จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 130 ชุมนุมตัวร้ายกาจ
บทที่ 130 ชุมนุมตัวร้ายกาจ[รีไรท์]
“คนไม่เกี่ยวข้องไสหัวไปให้หมด!!” นี่คือสิ่งที่ราชาปีศาจพูดออกมา เขาทะนงตัวมาก ไม่เห็นผู้มีอิทธิพลคนอื่นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ทุกคนถอยไปดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องโดนลูกหลงจนเจ็บตัวเข้า” หยินจงตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นและท้าทาย
กลุ่มคนที่เหลือแสดงความโกรธแค้นออกมา ด้วยว่าทั้งสองคนนี้ไม่เห็นหัวของพวกเขาเลย
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนที่นี่ก็จัดได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดและมีความคิด บัดนี้ราชาปีศาจเปรียบเสมือนหมาป่าเดียวดายกระหายเลือด เป็นบุคคลที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยอย่างที่สุด
เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงรอให้ผู้เป็นเจ้าสำนักออกหน้าก่อนดีกว่า
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดอย่างนี้เสียทีเดียว ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มวัย 30 ปีคนหนึ่ง ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นนักสู้เส้นชีพจรระดับ 9 ได้ส่งเสียงหัวเราะขึ้นอย่างหยาบคาย “ฮ่าฮ่า พวกคุณถือดีอะไรมาพูดจาวางท่าใหญ่โต เห็นพวกเราเป็นหัวหลักหัวตอหรือไงไม่ทราบ?”
ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะห่างไกลจากราชาปีศาจและหยินจง แต่ความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ใช่ผู้อ่อนแอ
หยินจงชำเลืองมองชายหนุ่มคนนี้อย่างเกียจคร้าน ก่อนที่จะนิ่วหน้าและพูดว่า “เจ้ามาจากสำนักไร้เงาใช่ไหม?”
“ผมเฟิงหลุน จากสำนักไร้เงา” ชายหนุ่มพูดด้วยความภูมิใจ
เมื่อได้ยินคำตอบของเขา ทุกคนก็ถึงกับตกตะลึง
หยินจงและราชาปีศาจมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน สำนักไร้เงาไม่ใช่สำนักทั่วไป แต่มีความโด่งดังเรื่องการสะกดรอยและลอบสังหาร โดยเฉพาะ ว่ากันว่าเฟิงอู๋หยิงเจ้าสำนักได้สร้างชื่อขึ้นมาจากการลอบสังหารขั้นจักรพรรดิได้สำคัญ และชายหนุ่มผู้นี้ใช้แซ่เฟิง อายุยังน้อยแต่มีฝีมือแก่กล้า ตัวตนที่แท้จริงของเขาย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นนายน้อยเฟิงนี่เอง ทางเราต้องขออภัยด้วย ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักเฟิงสบายดีหรือ?” หยินจงยอมจำนนตัวเองเพื่อทดสอบตัวตนของเฟิงหลุน
“พ่อผมสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วง” เฟิงหลุนตอบกลับมาทันที
กลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันอยู่โดยรอบรู้สึกเย็นวาบไปทั่วกาย ปรากฏว่าชายหนุ่มคนนี้กลับเป็นทายาทของเจ้าสำนักใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป ว่าทำไมเขาถึงมีฝีมือเก่งกล้าทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้
“ท่านผู้เฒ่าทั้งสอง ผู้เยาว์อยากจะรับชมวิชาฝ่ามือไร้เทียมทานจากคัมภีร์ความลับฟ้าที่ฉู่ชวิ๋นทิ้งเอาไว้สักหน่อย ไม่ทราบว่ามันพอจะเปรียบเทียบกับวิชาไร้เงาและวิชาลอบสังหารของพวกเราสำนักไร้เงาได้บ้างหรือไม่?” เฟิงหลุนพูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นสูง
ราชาปีศาจและหยินจงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ชัดเจนว่าวิชาไร้เงาและการลอบสังหารของเฟิงหลุนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับมือได้โดยง่าย
“หากนายน้อยเฟิงอยากจะรับชม พวกผมจะปฏิเสธได้อย่างไร เตรียมรับมือล่ะ!” หยินจงขยับออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
ราชาปีศาจก็เดินมายืนคู่กับหยินจง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มอำมหิต เช่นเดียวกับในดวงตา
การแสดงออกของเฟิงหลุนเยือกเย็น เหล่มองราชาปีศาจและหยินจงด้วยความหงุดหงิด ตาแก่ทั้งสองคนนี้จัดเป็นยอดฝีมือและจากพลังฝีมือของเขาในขณะนี้ จะสามารถทำลายม่านพลังนั่นได้อย่างไร?
