จักรพรรดิเซียนหวนคืน - ตอนที่ 64
บทที่ 64 ตระกูลหยุนมาแล้ว![รีไรท์]
กระบี่ไม้สั่นไหว แสงสีทองเปล่งประกายจากตัวกระบี่ไปมาอย่างรวดเร็ว จากลักษณะภายนอกแล้วมันดูธรรมดาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่จริงๆ แล้วมันพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ โดยฉู่ชวิ๋นได้ทำให้กลายเป็นอาวุธเซียนที่แท้จริง
ฉู่ชวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าหลังคาทำลายด้วยพลังกระบี่ จนมองเห็นท้องฟ้าได้จากตรงนี้
ฉู่ชวิ๋นรีบเก็บกระบี่ไม้เข้าไปในแหวนมิติ จากนั้นก็รอยยิ้มแบบแหย ๆ เขาแค่อยากทดสอบพลังของกระบี่ไม้ หลังจากที่มันกลายเป็นอาวุธเซียนแล้ว
แต่ใครจะคิดว่ากระบี่ไม้มันมีพลังมากขึ้นขนาดนี้ มันเต็มไปด้วยคลื่นพลังลมปราณ แถมกระบี่ไม้ไม่ได้มีแค่พลังลมปราณแต่ยังมีพลังทะลุทะลวงการป้องกันอีกด้วย นับว่าเป็นของที่ดีไม่น้อยสำหรับเขาในตอนนี้
ฮวาชิงหวู่และผู้อาวุโสเดินมาที่หน้าห้องของฉู่ชวิ๋น แต่ ฮวาชิงหวู่เอื้อมมือออกไปหมายจะเปิดประตูเข้ามา ผู้อาวุโสรีบกระโดดออกมาขวางฮวาชิงหวู่ หมายให้ฮวาชิงหวู่หยุดมือเพราะเขาไม่อยากให้ฮวาชิงหวู่ไปรบกวนฉู่ชวิ๋น
ผู้อาวุโสรีบพูด “นายท่านให้พวกเราเข้าไปได้ไหม”
“เข้ามาเถอะ” ฉู่ชวิ๋นตอนง่าย ๆ
หลังจากได้รับอนุญาต ผู้อาวุโสจึงเปิดประตูเปิดและทั้งสองคนก็ก้าวเข้ามา
“ขอโทษที!” ฉู่ชวิ๋นชี้มือไปยังหลังคาที่หายไป
ผู้อาวุโสเพ่งมองตาค้าง แค่รัศมีของกระบี่ก็สามารถทำลายหลังคาได้ท้ังหลังงั้นเหรอ
ฮวาชิงหวู่พูด “คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอก มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แค่หาคนมาซ่อมแซมก็ได้แล้ว เพราะยังไงบ้านนี้ก็เก่ามากแล้วถึงเวลาที่จะซ่อมแซมเสียที”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแบบนั้นก็ดี!
ฮวาชิงหวู่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสก่อนจะส่งจูบให้ฉู่ชวิ๋น ฉู่ชวิ๋นตกตะลึง สีหน้าท่าทางอึดอัดและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ฮวาชิงหวู่หน้ามุ่ยเต็มไปด้วยความโกรธ เอื้อมมือออกไปที่ฉู่ชวิ๋น เธอกำลังสื่อว่า คุณไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือของฉันไปได้หรอกนะ ฉู่ชวิ๋นได้แต่แสร้งเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
…….
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนหลายคนกำลังเดินมาทางบ้านหลังนี้ ฮวาโม่เซี่ยอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีความเย่อหยิ่งอย่างที่เป็นต่อหน้าฮวาชิงหวู่แบบเมื่อวานอีกแล้ว เขาพยักหน้าให้ชายวัยกลางคนและโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม
“ประธานหยุน ที่พักอาศัยของน้องสาวผมอยู่ด้านนี้ครับ” ฮวาโม่เซี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่า หยุนสุ่ยเซิง เขาเป็นลุงสามของหยุนหนานเฟิง ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ของตระกูลหยุน
หยุนสุ่ยเซิงท่าทางยโสโอหัง เดินอาด ๆ เข้ามาแล้วมองหาฮวาโม่เซี่ยอย่างรังเกียจ แต่ใบหน้าของเขากลับยิ้มแย้มและพูดว่า
“หนานเฟิง หลานชายของฉันอยากแต่งงานกับคุณหนู ฮวา ในอนาคตตระกูลหยุนและตระกูลฮวาจะเกี่ยวดองกัน ก็ถือว่าพวกเรากลายเป็นญาติกัน ไม่เห็นต้องมากพิธี ฉันจะเรียกน้องชายฮวาก็แล้วกัน ต่อเธอไปเรียกฉันว่าพี่หยุน ดีไหม?”
ฮวาโม่เซี่ยราวกับได้รับของขวัญชิ้นโต เขาตะโกนเรียกพี่หยุนด้วยใบหน้าตื่นเต้น
“ฮ่าฮ่า …” หยุนสุ่ยเซิงซ่อนความเย้ยหยันไว้ภายในแววตา ทำทีเป็นหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่ของฮวาโม่เซี่ยอย่างรักใคร่แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว! จากนี้ไปตระกูลหยุนกับตระกูลฮวาจะไม่แบ่งแยกกัน”
“ใช่…ใช่แล้ว! ไม่แบ่งแยก…ไม่แบ่งแยก” ฮวาโม่เซี่ยยิ้มแย้ม อย่างดีอกดีใจ แบบนี้ก็เหมือนยืนยันแล้วว่าตระกลูฮวาของเขาจะยิ่งใหญ่ไปอีกนาน
“นั่นอะไรน่ะ?” ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งในตระกูลหยุนชี้ไปที่ท้องฟ้า เขาเห็นแสงสว่างวาบพุ่งขึ้นมาเหนือท้องฟ้าพื้นท้องฟ้าสั่นสะเทือน ก้อนเมฆแตกกระจาย
ฮวาโม่เซี่ยได้ยินเพียงเสียง แต่ไม่ได้เห็นแสงนั้น หยุนสุ่ยเซิงเองก็ไม่เห็นเลยมองชายหนุ่มที่พูดก่อนส่งสายตาเตือนเหล่าลูกน้องตัวเอง ว่าคนตระกูลหยุนจะมาไร้มารยาทแบบนี้ไม่ได้ ห้ามตะโกนอะไรให้ขายหน้าแบบนี้เด็ดขาด
ชายหนุ่มที่ตะโกนได้แต่หดคอและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“พี่หยุน อยู่ตรงวิลล่าข้างหน้านี้แหละครับ” ฮวาโม่เซี่ยยิ้มพลางประจบสอพลอ ชี้มือไปที่บ้านของฮวาชิงหวู่
หยุนสุ่ยเซิงพยักหน้าและพูดพร้อมรอยยิ้ม “ลูกสาวของน้องฮวางดงามจนเป็นที่ร่ำลือกันทั่วประเทศ ได้ยินว่าตอนที่ยังเรียนอยู่ มีผู้สืบทอดตระกูลที่ร่ำรวยมาตามจีบเธอมากมาย ดั่งฝูงปลาคราฟ แถมยังมีการต่อสู้แย่งชิงเธอกันด้วยสินะ”
ใบหน้าของฮวาโม่เซี่ยค่อนข้างแข็งกระด้าง นี่หยุนสุ่ยเซิงกำลังซักถามข้อมูลเขางั้นเหรอ?
ตระกูลหยุนมีกิจการยิ่งใหญ่จะยอมรับหญิงสาวที่มีผู้ชายติดพันมากมายเข้าตระกูลหยุนง่าย ๆ ได้ยังไง เขาหัวเราะและพูดอย่างรีบร้อน “นี่เป็นเรื่องที่เล่ากันปากต่อปาก มันไม่เป็นความจริงเลย ต้องมีใครบางคนที่อิจฉาความเป็นเลิศเลอของลูกสาวผมแน่นอน ข่าวลือพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือ”
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ฉันจำได้เมื่อตอนเธอยังเรียนอยู่ เธอก็ไปก่อตั้งโครงการที่ชื่อว่า พันธมิตรการลงทุนเพื่อผู้เยาว์มูลค่าของมันมากกว่า 300 ล้าน เธอเป็นคนที่น่าทึ่งมากจริง” หยุนสุ่ยเซิงหัวเราะแล้วพูดขึ้น
เมื่อหยุนสุ่ยเซิงพูดจบ ท่ามกลางเหล่าผู้เยาว์มีชายคนหนึ่งหน้าขาวซีดและรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
“ก็แค่พวกบ้าผู้หญิงยอมทุ่มเทโอนเงินเอาใจยัยบ้านั้น เพื่อหวังจะได้ขึ้นเตียงกับมัน แค่นั้นยิ่งใหญ่นักเหรอ?” น้ำเสียงเหยียดหยามของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจนทุกคนได้ยิน
ทันใดนั้นหยุนสุ่ยเซิงก็หันไปมองชายหนุ่มที่กำลังพูดอยู่ ก่อนจะมองฮวาโม่เซี่ยแล้วพูดขึ้น “ถ้าฉันจำไม่ผิดนั้น ฮวาชิงเฟิง ใช่ไหม?”
