จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 974 เถ้าแก่ประจำหมู่บ้าน
พวกหลินหยุนเดินทางโดยไม่หยุดพักเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมงแล้ว แต่ว่า ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่างเลย
คาร์นอตวิลเลียมพูดด้วยความสงสัยว่า “แปลกจัง พวกเราเดินทางมานานขนาดนี้ ตามหลักแล้วช่วงนี้ท้องฟ้าน่าจะสว่างแล้ว ทำไมถึงตอนนี้ฟ้ายังไม่สางเลย?”
ฉูเหอพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กน้อย เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก!”
“พวกเรามุ่งหน้าไปยังทุ่งน้ำแข็งตอนเหนือสุดมาโดยตลอด เกรงว่าที่นี่น่าจะเข้าใกล้ขั้วโลกเหนือแล้ว อาจไม่แน่ว่าพวกเรากำลังเผชิญกับสภาวะรัตติกาลในยามกลางวันที่เรียกว่าโพล่าไนท์ก็ได้”
ตางอู่พูดว่า “ปรากฏการณ์โพล่าไนท์ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับพวกเรามากนัก แต่กลับเป็นอุปสรรคสำหรับคนธรรมดาทั่วไปพวกนั้น เช่นนี้แล้วสำหรับพวกเรากลับกลายเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป อย่างน้อยที่สุดนักผจญภัยพวกนั้นก็คงไม่ปรากฏขึ้นในสภาพอากาศโพล่าไนท์เช่นนี้”
หลินหยุนถามว่า “พวกเราห่างจากตำแหน่งนั้นอีกนานเท่าไหร่?”
ตางอู่หยิบแผนที่จากเป้ข้างหลังออกมาดู แล้วชี้ไปที่จุดสีแดงตรงข้างๆรูปภูเขานั้น แล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกเราก็น่าจะอยู่ตำแหน่งนี้ รอให้ข้ามภูเขาลูกนั้นไปก็น่าจะใกล้ถึงสถานที่ที่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“ไปเถอะ รีบไปหาน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้พบเร็วที่สุด” หลินหยุนพูด
“ได้”
พวกเขาก็เดินทางต่อไปข้างหน้า หลังจากผ่านไปสิบกว่าลี้ ก็ได้เห็นภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งจริงๆ
“เห็นที่ว่าพวกเราคาดคะเนไม่ผิดแล้ว ข้ามภูเขาลูกนี้ไปก็ห่างจากหุบเขาที่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นไม่ไกลแล้ว” ตางอู่พูดด้วยความดีใจ
“งั้นจะรออะไรอีกล่ะ รีบปีนเขาต่อสิ!” คาร์นอตวิลเลียมตอนนี้กลับมีพลังเพิ่มขึ้นมาทันที
“ไป!”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ พวกเขาก็เริ่มปีนเข้าภูเขาไป
ภูเขาลูกนี้อยู่สูงกว่าน้ำทะเลหนึ่งพันเมตร ก็ไม่สูงมากนัก แต่ว่าสภาพอากาศที่เป็นโพล่าไนท์เช่นนี้ บวกกับมีหิมะปกคลุมมาตลอดทั้งปี ทำให้การปีนข้ามภูเขาลูกนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก
ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้ว คาดว่าจะต้องล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว
แต่ว่าพวกหลินหยุนทั้งสี่คนต่างก็เป็นคนที่เหินเดินอากาศได้ ถึงแม้ว่าปีนข้ามภูเขาลูกนี้ไป ต้องสูญเสียพลังงานไปมากก็ตาม แต่ว่าก็ไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาได้
ระหว่างทางนั้น ทั้งสี่คนก็ได้พบเห็นซากศพคนตายที่แข็งเป็นน้ำแข็งจำนวนหนึ่ง
คาร์นอตวิลเลียมพูดด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าคนพวกนี้ก็มาตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันเหรอ?”
ตางอู่พูดวิเคราะห์ว่า “ไม่ใช่หรอก ดูจากการแต่งกายพวกเขาแล้ว น่าจะเป็นพวกนักไต่เขาธรรมดาเท่านั้นเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักผจญภัยมากกว่า ไม่ใช่เป็นคนที่มาตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์”
ฉูเหอพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กน้อย หรือว่าคุณดูไม่ออกว่า ซากศพที่พวกเราเจอพวกนั้น เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ ส่วนใหญ่เป็นแบบเก่ากว่าร้อยปีมาแล้วหรือไง?”
“บนเขานี้มีน้ำแข็งที่ไม่ละลายปกคลุมตลอดทั้งปี ศพพวกนี้จึงไม่เน่าเปื่อย”
คาร์นอตวิลเลียมพูดคัดค้านว่า “ทำไมฉันจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เมื่อร้อยปีก่อนฉันยังไม่รู้อยู่ที่ไหนเลย?”
“เอาเถอะ รีบไปกันเถอะ ข้ามภูเขาลูกนี้ไปพวกเราก็ใกล้ถึงหุบเขาที่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ตางอู่พูดพลางเดินไปพลาง
เดินทางท่ามกลางความมืดบนเขาภูเขาน้ำแข็ง ก็รู้สึกได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง
แต่ว่าทั้งสี่คนก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะไปดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในยามค่ำคืนของภูเขาหิมะเช่นนี้ ในไม่ช้าก็ได้ลงมาจากภูเขาหิมะแล้ว
ตางอู่ก็หยิบแผนที่ออกมาอีกครั้ง หลังจากดูแล้ว ก็พูดว่า “ถ้าตามแผนที่ที่ผู้อาวุโสคนนั้นได้เขียนภาพทิวทัศน์ในตอนนั้นไว้บนแผนที่นี้ ระยะทางที่ห่างออกไปห้าลี้ก็น่าจะมีหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
คาร์นอตวิลเลียมไม่เชื่อ “เป็นไปได้ยังไง! ใครจะไปอาศัยอยู่ในที่บ้าบอแบบนี้ได้”
ตางอู่ดูเหมือนไม่ค่อยแน่ใจนัก จึงพูดว่า “แผนที่นี้ได้เขียนไว้หลายสิบปีแล้ว ตอนนี้หมู่บ้านเล็กๆนั้นน่าจะหายสาบสูญไปนานแล้วล่ะ!”
ฉูเหอพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กน้อย ฉันก็บอกแล้วว่าความรู้คุณน้อยนิดเหมือนกบในกะลา! ก็ย่อมไม่มีใครที่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่กันดารเช่นนี้หรอก แต่ว่าถ้าหากหมู่บ้านนั้นสร้างขึ้นสำหรับนักผจญภัยโดยเฉพาะ และยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งที่ต้องการมาชมแสงเหนือที่นี้อีกล่ะ?”
ตางอู่พูดว่า “นี่ก็น่าจะเป็นไปได้ อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นทั่วโลกเหนือ”
หลินหยุนพูดว่า “พวกเราไปดูกันเถอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่บ้านเล็กๆนั้นยังมีอยู่อีกหรือเปล่า”
“ไปเถอะ”
ทั้งสี่คนก็เดินทางมุ่งหน้าต่อไปราวประมาณห้าลี้ ก็ได้เห็นมีบ้านเรือนจำนวนหลายหลังที่สร้างขึ้นท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน
“เป็นหมู่บ้านเล็กๆจริงๆด้วย!” คาร์นอตวิลเลียมพูดด้วยความรู้สึกเซอร์ไพรส์
ตางอู่ก็พูดด้วยความดีใจว่า “บริเวณรอบๆบ้านพวกนั้นไม่มีหิมะเลย ดูท่าทีแล้วที่นี่น่าจะมีคนอาศัยอยู่มาโดยตลอด”
คาร์นอตวิลเลียมพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาข้อมูลจากคนพวกนั้น”
พูดว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เกิดปรากฏการณ์โพล่าไนท์ละก็ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว
คาร์นอตวิลเลียมผลักประตูไม้ที่ปิดอยู่ของโรงแรมนั้น ก็มีไออุ่นโชยมาตรงหน้า
ภายในโรงแรมไม่มีแขกเลย ข้างหลังเคาน์เตอร์ที่เรียบง่าย มีคนชราไว้หนวดเคลาคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหลังก็เป็นชั้นวางสุรา
เมื่อเห็นมีแขกเดินเข้ามา ชายชราก็ทักทายด้วยความอบอุ่นว่า “ไฮ พวกคุณต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่มาดูแสงเหนืออย่างแน่นอนเลย โชคดีมากพวกคุณได้พบกับโพล่าไนท์ แล้ว”
“คราวนี้พวกคุณสามารถชื่นชมแสงเหนือ แล้วก็สามารถสัมผัสโพล่าไนท์อีกด้วย มันช่างคุ้มค่าเสียจริง!”
เถ้าแก่พูดพลางทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปพลาง ก็เหมือนกับพ่อค้าคนกลางคนหนึ่ง
จู่ๆคาร์นอตวิลเลียมก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มภูมิใจว่า “ไม่ต้องเสแสร้งแล้วจอร์จ มือของคุณได้แสดงตัวตนของคุณออกมาแล้ว”
ไปตามสายตาของคาร์นอตวิลเลียม พวกหลินหยุนก็มองไปยังมือของชายชราคนนั้น
มือของเขามีแค่แปดนิ้วเท่านั้น มือทั้งสองข้างต่างก็ไม่มีนิ้วก้อย
อีกอย่าง มือของเขาก็เป็นตั้งแต่เกิดแล้ว นิ้วก้อยไม่ใช่ถูกหักภายหลังอย่างนั้น
คาร์นอตวิลเลียมพูดต่อไปว่า “ในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่เกิดมามีนิ้วแค่แปดนิ้วเท่านั้น ก็คือยักษ์แปดนิ้วที่ชื่อว่าจอร์จ”
ในที่สุดชายชราคนนั้นก็ไม่เสแสร้งอีกแล้ว ชั่วพริบตาเดียวออร่าทั้งตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ชายชราที่หมดสภาพเมื่อครู่นี้ กลายมาเป็นผู้หยั่งรู้ที่อันตรายรอบด้านไปทันที
“คุณเป็นใคร? ถึงกับจำได้ทันทีที่เห็นฉัน!”
คาร์นอตวิลเลียมเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งว่า “ฉัน แดร็กคิวล่าผู้สูงส่ง ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียม!”
จอร์จพูดว่า “ที่แท้ก็คือเผ่าโลหิตนี่เอง มิน่าล่ะเห็นฉันครั้งแรกก็จำได้แล้ว!”
พอพูดจบ จอร์จก็มองไปยังพวกหลินหยุน แล้วพูดว่า “พวกคุณน่าจะเป็นนักบู๊ชาวจีนใช่ไหม? ดูท่าทีแล้วพวกคุณก็คงมาตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันสิ”
“แปลกจังเลย เผ่าโลหิตทำไมถึงอยู่กับนักบู๊ชาวจีนได้ยังไง?”
คาร์นอตวิลเลียมยิ้มแล้วพูดว่า “เผ่าโลหิตทำไมถึงอยู่กับนักบู๊ชาวจีนไม่ได้ล่ะ?”
“คุณต่างหากที่ทำให้ฉันแปลกใจมาก คุณเป็นเถ้าแก่โรงแรมนี้จริงเหรอ?”
จอร์จพูดว่า “ไม่ใช่แน่นอน โรงแรมนี้ฉันเพิ่งจะเช่าไว้ไม่นานนี้เอง ทำให้ฉันเสียเงินไปเยอะเลย”
คาร์นอตวิลเลียมหัวเราะแฮ่ๆ เดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว มองดูจอร์จแล้วพูดเสียงเบาๆว่า “ในเมื่อคุณมาเช่าโรงแรมนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จะต้องทำเพื่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมล่ะ?”
จอร์จส่ายหน้า “ไม่ใช่ ตอนที่ฉันเช่าโรงแรมนี้ เป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่น้ำศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นเสียอีก”
“ฉันมาที่นี่เพื่อสืบหาเรื่องเรื่องหนึ่ง”
คาร์นอตวิลเลียมไม่ได้ถามจอร์จว่าสืบหาเรื่องอะไร เพราะว่าเขารู้ว่าถามไปแล้วจอร์จก็คงไม่ตอบ นี่เป็นมารยาทระหว่างยอดฝีมือในกาฬโลก
แต่ว่าคาร์นอตวิลเลียมกลับถามคำถามอีกอย่างว่า “เมื่อกี้คุณบอกว่าพวกเราก็มาตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน งั้นแสดงว่านอกจากพวกเราแล้ว คุณยังพบเห็นใครอีกเหรอ?”
จู่ๆจอร์จก็พูดด้วยสีหน้าสะท้านใจว่า “ที่มาคราวนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ฝีมือระดับอย่างฉัน ไม่หวังอะไรกับน้ำศักดิ์สิทธิ์หรอก”
คาร์นอตวิลเลียมถามด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจว่า “ไหนพูดมาซิว่ายอดฝีมือพวกไหนกันถึงกับทำให้ยักษ์แปดนิ้วยังเกรงกลัวเลย”
จอร์จพูดว่า “ลีโอ คาริน่า ยะโซแค่นี้พอไหมล่ะ?”
คาร์นอตวิลเลียมตกใจเล็กน้อย “ผู้นำขององค์กรศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำของแม่ม่ายดำถึงกับมาเองเลย!”
“แต่ว่าคนพวกนี้ถึงแม้จะแข็งแกร่งก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้ยักษ์แปดนิ้วอย่างคุณต้องเกรงกลัวด้วยเลย”
จอร์จหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าฉันบอกคุณว่า หมาป่าเพลิงที่อยู่ลำดับสามของประกาศมืดก็มาด้วย คุณจะรู้สึกยังไง?”
คาร์นอตวิลเลียมพูดอย่างตกใจขึ้นมาทันทีว่า “อะไรนะ! หมาป่าเพลิงก็มาด้วย!”
“นี่ก็หมายถึงยอดฝีมือลำดับสามของประกาศมืดทั้งหมดเลย!”