“ใคร ๆ ต่างก็อยากรู้ว่าคัมภีร์ความลับฟ้าซ่อนเร้นอะไรอยู่บ้าง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เช่นกัน ถ้าใครสามารถช่วยผมทำลายม่านพลังของพวกเขาได้ ผมยินดีจะร่วมมือกับด้วย แบ่งปันความลับนั่นด้วยกัน” เฟิงหลุนไม่ใช่คนโง่ เขาเริ่มหากำลังเสริมทันที
กลุ่มคนที่อยู่โดยรอบเคลื่อนไหวแล้ว คัมภีร์ความลับฟ้ามีใครบ้างที่ไม่อยากได้?
ราชาปีศาจและหยินจงไม่คิดเลยว่าเฟิงหลุนจะเดินหมากด้วยวิธีนี้ สีหน้าของพวกเขาแสดงความอำมหิตมากยิ่งขึ้น
“ผมขอเอาชื่อเสียงของสำนักไร้เงาเป็นเดิมพัน ถ้าเราทำลายม่านพลังของพวกเขาได้ นอกจากผมจะแบ่งคัมภีร์กับพวกคุณแล้ว ผมจะสนับสนุนให้สำนักของพวกคุณยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น” เมื่อเฟิงหลุนเห็นว่าทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก็เริ่มใส่ไฟมากขึ้น
“ฉันจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่น้องเฟิงเอง” เฉียงไท่จากสำนักกระบี่ทองคำพูด
“ฉันด้วย” เกาเล่ยจากหุบเขาราชายาพิษกล่าว
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคัมภีร์ความลับฟ้ามีอะไรอยู่บ้าง” หยางเฟ่ยจากสำนักความหวังใหม่ประกาศ
คนที่เหลือรีบเข้าร่วมด้วยทันที
บัดนี้ สีหน้าของราชาปีศาจและหยินจงเคร่งเครียดมากกว่าเดิม แค่คนจากสำนักไร้เงาคนเดียวก็ยากที่จะรับมือได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าในขณะนี้ ทุกสำนักต่างร่วมมือกันเพื่อจะโค่นล้มพวกเขาให้ได้
เฟิงหลุนหันหน้ากลับมาหาราชาปีศาจและหยินจง พูดพร้อมกับยิ้มว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง พวกคุณจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หรือจะให้พวกเราเป็นฝ่ายเริ่มก่อนดีล่ะ?”
ราชาปีศาจและหยินจงส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความเย็นชา
เฟิงหลุนถึงกับหัวเราะออกมาแล้ว “ในเมื่อท่านผู้อาวุโสทั้งสองไม่อยากเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน อย่างนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจแล้ว”
พูดจบ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ให้ความสนใจราชาปีศาจกับหยินจงอีก เขาหันมามองหน้าโม่ซิงเหอที่ยืนอยู่หลังม่านพลังด้วยความเยือกเย็นและพูดว่า “ผมขอแนะนำให้คุณสลายม่านพลังไปเองดีกว่านะ อย่าให้พวกเราต้องลงมือเลย ไม่งั้นคุณอาจจะบาดเจ็บสาหัสได้”
“สามหาว!” โม่ซิงเหอตอบออกมาเพียงสองพยางค์
เฟิงหลุนมีสีหน้าอำมหิตขณะจ้องมองโม่ซิงเหอและหัวเราะเยาะ “คุณตายแน่ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่าม่านพลังมีขีดจำกัดแค่ไหน คิดหรือว่าถ้าพวกเราร่วมมือกัน จะไม่สามารถทำลายม่านพลังนี้ได้?”
“ก็ลองดูสิ” โม่ซิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เมื่อจบการต่อสู้ครั้งนี้ ผมจะฆ่าคุณด้วยมือของผมเอง” ดวงตาของเฟิงหลุนเป็นประกายดุร้าย เขาหันกลับไปออกคำสั่งกับคนอื่น ๆ ว่า “ทุกคน แค่เราสลายม่านพลังให้ได้ คัมภีร์ความลับฟ้าก็เป็นของพวกเราแล้ว…”
วูบ!
