้าสามกู่พูดจบ จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงสีหน้าประหลาดของทุกคน แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของตัวเอง กลับคิดว่าทุกคนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา
“ทำไมทุกคนทำหน้าแบบนั้น พวกฉินเห้าเทียนอยู่ในความดูแลของตระกูลกู่ จะโดนเด็กน้อยตระกูลหลินรังแกได้อย่างไร ถึงไอ้หมอนั่นเป็นนักบู๊ แล้วมันจะทำไม นักบู๊ของตระกูลกู่ก็ไม่น้อยไปกว่ามัน!”
“ถ้าทุกคนไม่อยากก่อเรื่อง งั้นฉันไปเอง!” คำพูดของเจ้าสามกู่ ราวกับปืนครก ดังในห้องโถงตระกูลกู่
ลูกชายครโตตระกูลกู่หันมามองนายท่านกู่ แล้วพูดว่า “ผมคิดว่าน้องสามพูดถูก ตระกูลหลินทำเกินไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นความสำคัญของตระกูลกู่”
ลูกชายครโตตระกูลกู่เอ่ยปาก คนในตระกูลกู่ที่เหลือ ต่างพากันเอ่ยปาก ด่าทอตระกูลหลิน ต้องการให้ตระกูลหลินอธิบาย
เพราะตระกูลหลินในสายตาพวกเขา เทียบไม่ได้กับหลายสิบปีก่อน ตระกูลหลินเมื่อก่อน เคยมีชื่อเสียงพอๆ กับตระกูลกู่
แต่ตอนนี้ตระกูลกู่อยากเหยียบตระกูลหลินตอนไหนก็ได้ การยกเลิกการแต่งงานในปีนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
เมื่อเห็นว่าลูกชายครโตตระกูลกู่พูดแทนตัวเอง ฉินเห้าเทียนแอบได้ใจ แค่ตระกูลกู่ลงมือ ตระกูลหลินต้องรับมือไม่ได้แน่นอน
ถึงตอนนั้น เขาจะได้เอาความอับอายที่ตระกูลหลินได้รับ คืนไปอีกเป็นเท่าตัว
แต่ขณะนั้น นายท่านกู่พูดว่า “พอแล้ว หยุดให้หมด!”
ไม่มีใครกล้าขัดอำนาจของนายท่านกู่ เมื่อเขาเอ่ยปาก เสียงทุกอย่างหายไปทันที
ฉินเห้าเทียนตกใจและก้มหน้า ไม่กล้ามองนายท่านกู่ เพราะเมื่อกี้เขาพูดเกินจริงไปมาก อีกทั้งไม่ใช่เรื่องจริงด้วย
ขณะที่ฉินเห้าเทียนกำลังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จู่ๆ รู้สึกเหมือนโดนจ้องมา
ฉินเห้าเทียนเงยหน้ามอง แววตาเป็นประกายของนายท่านกู่ กำลังจ้องมาที่เขาอย่างนิ่งเฉย
นายท่านกู่อายุมากแล้ว แต่สายตาคู่นั้น กลับแหลมคมเป็นอย่างมาก
ฉินเห้าเทียนรู้สึกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านกู่ เขาไม่สามารถปิดบังคำโกหกใดๆ ได้เลย
เป็นไปตามคาด นายท่านกู่พูดเสียงต่ำ “เจ้าบ้านฉิน ผิดหรือถูก คุณรู้ ผมรู้ ตระกูลหลินก็รู้ ผมไม่อยากพูดอะไรที่นี่เยอะ”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร คนตระกูลหลินทำร้ายลูกชายคุณ อีกทั้งยังทำร้ายเจ้าบ้านลู๋ เรื่องนี้ตระกูลกู่ของผม ไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้า ฉินเห้าเทียนถึงกับตกใจ และเข้าใจว่านายท่านกู่จับได้ว่าเขาโกหก และโมโหขึ้นมา
แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง ฉินเห้าเทียนถึงกับดีอกดีใจ
ดูเหมือนว่า ถึงรู้ว่าตัวเองพูดโกหก เพื่อชื่อเสียงและอำนาจของตระกูลกู่ นายท่านกู่ก็ยังโมโหแทนตัวเอง
เหมือนอย่างที่เจ้าสามกู่พูด ตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ
ตระกูลหลินทำร้ายเขา แน่นอนว่าตระกูลกู่ต้องออกโรงอยู่แล้ว ไม่งั้น คงดูเหมือนว่าตระกูลกู่กลัวตระกูลหลินไม่ใช่หรือ
ฉินเห้าเทียนกับพวกเจ้าบ้านลู๋ ได้รับคำพูดที่ทำให้มั่นใจ
นายท่านกู่มองลูกชายคนโต แล้วพูดว่า “ แกไปส่งจดหมายเชิญให้ตระกูลหลิน เชิญพวกเขามาคุยกันที่ตระกูลกู่!”