“มันก็แค่หมาตัวหนึ่งครับ” ฮวาโม่เซี่ยตอบแล้วหันไปหาชิงเฟิง จากนั้นก็พูดด้วยโทสะ “หุบปาก ที่นี่แกมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ?”
“พ่อ ผมพูดอะไรผิด?” ชายหนุ่มย้อนถามกลับ เขาคือ ฮวาชิงเฟิง พี่ชายคนละแม่ของฮวาชิงหวู่
ยามปกติฮวาโม่เซี่ยจะรักลูกชายคนนี้มาก เขามักจะคิดว่าลูกชายติดเล่นไปหน่อย แต่ไม่คิดว่าลูกเขาจะเลอะเลือนจริง ๆ เขารักลูกคนนี้จนเขาไปบังคับให้ฮวาชิงหวู่โอนสิทธิ์ให้การเป็นเจ้าของกิจการให้ฮวาชิงเฟิง แต่หลังจากส่งต่อกิจการนี้ไป ภายในหนึ่งเดือนกิจการที่ใหญ่โตก็ทรุดตัวลงทันที ทำให้เขาผิดหวังกับลูกชายคนนี้มาก
“ถ้าแกยังกล้าพูดอีก ก็ไสหัวไป” ฮวาโม่เซี่ยพูดด้วยความโมโห
ฮวาชิงเฟิงอ้าปากจะพูดแต่เมื่อเขามองไปที่บ้านพักที่ฮวาชิงหวู่ที่อยู่จากไกล ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ลูกชายไม่ได้เรื่อง ต้องให้พี่ดูเรื่องตลกเสียแล้ว” ฮวาโม่เซี่ยพูดอย่างอับอาย
“ทำไมพูดแบบนั้น? ลูกชายในครอบครัวฉัน แย่ยิ่งกว่าลูกชายของน้องฮวาเสียอีก เด็กสมัยนี้อบรมยากจริง ๆ!”
คำพูดของหยุนสุ่ยเซิงทำให้ฮวาโม่เซี่ยต้องขอบคุณอีกครั้ง ฮวาโม่เซี่ยเป็นคนฉลาด เขาสนทนากับหยุนสุ่ยเซิงเกี่ยวกับการอบรมลูก ๆ ของเขา
……
ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่ คนเหล่านี้ก็เดินมาถึงบ้านของฮวาชิงหวู่และเคาะประตู มีผู้อาวุโสเดินมาเปิดประตู สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเมื่อพบแขกผู้มาเยือนหลายคนที่หน้าประตู
“มีธุระอะไร?” ผู้อาวุโสสีหน้าเย็นชา ภายในใจของเขามีเพียงฮวาชิงหวู่กับแม่ของเธอเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ไม่อยู่ในสายตาของเขา
ฮวาโม่เซี่ยรู้สึกอับอายขายหน้า กล่าวเสียงเย็นชา “ยังไม่เปิดประตูให้พวกเราเข้าไปอีกหรือไง”
ผู้อาวุโสหัวเราะเบา ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จอมยุทธ์แต่เขาก็มีฝีมือไม่น้อยถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง และด้วยความที่เป็นปรมาจารย์นั่นทำให้เขามีความเย่อหยิ่งของตัวเองสูงไม่น้อย
เขาตอบอย่างเย็นชา “ที่นี่แคบเกินไปที่จะรองรับแขกจำนวนมากและคุณผู้หญิงก็ป่วยอยู่ เธอต้องการพักผ่อน กลับไปเถอะ”
ฮวาโม่เซี่ยเริ่มโมโห แต่หยุนสุ่ยก็เซิงพูดขึ้น “คุณคือผู้อาวุโส สินะ? ฉันได้ยินเรื่องของคุณมานานแล้ว”
ผู้อาวุโสมองไปยังคนที่พูด ดวงตาของเขาหดตัวเพราะรู้สึกถึงลมหายใจที่แตกต่างจากคนปกติของหยุนสุ่ยเซิง….นักสู้หรือว่าจอมยุทธ์? แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับนายท่านฉู่ชวิ๋น
เมื่อเห็นผู้อาวุโสไม่ตอบ หยุนสุ่ยเซิงจึงพูดต่อ “ข้าน้อยมีนามว่าหยุนสุ่ยเซิง คาดว่าคุณคงเคยได้ยินมาบ้าง?”
