จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 938 ค่ายกลมหาปัทมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าบ้านถึงไม่ขยับเลยล่ะ?”
“นั่นน่ะสิ หรือว่าเจ้าบ้านคิดจะออมมือ แล้วไว้ชีวิตเด็กคนนี้หรือ?”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ต่อให้เป็นการออมมือ ก็น่าจะเอาชนะเจ้าเด็กคนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่ควรจะหยุดมือตอนนี้เลย?”
ลูกศิษย์ตระกูลเซินทั้งหลายที่อยู่ข้างหลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ในมุมมองของพวกเขาแล้ว ขณะที่หมัดของเซินถูกำลังจะชกถูกตัวหลินหยุนนั้น จู่ๆก็หยุดลงทันที
นี่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
มีแต่เจ้าตัวเซินถูเองเท่านั้น ที่รู้สึกทุกข์ใจจนพูดอะไรไม่ออก
เขาใช้พลังแรงจนหมดแล้ว แต่ว่ายังไม่สามารถที่จะทำลายแนวปกป้องของหลินหยุนได้เลย
ถึงแม้เขามองไม่เห็นว่าหลินหยุนลงมือตั้งแนวปกป้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม แต่เขาก็เข้าใจว่านั่นจะต้องเป็นชี่แท้คุ้มกายของหลินหยุนอย่างแน่นอน
หลินหยุนมือทั้งสองไขว้หลัง มองดูเขาอย่างสงบเงียบ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า: “ฝีมือแค่นี้ ยังคิดจะมาฆ่าฉันอีกเหรอ?”
“ไสหัวไป!”
เสียงตะคอกที่เย็นชา มือข้างหนึ่งของหลินหยุนที่อยู่ข้างหลังนั้น ก็ฟาดไปกลางอากาศตรงหน้าบริเวณเซินถูอย่างแรง
ถึงแม้ว่าฝ่ามือที่ฟาดไปนั้นไม่ได้ถูกตัวของเซินถูเลย แต่ว่า เซินถูสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็รีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าก็ไม่ทันแล้ว
พลังแรงมหาศาลก็กระแทกลงบนตัวของเซินถูแล้ว
เสียงโป้งดังขึ้น เซินถูถูกตบกระเด็นจนถอยหลังออกไปสิบกว่าเมตร
“เป็นไปได้ยังไง!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายของตระกูลเซิน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พลังความสามารถของเซินถู แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเซิน เจ้าตัวเป็นถึงยอดฝีมือที่แทบจะอยู่ระดับแดนเทพแล้ว แม้แต่ในโลกบู๊โบราณนี้ ก็ยังนับว่าอยู่ในระดับกลางแล้ว
แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มเยาว์วัยของตระกูลธรรมดาในโลกมนุษย์คนนี้แล้ว ถึงกับไม่มีแรงที่จะต้านทานไว้ได้เลย
“นี่เป็นไปได้ยังไงกัน?”
แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลเซินพวกนั้น ต่างก็แสดงสีหน้าที่เหลือเชื่อออกมา
เมื่อหลินซื่อเฉิงมองเห็นฉากนี้แล้ว จึงหัวเราะเสียงดัง “สงสัยว่าฉันคงยังไม่นิ่งพอซะแล้ว! ขนาดเคยเห็นเสี่ยวหยุนลงมือที่บ้านตระกูลกู่แล้ว ถึงกับยังเป็นห่วงเขาอยู่อีก”
หลินซื่อเฉิงส่ายหน้าแล้วแสดงสีหน้าที่เยาะเย้ยตัวเองออกมา
เซินถูก็กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน มองดูหลินหยุนด้วยอาการช็อก กระดูกตรงหน้าอกของเขาน่าจะหักไปหลายซี่แล้ว
หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนจนเข้าถึงแดนสูงสุดแล้ว ยังไม่เคยพ่ายแพ้อย่างทุลักทุเลเช่นมาก่อนเลย
“ไอ้หนู แกอยู่เหนือความคาดหมายของฉันจริงๆ!”
“ต้องยอมรับว่า พลังความสามารถของแกแข็งแกร่งมาก แต่ว่ายังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี”
“ตระกูลเซินเราสามารถเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลยิ่งใหญ่ของโลกบู๊โบราณได้ พลังความสามารถของพวกเรา ไม่ใช่แกคนเดียวก็จะสามารถสั่นคลอนได้หรอกนะ!”
เซินถูมองไปยังลูกศิษย์ตระกูลเซินทั้งหลาย แล้วตะโกนเสียงดังว่า “ผู้อาวุโสทุกท่านเตรียมตัววางค่ายกลมหาปัทมา!”
เจียงย่านหรงตกใจมาก ร้องตะโกนว่า “คุณอาคะ โปรดไว้ชีวิตเขาด้วย!”