กู่เจี้ยนเหวินลุกขึ้น โค้งตัวแล้วพูดว่า “ครับ!”
“แต่ถ้าตระกูลหลินไม่มา จะทำยังไงครับ”
นายท่านกู่พูดว่า “วางใจเถอะ พวกเขาต้องมา”
เมื่อเห็นนายท่านกู่มั่นใจเช่นนี้ กู่เจี้ยนเหวินจึงขมวดคิ้วเบาๆ
แต่เขาไม่กล้าขัดการตัดสินใจของนายท่าน ทำได้เพียงทำตามคำสั่ง
เมืองหยุนเฉิงไม่ไกลจากอูซุมากนัก หลังผ่านไปสองชั่วโมง กู่เจี้ยนเหวินมาอยู่ที่ตระกูลหลินที่อูซุ
หลินซื่อเฉิงต้อนรับกู่เจี้ยนเหวิน ในห้องโถงตระกูลหลิน
กู่เจี้ยนเหวินยืนอยู่กลางห้องโถงตระกูลหลิน สีหน้าดูโอหังเล็กน้อย ความจริงก็คือ เขาดูถูกตระกูลหลิน
แต่เพราะมาส่งจดหมายเชิญ ดังนั้นกู่เจี้ยนเหวิน ไม่สามารถแสดงออกจนเกินไป
“เจ้าบ้านหลิน ท่านพ่ออยากเชิญคุณไปคุยกันที่เมืองหยุนเฉิง”
กู่เจี้ยนเหวินพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ถึงขนาดหลีกเลี่ยงการทำความเคารพ
หลินตงถิงมีสีหน้าอึมครึม ไม่พอใจเล็กน้อย
ลูกหลานตระกูลหลิน กลับรู้สึกโมโห แต่ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจ
เพราะเป็นตระกูลกู่เมืองหยุนเฉิง
ถึงตอนนั้นตระกูลหลินมีชื่อเสียงพอๆ กับตระกูลกู่ แต่ตอนนี้ตระกูลหลินห่างกับตระกูลกู่มาก
พละกำลังเทียบไม่ได้กับเขา จึงต้องสงบปากสงบคำอยู่แล้ว
สีหน้าหลินซื่อเฉิงนิ่งเฉย เขามองกู่เจี้ยนเหวินแล้วพูดว่า “เพราะเรื่องตระกูลฉินหรือเปล่า”
กู่เจี้ยนเหวินพยักหน้า “ใช่ เรื่องนี้ตระกูลหลินต้องชดใช้ให้ตระกูลกู่!”
หลินซื่อเฉิงพูดว่า “ได้ งั้นไปบอกเจ้าบ้านกู่ด้วย พรุ่งนี้ฉันจะไปเมืองหยุนเฉิง!”
“อืม” กู่เจี้ยนเหวินพยักหน้า และหันหลังเดินออกไป ด้วยท่าทีโอหัง
หลังจากกู่เจี้ยนเหวินออกไป หลินตงถิงขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าบ้าน กู่เจี้ยนเหวินโอหังเกินไปแล้ว มาส่งจดหมายเชิญ แต่กลับทำเหมือนประกาศคำสั่งอย่างไรอย่างนั้น!”
“คุณไม่ควรไปรับปากเขา!”
คนที่เหลือในบรรดาท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้า ต่างพากันเกลี้ยกล่อม
“ใช่ ไม่ควรรับปาก พวกฉินเห้าเทียน ต้องกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ที่ตระกูลกู่แน่นอน พูดไม่ดีกับตระกูลหลิน ไปตระกูลกู่ตอนนี้ เรียกว่าเนื้อเข้าปากเสือนะ!”
หลินซื่อเฉิงหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ไม่ว่าเร็วหรือช้า ก็ต้องแก้ไข อีกทั้งถ้าแก้ไขในตระกูลกู่ กลับเป็นผลดีต่อตระกูลหลินของเรา”
“ถ้ารอให้คนของตระกูลกู่มาหาถึงบ้าน นั่นวุ่นเลยนะ”
“เพราะตระกูลกู่มีฉายาว่าตระกูลพันปี ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก พวกเราไปหา ถึงพวกเขาอยากจัดการเรา ก็ไม่มีทางทำเกินไป ไม่งั้นจะทำให้คนอื่นพูดว่าตระกูลกู่ ใช้อำนาจรังแกคนอื่น”
พวกท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้า คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของหลินซื่อเฉิง
“งั้นจะให้ใครเป็นตัวแทนตระกูลหลิน ไปตระกูลกู่” ลูกชายคนโตตระกูลหลินเอ่ยขึ้น
สายตาของหลินซื่อเฉิง มองไปรอบๆ กลุ่มคน จากนั้นจึงพูดว่า “เรื่องนี้ฉันต้องไปแน่นอน”
“โร่สุ่ยกับหลินหยุนเป็นคนในเหตุการณ์ ต้องไปอยู่แล้ว นอกจากนั้นโล่เฉินต้องตามฉันไปด้วย!”