“ที่แท้ก็คุณผู้ชายลำดับสามของตระกูลหยุนนี่เอง ขออภัยที่เสียมารยาท” ยังไงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน จึงควรจะมีกฎและมารยาทต่อกัน
หยุนสุ่ยเซิงประสานกำปั้นแล้วยิ้มทักทาย “ผู้อาวุโสคงรู้อยู่แล้วว่าฉันมาทำอะไรที่นี่”
ผู้อาวุโสจะไม่รู้ได้ยังไง เห็นได้ชัดว่าตระกูลหยุนเดินทางมาทาบทามเรื่องการแต่งงาน แต่สำหรับเขา ฮวาชิงหวู่นั้นเพียบพร้อมและสูงส่งกว่าไอ้หนูหยุนหนานเฟิง อะไรนั่นมาก แม้จะโดดเด่นที่สุดในตระกูลหยุน แต่ก็ไม่คู่ควรกับฮวาชิงหวู่เลยสักนิด
ดังนั้นผู้อาวุโสจึงตอบกลับด้วยท่าทีเย็นชา “ฉันไม่รู้”
ประโยคนั้นทำให้หยุนสุ่ยเซิงหรี่ตามองและแผ่ความอันตรายออกมา
“อย่าลืมฐานะตนเองว่าแกเป็นแค่หมารับใช้ตัวหนึ่ง ฉันคือพ่อของเสี่ยวหวู่ แกเป็นแค่คนรับใช้ กล้าดียังไงมาหยุดฉัน ที่นี่เป็นบ้านตระกลูฮวา หากแกไม่มีความเกรงใจ ก็ออกไปจากบ้านของฉัน แกมีสิทธิ์อะไรมาโวยวายที่นี่ ฉันขอสั่งให้แกไสหัวไปซะ”
ฮวาโม่เซี่ยโมโหอย่างมาก ผู้อาวุโสคนนี้มักจะเป็นอริกับเขา ซึ่งตอนนี้ยังจะมาขัดขวางการแต่งงานระหว่างสองตระกูลอีก ซึ่งเขาไม่ยอมแน่ ๆ
“สุนัขก็เป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ แม้แต่เจ้านายก็กล้ากัด สุนัขที่ดีไม่ทำแบบนี้หรอกนะ” ฮวาชิงเฟิงด่ากราด ในอดีตผู้อาวุโสเคยขัดขวางโอกาสที่เขาจะข่มขืนฮวาชิงหวู่ ในตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะฉวยโอกาสนี้กำจัดมันไปซะ
ผู้อาวุโสดวงตาเปล่งประกาย ก่อนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หวังจะให้บทเรียนแก่ฮวาชิงเฟิงแต่มีใครบางคนที่เร็วกว่าเขา
“ฟรึ่บ!”
รองเท้าส้นสูงสีขาวลอยออกมานอกประตู มันไม่เร็วมากนัก คนธรรมดาสามารถหลบเลี่ยงได้โดยง่าย แต่ฮวาชิงเฟิงกลับยืนเหมือนกับคนโง่เง่า มองดูเท้าลอยเข้ามาปะทะกับหน้าของตัวเอง
“อ๊ากก”
เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องน่าเวทนา! กลุ่มคนมองดูภาพตรงหน้าอย่างตกใจ
รองเท้าส้นสูงติดอยู่กับใบหน้าของฮวาชิงเฟิง และปลายของรองเท้าก็อยู่ที่จมูกของเขา ส้นรองเท้านี้สูงถึง 10 เซนติเมตร กลับอัดเข้าไปในปากของเขาได้โดยตรง ไม่แปลกใจเลยที่จะส่งเสียงกรีดร้องที่แปลกประหลาดเช่นนี้ออกมา!