เซินถูมองไปยังเจียงย่านหรง ไม่ได้เกินความคาดหมายอะไรเลย พูดด้วยเสียงเข้มว่า “ฉันเดาออกแต่แรกแล้วว่า หลานน่าจะรู้จักกับเขามาก่อนแล้ว”
“ดูไปแล้ว พวกนายไม่เพียงแต่รู้จักกัน อีกทั้งก็ยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอีกด้วย”
เจียงย่านหรงพูดว่า “คุณอาอย่าเพิ่งเข้าใจผิดค่ะ พวกเราแค่เคยเห็นหน้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ว่าเขาไม่ใช่คนเลวนะ ดังนั้น หลานจึงทนไม่ได้ที่เห็นเขาจะต้องตายในค่ายกลมหาปัทมา จึงอยากขอร้องให้คุณอาไว้ชีวิตเขาด้วย!”
เซินถูมองดูหลินหยุนแวบเดียว แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฉันสามารถไว้ชีวิตเขาก็ได้ แต่ว่าพลังการฝึกฝนของเขาก็อย่าคิดจะเอาไว้เลย”
“คุณอา……” เจียงย่านหรงขมวดคิ้ว คิดอยากจะขอร้องอีก แต่ว่ากลับถูกเซินถูพูดตัดตอนเสียก่อน
“หลานเจียง ฉันก็เห็นแก่หน้าหลานมากพอแล้วนะ อย่าพูดอีกเลย จะเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ!”
เจียงย่านหรงจึงถอยหลังไปอย่างจนหนทาง แล้วโค้งคำนับ “ขอบคุณคุณอามากค่ะ!”
พอพูดจบ เจียงย่านหรงมองไปยังหลินหยุนด้วยความรู้สึกเสียดาย ในใจก็พูดว่า “เจ้าเด็กนี่ นิสัยชอบเอาชนะขนาดนี้ ฉันสามารถรักษาชีวิตนายไว้ได้ ก็ถือว่าฉันได้ช่วยเต็มที่แล้ว”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร แต่ว่า สำหรับความมีน้ำใจของเจียงย่านหรงเด็กสาวคนนี้ เขาก็ยังมีความรู้สึกที่ดีอยู่บ้าง
อีกทั้ง ดูจากท่าทีของเจียงย่านหรงแล้ว เรื่องที่เธอพูดเตือนตัวเองเมื่อครู่นี้ จะต้องหมายถึง ค่ายกลมหาปัทมานี้อย่างแน่นอน
“ทุกคน ว่างค่ายกล!”
เซินถูตะโกนเสียงดัง ผู้อาวุโสทั้งเก้า ก็รีบกระจายกันออกไป
ลูกศิษย์ทั้งหลายของตระกูลเซินพวกนั้น ก็ตามหลังพวกอาวุโสเหล่านั้นไป ต่างกระจายไปตามทิศทางของตัวเอง
ทุกคนต่างก็ยืนเป็นรูปวงกลม แล้วล้อมรอบหลินหยุนไว้
หลินหยุนยืนมองสังเกตอยู่เงียบๆ เขาพบว่า วงล้อมมีถึงสามชั้น คนที่อยู่ในวงล้อมแต่ละชั้น ต่างก็เคลื่อนที่ด้วยความว่องไว
แต่ว่า วงล้อมทั้งสามชั้นนั้น ต่างก็ไม่ได้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่นั้นก็ไม่เท่ากันด้วย
แต่หลินหยุนมองดูแวบเดียวก็สามารถเห็นความพิเศษของค่ายกลนี้ได้แล้ว
ทิศทางการเคลื่อนที่และความเร็วของพวกคนเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นไปตามอำเภอใจ แต่ว่าได้ผ่านการคิดคำนวณอย่างแม่นยำที่สุดแล้ว รับประกันว่าจะต้องไม่ให้เกิดช่องว่างภายในวงล้อมขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว ที่จะปล่อยให้ศัตรูมีโอกาสเล็ดลอดออกไปได้เลย
การประสานที่ต่อเนื่องกันของแต่ละคน สามารถพูดได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างไร้ที่ติทีเดียว
ค่ายกลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เท่ากับว่าใช้พละกำลังของทุกคน ไปรวมไว้ที่คนคนเดียวกัน
นี่ไม่ใช่ง่ายดายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองเช่นนั้น พละกำลังของคนพวกนี้ ต่อให้บุกขึ้นไปพร้อมกัน คาดว่าก็ยังไม่สามารถต้านทานหลินหยุนไว้ได้แม้แต่นาทีเดียว
แต่ว่า หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากพลังแรงของค่ายกลนี้แล้ว พละกำลังทั้งหมดของคนพวกนี้ก็จะมารวมอยู่ด้วยกัน ราวกับเพิ่มขึ้นอีกไม่รู้ว่ากี่เท่าตัว
ถึงแม้ว่ายังไม่เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน ที่สามารถบังคับได้ตามความต้องการเช่นนั้นก็ตาม แต่ว่าก็ทรงพลังมากแล้ว
เซินถูยืนอยู่ภายนอกค่ายกล พูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าภูมิใจว่า “ไอ้หนู นี่เป็นค่ายกลมหาปัทมาที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษของตระกูลเซินเรา ค่ายกลนี้เคยสังหารเทพเซียนมาแล้วด้วย”
“ต่อให้พละกำลังของแกจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“แต่ว่า เพื่อเห็นแก่หน้าหลานเจียงแล้ว ฉันจะไว้ชีวิตแก เพียงแต่จะทำลายวรยุทธของแก ถือว่าเป็นการแก้แค้นให้กับผู้อาวุโสเจ็ดก็แล้วกัน”
หลินซื่อเฉิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เสี่ยวหยุน ปู่รับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของค่ายกลนี้ ก็เหมือนกับจะต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมของคนจำนวนมากมายพร้อมกันเลย!”