เกิดเสียงลมแหวกอากาศดังขึ้น เฟิงหลุนหันขวับกลับมาและพบว่ามีลำแสงสีเขียวกำลังพุ่งตรงมายังตนเอง
ลำแสงสีเขียวนั้นมีความรวดเร็วมาก แต่ยังเร็วไม่เท่าเฟิงหลุน เพียงเขายกมือขึ้นก็คว้ามันไว้ได้แล้ว
เปรี้ยง!
ลำแสงสีขาวสว่างวาบ และมีสีสันอีกมากมายกระจายตัวออกมา
ไม่ใช่แค่จากตัวของเฟิงหลุนคนเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนอีกหลายสิบคนที่ยืนรายล้อมตัวเขาอยู่ด้วย
ฟึบ!
ก่อนที่ใครจะมีทันได้เกิดความรู้สึกอะไร หนึ่งในกลุ่มคนก็มีเลือดไหลทะลักออกมาจากหน้าอกสีแดงฉาน
มองจากภายนอก ดวงตาของหลายคนเหม่อลอย สัมผัสได้ถึงความหมดหวังอย่างชัดเจน
ฟึบ!
ท้องฟ้าพลันเต็มไปด้วยม่านหมอกเลือดกระจายตัวเหมือนดอกไม้ไฟ สาดกระเด็นเปรอะเปื้อนตัวของกันและกัน
ทุกคนถูกโจมตีด้วยคลื่นพลังที่มองไม่เห็น บางคนคอหัก บางคนถูกกระแทกจนหัวใจแตกกระจาย
แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกัน ก็คือพวกเขาเสียชีวิตไปโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสียชีวิตไปหมด เฟิงหลุนยังคงมีชีวิตอยู่ แต่เขากำลังวิ่งหนีเหมือนหมาจนตรอก พร้อมกับหันมาปล่อยพลังโต้กลับบ้างเป็นบางครั้ง
ทุกคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ตื่นตระหนกแล้ว ตรงหน้าพวกเขาในขณะนี้มีแต่ศพคนตาย!
ม่านพลังที่คอยคุ้มกันเฟิงหลุนอยู่สลายตัวไปแล้ว
แหวนหยกวงหนึ่งพลันหล่นลงมาจากกลางอากาศ หยินจงเอื้อมมือรับเอาไว้ นี่คือสิ่งที่โม่ซิงเหอเพิ่งจะโยนออกไป มันคือหนึ่งในเครื่องประดับสังหาร
เฟิงหลุนล้มคะมำหน้าทิ่มพื้นด้วยความหวาดกลัว สภาพของเขาดูไม่ได้แล้ว บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่กินลึกถึงกระดูก มีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด
เกาเล่ยเดินเข้ามาพร้อมกับล้วงหยิบขวดหยกขาวเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาและพูดว่า “น้องเฟิง นี่คือยาสมานแผลของพวกเราหุบเขาราชาพิษ”
“ไม่ต้อง ผมมีของผม” หลังจากที่เฟิงหลุนปฏิเสธแล้ว เขาก็หยิบเม็ดยาออกจากตัว กลืนเข้าปากเพื่อห้ามเลือด ที่ชายหนุ่มไม่กล้ารับประทานยาจากอีกฝ่ายก็เพราะกลัวว่ามันจะเป็นยาพิษนั่นเอง
เกาเล่ยอยากจะเข้ามาผูกมิตรด้วย แต่กลับไม่ได้รับความไว้วางใจแบบนี้ ดวงตาของเขาจึงเป็นประกายโกรธแค้น แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ตอนที่หันหลังเดินกลับไป
“พี่เกา เดินกลับมาหน้าแห้งเลยนะครับ” เฉียงไท่อยากจะเดินเอายาเข้าไปให้เพื่อผูกมิตรกับทายาทของเจ้าสำนักไร้เงาเช่นกัน แต่เขาก็ยังช้ากว่าเกาเล่ยไปหนึ่งก้าว ก่อนหน้านี้จึงเจ็บใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นเกาเล่ยถูกปฏิเสธกลับมาเช่นนี้ จึงอดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้
เกาเล่ยพ่นลมผ่านจมูก ในดวงตาเป็นประกายขุ่นเคือง
“พี่เกา เรามีเจตนาดี อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา เสียงหมาเห่าเลยนะ” หยางเฟ่ยพูดขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่าเฉียงไท่อยากจะเข้าไปมอบยาให้กับเฟิงหลุน แต่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งตัดหน้าไปเสียก่อน
