จักรพรรดิเซียนหวนคืน - ตอนที่ 6
บทที่ 6 ค้นพบชีพจรวิญญาณ
EnjoyBook
บทที่ 6 ค้นพบชีพจรวิญญาณ
ณ ภูเขาเฉียนหลง รถยนต์แล่นไปตามท้องถนนที่ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว
เฉินฮั่นหลงเป็นคนมีหัวการค้าเป็นอย่างมาก ในตอนที่ค้นพบที่นี่เขาไม่ได้ทำลายธรรมชาติรอบ ๆ เลยสักนิดเดียว พอมองจากที่ไกล ๆ เหมือนกับกลุ่มบ้านพักตากอากาศที่หลบอยู่ในป่าไม้ราวกับดินแดนสวรรค์ มีสถานที่สงบ ๆ อยู่ในเมืองที่มีเสียงดังรบกวนมากมายเช่นนี้ ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงมีแต่คนชอบที่นี่
บ้านพักตากอากาศที่เฉินฮั่นหลงมอบให้ฉู่ชวิ๋นเป็นบ้านที่เขาจะเก็บไว้ให้ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของที่ตั้งหรือโครงสร้างตัวบ้านก็ดีกว่าหลังอื่น ๆ พอจอดรถได้ ฉู่ชวิ๋นก็เดินเข้าไปในบ้าน พื้นที่ปูด้วยพรมบอสเนียทำมือ ทำให้เมื่อเท้าสัมผัสก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล โซฟาหนังจากอิตาลี มีการตกแต่งมีคลาสที่ไม่เน้นความหรูหรา ทุกสถานที่อากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี รสนิยมดี ๆ แบบนี้จะต้องไม่ใช่ของผู้ชายอย่างเฉินฮั่นหลงแน่ ๆ คาดว่าจะต้องเป็นไป๋จิ้งมากกว่า นี่เป็นบ้านพักสามชั้นมีระเบียงยื่นออกมาด้านหน้า ซึ่งมีมากกว่าบ้านพักหลังอื่น ๆ หนึ่งชั้น เมื่อยืนอยู่ชั้นที่สามบวกกับจุดที่ตัวบ้านตั้งอยู่ ทำให้สามารถมองเห็นความงดงามหมู่บ้านบนภูเขานี้ได้ทั้งหมด
ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่ตรงหน้าต่างของชั้นสาม ยืมรับลมและปล่อยความคิดให้ลอยไป คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
“พ่อกับแม่ไปอยู่ที่ไหนกันนะ?”
“ใครกันแน่ที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ทำไมต้องทำร้ายเรา?” ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ปวดหัวอยู่เหมือนกัน เขายกมือขึ้นมานวดที่หัวคิ้ว และในขณะเดียวกันสายตาก็พลันมองออกไปยังที่ไกล ด้วยสีหน้าหวั่นใจสิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นหวั่นใจได้มีไม่มาก
ภูเขาสูงใหญ่ ณ ที่ไกล ๆ ที่มีความสูงพอ ๆ กับภูเขาเฉียนหลง ยืดยาวออกไปเกือบร้อยกิโล ราวกับมังกรยักษ์ที่กำลังนอนอยู่
“ชีพจรวิญญาณ” เนิ่นนานกว่าฉู่ชวิ๋นจะพูดพึมพำออกมา เขาคิดไม่ถึงว่าโลกที่พลังเหนือธรรมชาติเหือดแห้งเช่นนี้จะมีชีพจรวิญญาณอยู่
สำหรับผู้ฝึกตนเป็นเซียนแล้วชีพจรวิญญาณถือเป็นเหมือนการได้รับรางวัลชิ้นใหญ่สามารถเพิ่มพละกำลังให้มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวให้กับผู้ฝึกตนเป็นเซียน ถ้าหากสามารถนำชีพจรวิญญาณของพลังเหนือธรรมชาติมาได้ ฉู่ชวิ๋นจะใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณขั้นกลางได้ทันที!