“ในสายตาของปู่ เห็นมันไม่ใช่เป็นแค่ค่ายกลด้วยซ้ำ แต่กลับเหมือนยักษ์ตัวหนึ่ง”
หลินหยุนมองไปยังหลินซื่อเฉิงด้วยสีหน้าที่เซอร์ไพรส์อีกครั้งหนึ่ง เขาพบว่าการหยั่งรู้ของปู่ตอนนี้ไม่เลวจริงๆ
อาจจะเป็นเพราะว่าปู่ได้ปกครองตระกูลหลินมานานหลายปีแล้ว มองเห็นชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ได้เห็นความผันผวนของชีวิตที่ไม่แน่นอน ดังนั้น จึงเข้าใจอะไรได้ง่ายยิ่งขึ้นตามไปด้วย
“คุณปู่พูดได้ไม่ผิดเลย ค่ายกลนี้ ก็คือการรวบรวมพละกำลังของทุกๆคนไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว”
“ค่ายกลนี้นับว่าแข็งแกร่งมากจริงๆ ถ้าผมเดาไม่ผิดละก็ ค่ายกลนี้ไม่ใช่คิดค้นขึ้นจากนักบู๊ทั่วไป คนที่คิดค้นค่ายกลนี้ออกมาได้ น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง”
“แต่ว่าในเมื่อเป็นค่ายกลแล้ว งั้นก็ย่อมต้องมีวิธีที่จะทำลายได้ด้วยเช่นกัน ค่ายกลนี้ถึงแม้ว่าไม่ธรรมดาก็จริง แต่ว่าคนที่ตั้งค่ายกลพวกนี้ พละกำลังก็ไม่เท่าไหร่ ดังนั้น พวกเขาก็ยังคงทำอะไรผมไม่ได้อยู่ดี”
เซินถูตะคอกด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุยโวโอ้อวด!”
“ฉันก็อยากลองดูเหมือนกันว่า แกจะสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ยังไง!”
“ลุยเลย!” เซินถูคำรามเสียงดัง ค่ายกลมหาปัทมาก็หมุนวนไปอย่างเต็มที่ทันที
ผู้อาวุโสทั้งเก้าที่เป็นผู้ควบคุมค่ายกลนี้ ซึ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุด พวกเขาเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนค่ายกลมหาปัทมาทั้งหมด
นี่ทำให้หลินหยุนเล็งเป้าหมายหลักได้ถูกต้อง
แต่ว่า หลินหยุนก็รู้สึกว่าคงไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
แต่เขาก็ยังคงใช้วิธีลงมือจู่โจมเพื่อเป็นการทดสอบก่อน
“ท่าสยบเขา!”
หลินหยุนเล็งไปยังผู้อาวุโสคนหนึ่ง แล้วชกหมัดออกไป
กระบวนท่าหมัดนี้ ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ช่องว่างสุญญากาศบริเวณรอบๆภายในรัศมีสิบเมตรก็สั่นสะเทือนไปหมด
หลังจากที่หลินหยุนได้เลื่อนขึ้นไปอยู่แดนรวมยาระยะกลางแล้ว ก็ได้สำแดงสิบแปดท่าต้าเต๋าออกมาอีกครั้ง พลังแรงที่ปลดปล่อยออกมานั้น ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน
เป้าหมายจู่โจมของหลินหยุน ก็คือผู้อาวุโสสามของตระกูลเซิน
ดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังหมัดที่แข็งแกร่งของหลินหยุนนี้แล้ว ผู้อาวุโสสามสีหน้าเคร่งเครียด ความเร็วในการขับเคลื่อนค่ายกล ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทันที
โป้ง!
ท่าหมัดนี้ ก็กระแทกลงไปบนตัวของผู้อาวุโสสามพอดี
แต่ว่า ผู้อาวุโสสามก็เพียงแค่ถอยหลังไปครึ่งก้าว ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
พลังแรงของหมัดนี้ เหมือนกับชกลงไปอยู่ในแหล่งพลังงานหมุนวนอย่างหนึ่ง ถูกพลังที่มองไม่เห็นนั้นกลืนกินจนไม่เหลือร่องรอยเลย
“มันไม่ธรรมดาจริงๆ”
หลินหยุนจึงหยุดการโจมตี แล้วยืนอยู่ที่เดิม มองดูผู้คนตระกูลเซินทั้งหลายที่วิ่งวนเวียน ด้วยความเร็วสูงอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง