จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 924 เข้าตระกูลกู่
ตระกูลกู่เมืองหยุนเฉิง
หลินซื่อเฉิงพาหลินหยุน โร่สุ่ย และคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนเจอข้าศึกใหญ่ อย่างหลินโล่เฉิน มาที่ตระกูลกู่
หน้าประตูตระกูลกู่ พวกหลินซื่อเฉิงยื่นจดหมายเชิญให้ แต่กลับโดนคนเฝ้าประตู ทำให้ลำบากใจ
คนเฝ้าประตูที่ดูอัปลักษณ์คนนั้น มองพวกหลินซื่อเฉิง ด้วยสีหน้ายโส
“ตระกูลหลินที่อูซุเหรอ”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน บางทีพวกนายอาจมีคุณสมบัติให้ตระกูลกู่เชิญมาร่วมงาน แต่ตอนนี้น่ะเหรอ……”
คนเฝ้าประตูส่ายหน้า และยิ้มอย่างเจตนาไม่ดี “ตอนนี้พวกนายมีคุณสมบัติไม่พอ”
“ฉันสงสัยว่าจดหมายเชิญนี้ เป็นของปลอม”
นายท่านหลินซื่อเฉิงขมวดคิ้วเบาๆ หลินโร่สุ่ยระเบิดออกมาทันที
“นายช่วยแหกตาดูสิ นี่เป็นจดหมายเชิญที่ตระกูลกู่ของนาย เอามาให้ด้วยตัวเอง นายบอกว่าเป็นของปลอม ไปเรียกกู่เจี้ยนเหวินออกมา ถามเขาว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า!”
คนเฝ้าประตูคนนั้นพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “คุณกู่สูงส่งระดับไหน จะส่งจดหมายเชิญให้พวกนายด้วยตัวเองได้ยังไง! ฉันยิ่งสงสัยเข้าไปอีกว่าจดหมายนี้เป็นของปลอม”
หลินโร่สุ่ยรีบพูดว่า “นายเรียกกู่เจี้ยนเหวินออกมาถามก็รู้ว่าจริงหรือปลอม”
คนเฝ้าประตูพูดอย่างเย็นชา “หึ คุณกู่ เป็นคนที่พวกนายอยากเจอก็เจอได้เหรอ!”
คนเฝ้าประตูคนนี้ไม่บอกว่าให้คนตระกูลหลินเข้าไป แล้วก็ไม่ไล่คนตระกูลหลินกลับไป เห็นได้ชัดว่าจงใจทำให้ลำบากใจ ใช้อำนาจข่มเหงคนตระกูลหลิน
แววตาของหลินหยุนลุกโชน เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองในลานบ้าน มองมาที่หน้าประตูตลอด
คนนั้นหน้าตาคล้ายกับกู่เจี้ยนเหวิน คนที่มาส่งจดหมายเชิญที่ตระกูลหลินก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลกู่
หลินซื่อเฉิงถามเสียงทุ้ม “งั้นนายหมายความว่า ไม่ยอมให้เราเข้าไปใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกนายเข้าไป แต่พวกนายต้องยืนยันก่อนว่าจดหมายเชิญนี้ เป็นของจริง” คนเฝ้าประตูยิ้มอย่างร้ายกาจ
เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับคำสั่งอะไรมา แค่มาใช้อำนาจข่มเหงตระกูลหลิน ไม่กล้าไล่คนตระกูลหลินไปจริงๆ
หลินซื่อเฉิงพูดว่า “อยากยืนยันว่าจดหมายเชิญจริงหรือปลอม นายไปหาคนจัดการเรื่องของตระกูลกู่มาสิ แค่ถามก็รู้!”
