จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 96 คนเดียวเอาชนะทั้งฉินโจว
บทที่ 96 คนเดียวเอาชนะทั้งฉินโจว
โม่หัวถิงและซูชิงเหยียนต่างพากันมองฝั่งหยูหมิงวั่งที่ประกาศยอมแพ้ ด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก
ความสามารถทางการแพทย์ของพวกเขาสองคนหยูหมิงวั่งและฝั่งของเขาไม่ได้ ยังมองความลึกซึ้งในวิธีการรักษาในรอบที่สองและ สามไม่ออก
แต่ว่า พอได้ยินฉินเสว่หมิงอธิบาย โม่หัวถึงและซูชิงเหยียนสองคน ก็พากันมองหลินหยุนด้วยความตกใจ!
สังคมในปัจจุบัน แพทย์ที่สามารถรักษาคนไข้ให้หายได้นั้น ถูกผู้คนยกยอว่าเป็นหมอเทพ ในขณะเดียวกันที่รักษาผู้ป่วย ยังสามารถไตร่ตรองถึงสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของผู้ป่วยด้วย นี่ต่างหากที่เป็นยิ่งกว่าหมอเทพ
แพทย์คนอื่นคือรักษาอาการป่วย มีเพียงหลินหยุนที่ช่วยชีวิต!
ปัจจุบันจังหวะในการใช้ชีวิตเริ่มเร็วขึ้น ความปรารถนาแรกของโรงพยาบาลหลายแห่ง ไม่ใช่การช่วยชีวิตจากความตาย รักษาอาการป่วย แต่คือการมองเห็นผลประโยชน์
ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ จรรยาบรรณของแพทย์ก็เริ่มลดน้อยลงอย่างน่าตกใจ
การขาดจรรยาบรรณทางการแพทย์คือความสามารถทางการแพทย์ที่ลดลง เพราะทุกคนต่างก็พยายามมองหาผลประโยชน์ ใครจะมีเวลาหมกมุ่นอยู่กับการเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับตนเอง?
วิชาชีพการแพทย์ หากไม่มีพรสวรรค์ที่จะเป็นหมอเทพ บางคนอาจจะต้องทำเหมือนเฉินหนงที่ต้องลองยาหลายชนิด อาศัยการสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ สัมผัสกับทุกโรค สุดท้ายถึงจะกลายเป็นหมอเทพได้
เพราะฉะนั้น แพทย์อย่างโม่หัวถิงและซูชิงเหยียนต่างก็พากันได้รับตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญหลายอย่าง พวกหยูหมิงวั่งอีกสองคนนั้นก็ยิ่งได้รับรางวัลเกียรติยศตลอดชีวิตของสมาคมการแพทย์ประเทศจีนแล้ว
เป็นเครื่องหมายแสดงว่าพวกเขาเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงไม่กี่คนของประเทศจีนแล้ว
แต่ว่า ตอนนี้พอมาเทียบกับหมอเทพที่แท้จริงอย่างหลินหยุน ก็ต่างกันอย่างชัดเจน
จางเหยียนและนักเรียนคนอื่นๆ ต่างพากันตกใจจนอ้าปากค้าง
สิ่งที่ฉินเสว่หมิงพูดไม่ได้ใช้เสียงเบานัก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พากันได้ยินหมด
“หลินหยุนไปเรียนวิชาทางการแพทย์ที่สูงส่งแบบนี้ตอนไหนกัน?”
“ใช่ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย? ฉันจำได้ว่าเขาเป็นนักเรียนของสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจวนะ!”
จางเหยียนสีหน้าไม่ดี พูดอะไรไม่ออกสักคำ
นักเรียนสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจว คิดไม่ถึงว่าจะสามารถเอาชนะแพทย์ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ได้
นี่มัน เป็นเรื่องที่ความอัปยศอดสูยิ่งนัก!
สีหน้าที่โอ้อวดของจงเฟยหยู่ ในที่สุดก็หายไป เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ
“นี่มัน เป็นไปได้ยังไงกัน! เขามีระดับความรู้ที่ลึกซึ้งในการแพทย์แบบนี้ได้ยังไง ก่อนหน้านี้ที่ฉันทำกับเขาแบบนั้น ทำไมเขาไม่ว่าอะไรสักคำ?”
เมื่อนึกถึงตอนที่เพิ่งเจอกัน ท่าทางของตัวเองที่หยิ่งยโสที่ทำต่อหน้าเขาแบบนั้น จงเฟยหยู่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“ตอนนั้นเขาคงแอบหัวเราะอยู่ในใจที่ฉันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสินะ!”
“หมอนี่มันร้ายจริงๆ ความสามารถในการแพทย์สูงขนาดนี้ คนหลายคนดูถูกเขาเยอะขนาดนั้น กลับไม่พูดอะไรสักคำ คงรอตบหน้าทุกคนอยู่สินะ!”
“แต่เขาเป็นนักเรียนสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์หลินโจวแท้ๆ จะมีความสามารถทางการแพทย์ที่สูงขนาดนี้ได้ยังไงกัน?” จงเฟยหยู่แอบสงสัยอยู่ในใจ
เวลานี้ พยาบาลคนหนึ่งนำผู้ป่วยคนที่หนึ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน
สีหน้าของผู้ป่วยคนนั้นสีหน้าสลดใจอย่างเห็นได้ชัด เขามาคุกเข่าให้กับหลินหยุนทันที พร้อมทั้งร้องไห้เสียงดัง “หมอเทพ ขอร้องล่ะช่วยผมด้วย!”
เมื่อมองเห็นภาพนี้ เรื่องผลการตรวจ ก็คงไม่ได้ต้องถามแล้ว
หลินหยุนมองไปที่ผู้ป่วยคนนั้น แม้ว่าเขาจะมีวิธีการรักษามะเร็ง แต่นั่นคือการเปิดเผยตัวตนการเป็นผู้บำเพ็ญเซียนของเขา
หลินหยุนไม่ใช่พ่อพระ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีทางช่วยผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ แล้วเปิดเผยตัวตนของตนเอง
“โรคมะเร็งในตับระยะแรกมีวิธีการรักษา มีความเป็นไปได้ที่จะรักษาหายสูงมาก คุณไม่ต้องขอร้องผม ไปโรงพยาบาลแล้วรักษาตามที่หมอบอกเถอะ!”
หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หมอเทพ ในเมื่อคุณมองออกว่าผมเป็นโรคมะเร็งในตับ งั้นก็แสดงว่ามีวิธีรักษาผมใช่ไหม? ขอร้องล่ะ ช่วยผมด้วย!”
เมื่อได้ยินว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยก็กระวนกระวายใหญ่แล้ว หลินหยุนเป็นเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยเขาได้
หลินหยุนมองที่ผู้ป่วยคนนั้นแวบหนึ่ง ค่อยๆ หันตัวไป สองมือไขว้หลัง ไม่ได้สนใจอะไรอีก
ผู้ป่วยคนนั้นนั่งทรุดตัวลงบนพื้น ความหวังทุกอย่างพังทลายลงหมด
แพทย์ยคนอื่นที่เหลือต่างก็แอบถอนหายใจกัน แม้ว่าจะเป็นโรคมะเร็งระยะแรก แต่ยังไงก็คือโรคมะเร็ง พวกเขาเองก็ไม่มีปัญญาจะช่วยอะไรได้ คงต้องพึ่งคีโมอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากผู้ป่วยถูกพยาบาลนำตัวกลับไป กรรมการที่อยู่ตรงนั้นก็พากันปรึกษากันสักพัก จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมกัน
“ทุกท่าน ผมขอประกาศว่า การแข่งขันระดับอาจารย์ที่ปรึกษาในครั้งนี้ หลินโจวชนะครับ!”
“ฝั่งฉินโจวมีความเห็นที่แตกต่างไหมครับ?”
หยูหมิงวั่งก้มหน้าตอบ “ไม่ครับ”
“เย้!”
เมื่อได้ยินว่าหยูหมิงวั่งไม่มีความเห็นใดๆ นักเรียนของหลินโจวที่อยู่ด้านล่างต่างก็พากันดีใจกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่
หลินโจว นี่คือครั้งแรกที่เอาชนะฝั่งฉินโจวได้ แถวยังเป็นการแข่งขันในระดับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย
“หลินหยุน นายสุดยอดเลย!”
ถ้าจะบอกว่าหลินโจวชนะ บอกว่าหลินหยุนชนะจะดีกว่า
เรื่องนี้ ทุกคนต่างก็เห็นชัดเจน
“หลินหยุน นายเก่งจริงๆ เลย!”
เพื่อนๆ ต่างพากันพูดชื่นชมเขายกใหญ่ แม้แต่จางเหยียนและเพื่อนหลายคนที่ดูถูกหลินหยุนก่อนหน้านี้ เวลานี้ต่างก็พากันยิ้มด้วยความตื่นเต้น
“เราเอาชนะฉินโจวได้แล้ว ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?” ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของสมาคมแพทย์คนหนึ่งกล่าวขึ้น เหมือนว่ายังไม่อยากจะเชื่อเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า
“ท่านหลิว เราชนะแล้ว ท่านไม่ได้ฝันไป!” ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ ตอบด้วยเสียงดังและตื่นเต้น
โจวชิงเหอหัวเราะอย่างหนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ “หมอเทพหลิน ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องชนะแน่ๆ!”
โม่หัวถิงและซูชิงเหยียนสบตากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย
แต่ว่า ทั้งสองคนคือผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงมานาน พวกเขารู้ดีว่าชัยชนะที่มาได้ยากครั้งนี้ ความจริงแล้วเกิดขึ้นจากผลงานของหลินหยุนคนเดียว
โม่หัวถิงเดินเข้าไป จากนั้นอยู่ดีๆ ก็โค้งคำนับให้หลินหยุน
“ท่านโม่ ท่านทำอะไรครับ?” เสี่ยวหลี่ผู้ช่วยของศาสตราจารย์โม่ตะโกนถามด้วยความรีบร้อน
ต้องรู้ว่าการที่คนฐานะอย่างโม่หัวถิง โค้งคำนับให้เด็กอายุ 20 อย่างหลินหยุนแบบนี้ หากเรื่องนี้ถูกลือออกไปคงมีผลกระทบที่ไม่ดีแน่
แต่ว่า โม่หัวถิงยื่นมือออกไปห้ามเสี่ยวหลี่ไม่ให้พูดอะไรต่อ ตาทั้งสองข้างจับจ้องไปที่หลินหยุน จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้เพราะผมรู้สึกว่าหมอเทพหลินอายุยังน้อย ดูถูกหมอเทพหลินเอาไว้ เป็นเพราะผมแก่เลอะเลือน ผมขอโทษจริงๆ ครับ!”
พอพูดจบ โม่หัวถิงก็โค้งคำนับให้หลินหยุนอีกครั้ง
“ศาสตราจารย์โม่!” ครั้งนี้ไม่เพียงแค่ผู้ช่วยอย่างเสี่ยวหลี่หลายคนต่างก็พากันตะโกนขึ้นด้วยความเป็นห่วง
เพราะไม่ว่ายังไง ตามฐานะของศาสตราจารย์โม่ การที่ขอโทษผู้น้อย เป็นการให้เกียรติหลินหยุนมากพอแล้ว หากยังทำความเคารพแบบนี้อีก คนอื่นมองว่าหลินหยุนต่างก็มองว่าหลินหยุนไม่สมควรได้รับมัน
แต่ว่า หลินหยุนกลับรับไว้อย่างไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
เขาที่เป็นถึงมหากษัตริย์ชางฉอง อย่าว่าแต่โม่หัวถิงเลย แม้แต่คนที่มีอำนาจสูงสุดของโลกนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น การที่ได้ทำความเคารพหลินหยุน ความจริงแล้วเป็นเกียรติของเขาต่างหาก
เมื่อก่อน ผู้ที่มีกำลังสามารถทำลายล้างโลกมนุษย์ได้หลายคน อยากจะเจอหลินหยุนสักครั้งยังทำได้ยาก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทำความเคารพของมาหัวถิง หลินหยุนไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจเลยสักนิด แต่กลับมองโม่หัวถิงด้วยสายตาของผู้สูงส่งมองผู้น้อย ใบหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ จากนั้นจึงพูดตอบว่า “ความมีทิฐิและอคติของคุณ ทำให้ระดับความรู้ทางการแพทย์ของคุณถึงขีดจำกัดแล้ว ชีวิตนี้ยากที่จะก้าวหน้าไปกว่านี้แล้ว”
“จิตใจที่กว้างและลึกล้ำเหมือนหุบเขา ถึงจะเป็นสิ่งที่แพทย์ที่มีชื่อเสียงควรมี”
สีหน้าตอนนี้ของหลินหยุน เหมือนอาจารย์ที่ปรึกษาคนหนึ่ง กำลังสั่งสอนลูกศิษย์ของตนเอง
แต่ว่านักเรียนของเขาคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะหรือตำแหน่ง หรือแม้กระทั่งอายุก็มากกว่าเขาอย่างศาสตราจารย์โม่
สถานการณ์เช่นนี้ สำหรับคนนอกมอง ก็มักจะทำให้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก
เสี่ยวหลี่ผู้ช่วยของโม่หัวถิงหัวเราะเยาะ “เจ้าหนุ่ม นายอย่าทำเกินไป ศาสตราจารย์โม่จิตใจกว้างขวาง ขอโทษนาย แต่นายกลับได้คืบจะเอาศอก มาทำเป็นสั่งสอนท่านอีก!”
โม่หัวถิงจ้องเขม็งไปที่เสี่ยวหลี่จนเขาตกใจไม่กล้าพูดอะไร
“หมอเทพหลิน ผู้ช่วยคนนี้ของผมไร้มารยาท ขออภัยด้วยนะครับ! คำตักเตือนด้วยความปรารถนาดีของคุณ ผมจะจดจำใส่ใจไว้ครับ!”