เพียงแว๊บเดียวในหัวของฉู่ชวิ๋นก็คิดได้หลายร้อยหนทาง สุดท้ายก็เลือกที่จะใช้ ค่ายกลดูดวิญญาณฟ้า
ค่ายกลดูดวิญญาณฟ้า ไม่เพียงแต่สามารถดูดพลังเหนือธรรมชาติได้ มันยังเป็นค่ายกลต่อสู้ชนิดหนึ่ง มีทั้งการโจมตีและป้องกันที่เพียบพร้อม และรวมอยู่ในฟ้าดิน แต่ทว่าการที่จะสร้าง ค่ายกลดูดวิญญาณฟ้า ให้สำเร็จวัตถุดิบที่ต้องการก็ราคาไม่เบาเหมือนกัน แต่โชคดีที่ได้เงินยี่สิบล้านจากเฉินฮั่นหลงมามันน่าจะเพียงพอ
เวลานี้พระอาทิตย์เริ่มตกดิน ฉู่ชวิ๋นนั่งลงขัดสมาธิเริ่มการฝึกตนนี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนเป็นเซียนจะต้องทำ
วันต่อมา
เมื่อฉู่ชวิ๋นตื่นจากการฝึกก็ขับรถเข้าไปในเมือง การสร้างค่ายกลอันหนึ่งสำหรับฉู่ชวิ๋นแล้วเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ แต่วัตถุดิบที่ต้องใช้มันอาจจะดูโหดร้ายไปสักหน่อย เพราะต้องใช้ชิ้นส่วนหยกไขกระดูกจริง ๆ แล้วการใช้วัตถุดิบอย่างหยกชั้นดีก็สามารถทดแทนได้ แต่วิธีการนี้เกี่ยวข้องกับความคืบหน้าของการฝึกตนในอนาคตของเขา ดังนั้นเขาจะไม่ประมาทเด็ดขาด
ข้อแม้ของการหาหยกไขกระดูกมันก็ยากและเขี้ยวอยู่ไม่น้อย เพราะหยกนับหมื่นชิ้นยังอาจไม่มีหยกไขกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียว และอีกอย่างอายุของหยกยังต้องเป็นร้อยเป็นพันปีอีกต่างหาก ในโลกที่พลังเหนือธรรมชาติน้อยแบบนี้ การหาหยกเช่นนี้ก็ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์น้อยลงไปอีก ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นทำได้แค่ต้องพึ่งดวงแล้วล่ะ
ณ ดินแดนแห่งของโบราณหัวหลิง ตอนที่ก่อตั้งเมืองกู่เจียง ดินแดนแห่งของโบราณหัวหลิงก็ถือว่ามีชื่อเสียงมาอยู่ก่อนแล้ว ที่แห่งนี้มีคนจากหลากหลายชนขั้นและมีแต่ที่นี่ที่จะหาหยกเก่าแก่ได้ เพราะนี่เป็นสวรรค์สำหรับผู้ฝึกการต่อสู้หรือจอมยุทธ์ ฉู่ชวิ๋นจอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปในเมือง
“หยกพันปี พกแล้วร่างกายแข็งแรง ปัดเป่าโรคภัย”
“กระโถนจักรพรรดิ เพิ่งจะถูกขุดขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ มั่นใจได้ว่ามีเพียงชิ้นเดียว ใครให้ราคาสูงก็เอาไปเลย”
“ผ้าคาดอกนางสนม ยังมีกลิ่นหอมอยู่เลย รับรองว่าเป็นกลิ่นดั้งเดิม ซื้อไปให้เมียใส่รับรองว่าคุณจะได้เป็นจักรพรรดิเฉียนหลง”
ร้านค้าเล็ก ๆ เต็มสองข้างทาง เสียงร้องโฆษณาขายของด้วยความตลกขบขันดังระงม ของที่นี่บอกเลยว่าสิบอันคงจะมีของจริงแค่อันเดียว อยากจะหาของจริงก็คงต้องพึ่งสายตาและประสบการณ์ของตนเอง
ฉู่ชวิ๋นค่อย ๆ เดินและใช้ดวงตาเซียนมองไปเรื่อย ๆ ของทุกอย่างไม่สามารถคลาดสายตาของเขาไปได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งที่เขาต้องการเลยสักชิ้นและที่มันทำให้เขาหัวเราะทั้งน้ำตานั่นก็คือรูปปั้นทองแดงของคุณปู่เหมาพลิกดูด้านล่างเขียนไว้ว่าสร้างในช่วงของจักรพรรดิเฉียนหลง
จะปลอมก็ปลอมให้มันเนียน ๆ หน่อยไม่ได้รึไง? ฉู่ชวิ๋นรู้สึกหมดหวังนิดหน่อย สงสัยว่าวันนี้จะมาเสียเที่ยวซะแล้วและในตอนที่เขาคิดว่าจะกลับนั่นเอง ในตอนที่ก้าวขากลับสายตาพลันเหลือบไปเห็นร้านค้าที่ห่างออกไปราวสิบกว่าเมตร
ร้านเจินเป่า
ดวงตาเซียนของฉู่ชวิ๋นสามารถครอบคลุมได้ในระยะสิบกว่าเมตรบริเวณรอบ ๆ และเขาก็รับรู้ถึงคลื่นเบา ๆ ของพลังวิญญาณ ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไป ดูจากภายนอกไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าร้านแห่งนี้จะมีของธรรมดาขายมากกว่าสองร้อยชิ้น ตกแต่งด้วยกลิ่นอายโบราณ มีหลายจุดที่มีไม้กฤษณา มีกลิ่นอ่อน ๆ อบอวลอยู่ในร้านตลอด และมีฤทธิ์ทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา
ข้างในมีแขกอยู่หลายคนแล้ว พอเห็นฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามา ก็มีพนักงานเดินเข้ามาทักทาย “ไม่ทราบว่าคุณต้องการอะไรครับ เชิญดูด้านในก่อน หรือไม่ก็บอกสิ่งที่ต้องการมา ผมสามารถช่วยคุณหาได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวขอฉันดูเองก่อนแล้วกัน” พนักงานพยักหน้าแล้วถอยออกไปอย่างรู้งาน
ฉู่ชวิ๋นส่งดวงตาเซียนออกไปอีกครั้ง พลังที่คลุมเครือนั้นยังคงมีอยู่ มันไม่ได้อยู่บริเวณรอบ ๆ แต่กลับอยู่หลังร้าน ฉู่ชวิ๋นใช้สัมผัสและเดินเข้าไปด้านในเรื่อย ๆ
“หยุดก่อนครับ ด้านในคนนอกเข้าไม่ได้ครับ” พนักงานรีบวิ่งเข้ามาบอกก่อนจะยิ้ม
“ไม่ให้คนนอกเข้าไป หรือว่าไม่ให้ฉันเข้าไป” ฉู่ชวิ๋นพูดไปยิ้มไปเพราะเมื่อครู่เขาเห็นมีคนเดินเข้าไป
“เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ นี่เป็นกฎของเจ้าของร้าน จะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อมีคำเชิญจากเจ้าของร้านเท่านั้น”
“งั้นนายก็ช่วยไปบอกเจ้านายของนายหน่อยละกัน ว่าของที่ฉันอยากได้อยู่ข้างในนั้น” พนักงานมองฉู่ชวิ๋นด้วยความสงสัย ยังไม่ได้เข้าไปเลยแล้วรู้ได้ยังไงว่าข้างในมีของที่ตัวเองอยากได้ แต่ว่าคนที่มาร้านขายสมบัติแบบนี้ ก็มีแต่พวกคนมีเงินทั้งนั้น ไม่ใช่คนที่ต้อยต่ำอย่างเขาจะไปทำให้ผิดใจ
“รอตรงนี้ก่อนนะครับ” ว่าแล้วพนักงานก็วิ่งเข้าไป เพียงครู่เดียว พนักงานก็เดินกลับออกมา ข้างหลังยังมีหญิงสาวที่น่ารักอ่อนช้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดง รูปร่างดีเดินตามออกมา พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เกล้าผมเป็นรูปดอกไม้ แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่พร้อมจะโจมตีตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะชอบสีแดงเป็นชีวิตจิตใจ
“เจ้านายครับ…นี่คือคนที่ผมพูดถึงครับ” พนักงานบอกกับหญิงสาว
หญิงสาวเห็นฉู่ชวิ๋นก็อึ้งไปเล็กน้อย เพราะเขายังหนุ่มยังแน่น และคนหนุ่มที่ให้ความสนใจกับเรื่องสมบัติเก่าแก่พวกนี้มีไม่มากนัก
“หนุ่มน้อย…อยากจะเข้าไปข้างในเหรอ?” หญิงสาวยิ้มอ่อน พูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“คุณควรจะรู้ว่าถ้าเข้าไปข้างใน ไม่ว่าจะถูกใจของชิ้นไหนก็ต้องให้ราคาที่ไม่ต่ำกว่า…ห้า” หญิงสาวว่าพลางยกนิ้วที่เรียวยาวดุจหยกทั้งห้านิ้วขึ้นมา
“ห้าล้านเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หญิงสาวอึ้งไปนิดหน่อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พ่อหนุ่มช่างเป็นคนตลกซะจริง ๆ แค่ห้าหมื่นจ๊ะ ทำพี่สาวตกใจหมดเลย”
“งั้นก็นำทางไปได้เลย” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ
หญิงสาวมองฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ เธอมั่นใจในความสวยของเธอที่ไม่ว่าเด็กแปดขวบหรือคนแก่อายุแปดสิบปี ขอเพียงแค่เป็นผู้ชายเมื่อได้เจอเธอรับรองว่าไม่มีใครเย็นชาใส่แบบนี้
หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นเจอเธอแล้วกลับเย็นชาอย่างนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีนัก อย่าบอกนะว่าเสน่ห์ของเธอลดลงแล้ว เธอดูออกว่าฉู่ชวิ๋นไม่ได้แกล้งไม่สนใจ เพราะสายตาเขามันบ่งบอกทุกอย่าง
“พี่ชื่อหงหลิง ไม่ทราบว่าต้องเรียกพ่อหนุ่มว่ายังไงเหรอ?”
“ฉู่ชวิ๋น”
“น้องฉู่ชวิ๋น เชิญด้านในเลยจ้ะ” หงหลิงหมุนตัวอย่างสวยงามเดินสะบัดก้นงอนนำทางไป พอเข้าไปฉู่ชวิ๋นถึงรู้ว่าข้างในต่างกับข้างนอกนั่นอย่างกับคนละโลก
นี่เป็นห้องเรียบ ๆ ที่มีความกว้างประมาณ สองร้อยตารางเมตร ตกแต่งอย่างประณีต ของภายในมีค่ามากกว่าข้างนอกหลายเท่าตัว มีคนเจ็ดถึงแปดคนที่อยู่ข้างใน แต่ละคนใส่ชุดดูดี สวมรองเท้าหนัง ล้วนแล้วแต่มีมาดเป็นคนมีหน้ามีตาทั้งนั้น พอเห็นฉู่ชวิ๋นพวกเขาแค่มองแบบผ่านๆ ก่อนจะกลับไปคุยกับคนข้าง ๆ ต่อ ในสายตาของพวกเขาฉู่ชวิ๋นเป็นแค่คนที่พยายามทำให้ตัวเองดูสูงศักดิ์เท่านั้น หรือไม่ก็มาเพื่อเจอกับหงหลิง
“ไม่ทราบว่าเถ้าแก่แต่ละท่านมีของถูกใจแล้วรึยังคะ?” หงหลิงเดินเข้าไปถามพลางยิ้ม
“น้องหงหลิง ที่พวกเรามาวันนี้ก็เพราะของที่เธอบอกนั่นแหละ อย่ามาเสียเวลาเลยน่า” ชายอ้วนวัยกลางคนพูด พร้อมกับมองร่างกายของหงหลิงขึ้น ๆ ลง ๆ
“ผมว่าในร้านขายสมบัตินี่ ของที่แพงที่สุดก็คงจะเป็นหงหลิงแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าผมพอจะมีโอกาสเอาของล้ำค่าชิ้นนี้กลับไปดูแลรึเปล่า” ชายอายุสามสิบกว่าที่ดูสง่าพูดขึ้น
“ถ้าหากเป็นไปได้ ผมยอมที่จะขายบ้านขายรถเพื่อมาแย่งเอากลับบ้านไปให้ได้เลยล่ะ”
“……” คนทั้งเจ็ดพูดทีเล่นทีจริง
หงหลิงก็แค่ยิ้มบาง ๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบไป เพราะเธอรู้ถึงจุดหมายของชายพวกนี้ดี ฉู่ชวิ๋นเข้ามาก็เอาแต่มองไปที่ตู้เซฟอันหนึ่ง พลังที่เขาสัมผัสได้มันออกมาจากที่ตรงนั้น
“เอาล่ะ เถ้าแก่แต่ละคนเวลาเป็นเงินเป็นทอง ถ้าหากทำให้แต่ละท่านเสียเวลา หงหลิงก็คงจะชดใช้ให้ไม่ไหว งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” หงหลิงพูดจบก็เดินตรงไปยังตู้เซฟก่อนจะเปิดมันและหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาวางไว้ยังแท่นวางกลางห้องโถงใหญ่แล้วเปิดมันออกอย่างเบามือ จากนั้นมีดสั้นโบราณก็ประจักษ์แก่สายตาของคนรอบ ๆ ที่ยืนอยู่
มีดสั้นนั่นยาวประมาณหนึ่ง ฉื่อสลักด้วยลวดลายที่แปลกประหลาด มีดสั้นเป็นสีดำสนิทไร้คม แต่กลับทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความเย็นยะเยือกเข้ากระดูกจากมัน