คนเฝ้าประตูแสยะยิ้ม “ฉันไม่ได้มีอำนาจไปหาคนจัดการเรื่องของตระกูลกู่ ฉันแค่คนเฝ้าประตูกระจอกๆ เท่านั้น”
แววตาหลินหยุนฉายแววเย็นชา ขณะที่กำลังจะเข้าไป จู่ๆ หลินซื่อเฉิงก้าวไปข้างหน้า และตบหน้าคนเฝ้าประตูไปหนึ่งที
จนทำให้คนเฝ้าประตูหมุนติ้วๆ จนเกือบจะล้ม
“นายยังรู้ว่าตัวเองเป็นแค่คนเฝ้าประตูกระจอกๆ ไปบอกเจ้านายของนาย ตระกูลหลินมาเพื่อแก้ไขปัญหา จากใจจริง ไม่ได้มาดูสีหน้าของพวกนาย”
“ถึงตระกูลหลินจะตกต่ำ แต่ไม่ถึงขั้นที่โดนคนอื่นรังแกตามใจชอบ”
หลินหยุนแปลกใจเล็กน้อย ในความทรงจำของเขา หลินซื่อเฉิงทำอะไรมั่นคงมาตลอด คิดไม่ถึงว่าหลังจากบำเพ็ญ จะจัดการเรื่องอย่างไม่ลังเลเช่นนี้
หลินหยุนคิดว่านี่เป็นเรื่องดี
ผู้บำเพ็ญเซียน บุญคุณต้องตอบแทน แค้นต้องชำระ สภาพจิตใจจึงยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก
คนเฝ้าประตูคนนั้นโดนตบจนอึ้งไป มองหลินซื่อเฉิงอย่างตะลึง ถึงขนาดที่พูดอะไรไม่ออก
คนต่ำต้อยยังไงก็เป็นคนต่ำต้อย
“ยังไม่รีบไปแจ้งอีก!” หลินโร่สุ่ยตวาดออกมา
คนเฝ้าประตูคนนั้นตกใจจนวิ่งเข้าไปในป้อมยาม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าโทรหาใคร
หลินหยุนเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง ข้างในลานบ้าน หายไปแล้ว
ไม่นาน ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำคนหนึ่ง เดินออกมา
ชายคนนี้ร่างกายสูงใหญ่ ดูกำยำมาก แต่ใบหน้ากลับซีดเหมือนป่วย ทำให้ร่างกายอันบึกบึนของเขา รู้สึกถึงความอ่อนแอ
เมื่อเห็นชายคนนี้ ราวกับคนเฝ้าประตูเห็นผู้ช่วยชีวิต รีบวิ่งเข้าไป โค้งตัวทำความเคารพ “ท่านสี่ พวกเขาทำร้ายผม คุณต้องช่วยผมด้วยนะครับ!”
ท่านสี่ คนนี้น่าจะเป็นลูกชายคนที่สี่ของตระกูลกู่
แต่ลูกชายคนที่สี่ของตระกูลกู่ไม่ได้ช่วยคนเฝ้าประตู กลับกันเขาถลึงตาใส่คนเฝ้าประตู
คนเฝ้าประตูอึ้งไป รีบถอยไปอีกด้าน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
ลูกชายคนที่สี่ของตระกูลกู่ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ประสานมือทำความเคารพหลินซื่อเฉิง แล้วพูดว่า “นายท่านหลิน คนใช้ไม่รู้ความ หวังว่านายท่านหลินอย่าต่อว่าเลยนะครับ!”
“ท่านพ่อรออยู่ในห้องโถงนานแล้วครับ เชิญนายท่านหลินเข้าไปเลยครับ!”
คนเฝ้าประตูมองลูกชายคนที่สี่ของตระกูลกู่ ด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อกี้เขาบอกให้ตัวเองมาสร้างความลำบากใจให้คนตระกูลหลินชัดๆ แต่ตอนนี้กลับพูดแบบนี้
แต่ทว่าคนเฝ้าประตูไม่กล้าถาม
หลินซื่อเฉิงเห็นปฏิกิริยาของคนเฝ้าประตู จึงเดาได้ว่าลูกชายคนที่สี่ของตระกูลกู่ เป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่หลินซื่อเฉิงก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงเขา
“ขอบคุณคุณกู่!”
หลินซื่อเฉิงยิ้มบางๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ พาพวกหลินหยุน เข้าไปข้างใน
ภายในห้องโถง คนในตระกูลกู่รออยู่นานแล้ว ที่นั่งด้านขวา เป็นของฉินเห้าเทียน เจ้าบ้านลู๋ และเจ้าบ้านเสิ่น นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้
ใบหน้าของเจ้าบ้านลู๋ยังบวมอยู่ เมื่อเห็นหลินหยุนเดินเข้ามา แววตาของเขาฉายแววขุ่นเคือง
หลินซื่อเฉิงประสานมือคำนับนายท่านกู่ลิ่งสุน ที่นั่งอยู่คนแรก “หลินซื่อเฉิง มาเยี่ยมเจ้าบ้านกู่!”
นายท่านกู่ลิ่งสุนเกรงใจมาก เขาลุกขึ้นยืน และประสานมือคำนับหลินซื่อเฉิง “เจ้าบ้านหลินเกรงใจแล้ว เชิญนั่งครับ!”
มีคนของตระกูลกู่ เลื่อนเก้าอี้มาให้หลินซื่อเฉิง
พวกหลินหยุนเป็นรุ่นน้อง ทำได้เพียงยืนด้านหลังหลินซื่อเฉิง
หลังหลินซื่อเฉิงนั่งลง ก็ไม่ได้พูดอะไร สายตามองไปยังพวกฉินเห้าเทียน มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
นายท่านกู่กวักมือ แล้วพูดว่า “เอาชามาให้เจ้าบ้านหลิน!”