“หยางเฟ่ย นายอยากตายหรือไง?” เฉียงไท่ยกกระบี่ขึ้นชี้หน้า
“ฉันไม่มีมือมีเท้าหรือไง ถ้าเกิดสู้กัน คนตายอาจไม่ใช่ฉันก็ได้” หยางเฟ่ยขยับเดินออกไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเฉียงไท่แม้แต่นิดเดียว
“ใจเย็นก่อนทั้งสองคน อย่าเพิ่งโมโห ตอนนี้เราต้องร่วมมือกันก่อนดีกว่า เมื่อเราได้ครอบครองคัมภีร์ความลับฟ้า พวกคุณจะสู้กันก็ไม่มีใครว่าอะไรแล้ว” เฟิงหลุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เฉียงไท่ลดกระบี่ในมือลงและพูดว่า “เห็นแก่หน้าของน้องเฟิง ฉันจะมาคิดบัญชีกับนายทีหลัง”
“อย่าเพิ่งอวดดีไป เก็บหัวให้อยู่บนบ่าให้ได้ต่อไปก่อนเถอะ ค่อยมาเคลียร์กันทีหลังเมื่อไหร่ก็ได้” หยางเฟ่ยตอบอย่างไม่ยอมแพ้
…
“ฉันจะฆ่าแก!” ใครคนหนึ่งคำรามใส่โม่ซิงเหอ
เมื่อหันไปมองคนที่ตะโกน พวกเขาก็พบว่าคน ๆ นั้นเป็นชายชราอายุ 50 กว่าปีมีนามว่าเฉินจ่างเฟิง เขาเป็นเจ้าสำนักเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเนื่องจากอยากจะใช้เฟิงหลุนเป็นขั้นบันไดขึ้นสู่ความสำเร็จ เขาจึงเลือกที่จะอยู่ข้างเฟิงหลุน ทำให้ลูกศิษย์ในสำนักต้องเสียชีวิตไป 10 กว่าคนแล้ว
กลิ่นเลือดที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศไม่ได้จางหายไป พลันกลับมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
เฟิงหลุนเบิกตาจ้องมองแหวนหยกที่อยู่ในมือของหยินจง หัวใจของเขาพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ของดีมีพลังเยอะแบบนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะถูกกักอยู่ในแหวนหยกธรรมดาวงนี้ได้” ใบหน้าของหยินจงเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาทอแววบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว
โม่ซิงเหอประหลาดใจไม่แพ้กัน นี่คือครั้งแรกที่เขาใช้งานแหวนวงนี้ อานุภาพของมันช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก
“คิดให้ดีว่าอยากอยู่ฝ่ายไหนกันแน่” หยินจงพูดด้วยความอำมหิต เขาไม่เคยเห็นม่านพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน จึงรู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มคนที่เข้าข้างเฟิงหลุนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาแล้ว ยังมีสิ่งของอีกหลายอย่างที่ถูกทิ้งไว้นอกจากคัมภีร์ความลับฟ้าของฉู่ชวิ๋น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเสียสติได้แล้ว
“พวกเราจะเชื่อฟังผู้อาวุโสหยินจง มาร่วมมือกันดีกว่า” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“เราจะทำตามคำสั่งท่านผู้อาวุโสหยินจง” เกิดเสียงตะโกนตามมาพร้อมกัน
“พวกเราก็จะเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสหยินจง หวังเพียงแต่ว่าในอนาคต เมื่อผู้อาวุโสเข้าใจในคัมภีร์ความลับฟ้าแล้ว จะช่วยคุ้มครองสำนักของพวกเราด้วยนะครับ” ใครอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
เกิดความคิดเห็นที่แตกแยกขึ้นแล้ว มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการเหมือนกันก็คือคัมภีร์ความลับฟ้า ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อนําผลประโยชน์มาเป็นที่ตั้ง พวกเขาจึงเริ่มเปลี่ยนฝ่ายมาอยู่เคียงข้างผู้ที่มีความได้เปรียบมากกว่าในขณะนี้
ดวงตาของโม่ซิงเหอเปล่งประกายแรงกล้า เป็นเรื่องที่รู้ดีกันว่าฉู่ชวิ๋นเสียชีวิตไปแล้ว แต่เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น คนที่เดินทางมาเพื่อคิดแย่งชิงคัมภีร์ความลับฟ้า ต่างก็ต้องตกตายไปหมดทั้งสิ้น
“เจ้าพวกคนชั่ว!” เขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง ฉันจะบดขยี้กระดูกของแก” หนึ่งในผู้อาวุโสที่เป็นเจ้าสำนักประกาศกร้าว
ทันใดนั้นเอง ประตูใหญ่พลันเปิดออก เฉินฮั่นหลงเดินออกมายืนเคียงข้างโม่ซิงเหอ ดวงตาของเขาเป็นประกายโกรธแค้น
“เจ้าพวกหมูโสโครก ฉันจะให้พวกแกได้ชดใช้” เฉินฮั่นหลงคำราม
“กล้าดียังไงมาพูดแบบนี้กับพวกเรา แค่นิ้วเดียวฉันก็จัดการแกได้แล้ว ไอ้แก่” ใครบางคนตะโกนสวนกลับมาอย่างไม่ให้ความสนใจเฉินฮั่นหลงเลยแม้แต่น้อย
“ช่างหัวแกสิ ถ้าแกอยากจะจัดการฉัน ฉันก็ต้องชิงลงมือก่อน” เฉินฮั่นหลงพูดพร้อมกับหยิบกำไลหยกออกมาชิ้นหนึ่งและโยนออกไปหาอีกฝ่าย
ชายหนุ่มคนนั้นหน้าซีดขาว ดวงตาเบิกโตด้วยความตื่นกลัว ก่อนที่จะหันหลังวิ่งหนีไป แต่น่าเสียดายที่เขายังวิ่งหนีได้ไม่เร็วพอ เครื่องประดับชิ้นนั้นกระทบถูกตัวเขา และในวินาทีต่อมา เกิดเสียงดัง “กร๊อบ” ลำคอของเขาถูกหมุนจนหักด้วยพลังที่มองไม่เห็น และมีเลือดสีแดงสดฉีดพุ่งออกมารอบทิศทาง
กร๊อบ!
หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักกระบี่ทองคำถลันออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่กลับเกิดลำแสงหลากสีสันวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงกระดูกหัก ชายชราล้มลง แขนขาบิดงอผิดรูปผิดร่าง
ทุกคนยืนตัวแข็งทื่อ แม้แต่ผู้อาวุโสของหลายสำนักก็ไม่กล้าลงมือแล้ว
“ฉันจัดการเองก็ได้”
ขั้นปรมาจารย์ระดับ 2 ของสำนักความหวังใหม่ขยับออกมาข้างหน้า เขาสูดหายใจอย่างรุนแรง ก่อนที่จะยกมือขึ้นตบมือหนึ่งที ปรากฏเสียงดัง “เปรี้ยง” พร้อมกลับที่มีลำแสงหลากสีสันพุ่งตรงออกจากตัวเขา เฉินฮั่นหลงถึงกลับถอยหลังด้วยความตกใจ แต่แล้วผู้อาวุโสท่านนี้ก็ส่งเสียงหัวเราะและยิงพลังต่อไป
เปรี้ยง!
เพียงแค่ห้าฝ่ามือเท่านั้น ม่านพลังที่ห้อมล้อมร่างกายของเฉินฮั่นหลงก็สลายหายไป กำไลหยกร่วงหล่นลงพื้นและผู้อาวุโสท่านนั้นก็เดินเข้าไปหยิบทั้งที่ยังหัวเราะอยู่
ทุกคนตาร้อนผ่าว เพิ่งจะรู้ชัดในตอนนี้เองว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีความน่ากลัวขนาดไหน
บางส่วนเริ่มจับกลุ่มปรึกษากันแล้ว ถ้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ในสำนักร่วมมือกัน อย่างน้อยก็ย่อมมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้
“พี่เฉียง ขอโทษทีนะ กำไลนี้เป็นของผมแล้ว” หยางเฟ่ยพูดด้วยความภูมิใจขณะเก็บกำไลหยกเข้ากับตัว
เฉียงไท่แห่งสำนักกระบี่ทองคำตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกายเดือดดาล นอกจากสำนักกระบี่ทองคำจะไม่ได้กำไลหยกมาครอบครองแล้ว ผู้อาวุโสในสำนักยังบาดเจ็บสาหัส นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายจริง ๆ