มีคนรีบเอาชาที่มีควันลอยอยู่ มาเสิร์ฟให้หลินซื่อเฉิง ความหอมของชาเตะจมูก
หลินซื่อเฉิงก็ไม่หลีกเลี่ยง ยกชาขึ้นดื่ม แล้วพูดว่า “ชาดี!”
เจ้าบ้านกู่หัวเราะร่า “นี่เป็นชาที่ผมขอให้คนเอามาจากทางใต้ ปกติผมเสียดายไม่อยากดื่ม เอามาต้อนรับแขกผู้สูงส่งนะครับ”
หลินซื่อเฉิงรีบพูดว่า “เจ้าบ้านกู่พูดเช่นนี้ ทำให้ผมรู้สึกได้รับความโปรดปราน!”
เจ้าบ้านกู่ยิ้มบางๆ วางแก้วชาลง มองหลินซื่อเฉิงแล้วพูดว่า “ตระกูลหลินกับตระกูลกู่สองตระกูล คบกันมาหลายชั่วคน นายท่านรุ่นก่อนทั้งสองท่าน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ แต่เมื่อรุ่นเรา ละเลยการไปมาหาสู่ จึงทำให้ความสัมพันธ์เบาบาง”
หลินซื่อเฉิงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร คนของตระกูลกู่ สามารถทำเรื่องยกเลิกการแต่งงานได้ นี่จะทำให้สองตระกูลไปมาหาสู่ได้อย่างไร
อีกทั้งหลินซื่อเฉิงรู้ดีแก่ใจ พละกำลังของตระกูลหลินในตอนนี้ อยากสานสัมพันธ์กับตระกูลกู่ กลัวว่าจะสูงเกินเอื้อม
สำหรับเรื่องที่เจ้าบ้านกู่ พูดเรื่องนี้ขึ้นมา หลินซื่อเฉิงยังเดาไม่ออก
แต่หลินซื่อเฉิงคิดว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องครั้งนี้แน่นอน
เป็นไปตามคาด เจ้าบ้านกู่เปลี่ยนเรื่องทันที เขาชี้ฉินเห้าเทียน เจ้าบ้านลู๋ และเจ้าบ้านเสิ่น แล้วพูดว่า “เจ้าบ้านหลิน ผมคงไม่ต้องแนะนำทั้งสามท่านนี้แล้วใช่ไหม”
หลินซื่อเฉิงมองฉินเห้าเทียน แล้วพยักหน้า “สามเสือตระกูลกู่ ผมรู้จักอยู่แล้ว มิกล้ารบกวนให้เจ้าบ้านกู่แนะนำ”
“เหอะๆ ในเมื่อเจ้าบ้านหลินรู้ว่าพวกเขาเป็นสามเสือตระกูลกู่ของผม ทำไมถึงยังรังแกพวกเขาแบบนี้ล่ะครับ หรือมีปัญหาอะไรกับตระกูลกู่หรือเปล่า” สีหน้าของเจ้าบ้านกู่ไม่เปลี่ยน เป็นคำตำหนิชัดๆ แต่กลับพูดอย่างสบายๆ
หลินซื่อเฉิงก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “ผมรังแกพวกเขาเหรอ เหอะๆ กลัวว่าเจ้าบ้านกู่คงโดนหลอกแล้ว!”
“สองสามปีมานี้ตระกูลหลินตกระกำลำบาก พละกำลังไม่เหมือนเมื่อก่อน แค่ตระกูลฉินตระกูลเดียว ตระกูลหลินก็ไม่กล้าไปหาเรื่องแล้ว จะกล้าไปหาเรื่องสามเสือตระกูลกู่ได้ยังไงล่ะครับ”
“แต่ว่าถ้ามีคนอยากรังแกตระกูลหลิน ตระกูลหลินคงไม่นั่งรอความตายอยู่แล้ว”
สีหน้าของเจ้าบ้านกู่ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยน เขายกชาขึ้นดื่ม ไม่ได้พูดอะไรอีก
เจ้าบ้านลู๋เห็นดังนั้น จึงลุกขึ้นพรวด ชี้หลินซื่อเฉิง แล้วตวาดว่า “หลินซื่อเฉิง นายพูดแบบไม่มีความน่าเชื่อถือ ดูรอยแผลบนหน้าฉันสิ เป็นฝีมือของรุ่นน้องตระกูลหลินของนาย ยังมีหน้ามาพูดว่าเรารังแกตระกูลหลิน!”