จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 250 ต้นตอของปัญหา
บทที่ 250 ต้นตอของปัญหา
ในเมือง ตึกต่างๆ มากมายตั้งเรียงกันอยู่ซึ่งมีตึกแห่งหนึ่งสูงถึง 33 ชั้นตั้งอยู่สุดขอบเมืองผิงฉุน ขณะที่เปลือกโลกเคลื่อนตัว มันก็ขยับไกลออกไปจากใจกลางเมือง
ตึกแห่งนี้มีเจ้าของเป็นคนใหญ่คนโตและเป็นจุดที่คนรวยมากินมาดื่มกัน
เพราะมันกลายเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ ทำให้ตอนนี้มันจึงเป็นสรวงสววรค์ของเหล่าจอมยุทธ์และยังคงดึงดูดเหล่าคนมีฐานะให้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเนื้อสัตว์ร้ายคุณภาพดีให้ทานได้ที่นี่อีกด้วย
ภัตตาคารอาหารที่บนชั้น 32 มีผู้คนฉุกชุมมาก สายตาของทุกคนมองไปในทิศทางเดียวไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
ใกล้ๆ กับกระจก มีสาวงามนั่งรับประทานอาหารอยู่ แต่สีหน้าของเธอนั้นดูไม่พอใจนัก ราวกับว่ารสชาติของอาหารไม่ถูกปากของเธอมาก
ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและสง่างาม ผมของเธอเงางามราวกับคริสตัล ดวงตาเหมือนกับลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วง ผิวขาวราวกับหิมะ เธอสวมชุดโบราณสีขาวที่ปลิวไปตามแรงลม
บุคลิกของเธอดูเย็นชาและเข้าหาได้ยาก
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่กลัวความเย็นชาของเธอ หนุ่มหล่อคนหนึ่งท่าทางวางมาด เดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความมั่นใจที่เต็ม 100
เขาเป็นลูกหลานของตระกูลเหลิง ตระกูลเหลิงเป็นตระกูลที่มั่งคั่งและร่ำรวย แค่ทรัพย์สินของเขาคนเดียวก็มีหลายร้อยล้านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนที่โชคชะตาเข้าข้างเสมอ เขาได้รับผลไม้สีทองจากอาจารย์ ทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้วยอายุ 30 ต้นๆ เขาก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิแล้ว
“คุณผู้หญิง มารับประทานอาหารคนเดียวเหรอครับ?” เหลิงปู้ฟ๋านยิ้มที่มุมปากด้วยความนุ่มนวล และเริ่มบทสนทนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดวงตาของหญิงผมเงินมองมาทางเขา ก่อนที่จะมองไปยังขวดไวน์ชั้นดีบนโต๊ะอาหาร ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้เหมือนกับพึ่งเคยเห็นไวน์หรูหราขวดนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่เธอรินมันลงไปบนแก้วอย่างงดงามแล้ว เธอก็ยืนขึ้นขยิบตาให้กับชายหนุ่มคนนี้หนึ่งครั้ง ก่อนที่จะสาดไวน์เย็นๆ ใส่ชายคนนั้น!
ไวน์สีแดงเปรอะเปื้อนชุดสูทขาวของชายหนุ่ม เป็นจ้ำๆ เหมือนกับดอกไม้บาน
สาวผมเงินไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้เหลิงปู้ฟ๋าน ที่กำลังมองชุดตัวเองด้วยความตกใจ
“ไวน์อะไรแย่ชะมัด!” หญิงสาวคนนั้นบ่นพึมพัมกับตัวเอง ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ก่อนที่เธอละเลิกคิ้วมองไปยังแก้วที่ว่างเปล่าหลังจากสาดไวน์ออกไป เท่าที่เขารู้ไวน์แดงที่มีค่าแก้วนี้มีไว้สำหรับราชวงศ์ของประเทศเท่านั้น องุ่นถูกปลูกด้วยน้ำนมและมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากดูแล ทั้งยังผลิตออกมาในจำนวนที่น้อยนิด ราคาของมันแพงมากเมื่ออยู่ในร้าน คนธรรมดาไม่มีทางกล้าที่จะซื้อมันมาดื่มอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่ามันไม่อร่อย ทำให้เขาอยากไถ่ถามเรื่องราวจากหญิงสาวที่นั่งไขว้ขาคนนี้
เหลิงปู้ฟ๋านเดินไปนั่งตรงข้ามกับเธอ
“คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าเดินทางมาจากที่ไหนเหรอครับ?” เขายังคงกล้าพอที่จะพูดต่อ
พูดได้เลยว่าเหลิงปู้ฟ๋านนั้นไม่ได้หัวโบราณ เพราะมีผู้หญิงร่ำรวยมากมายที่เป็นแบบนี้
ผู้หญิงผมสีเงินไม่สนใจและมองไปยังสเต็กตรงหน้า นี่ไม่ใช่เนื้อวัวธรรมดา แต่เป็นสัตว์กลายพันธุ์ ซึ่งมันต้องใช้คนมากกว่าหนึ่งโหลในการตามล่า
สาวผมเงินหั่นเนื้อมาดม จากนั้นก็ผลักจานเสต็กออกไปห่างๆ และไม่สนใจมันอีก
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเหลิงปู้ฟ๋านอย่างขบขัน เพราะพวกเขาไม่กล้าที่จะก้าวไปพูดคุยกับเธอก็จริงแต่พวกเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นได้จีบเธอเหมือนกัน
“คุณผู้หญิงไม่พอใจอาหารงั้นเหรอครับ? ดูเหมือนว่าผมคงต้องไล่พ่อครัวของที่นี่ออกซะแล้วสิ” เหลิงปู้ฟ๋านเอ่ยออกมา เขาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดาใบหน้าดูอบอุ่นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เขาถือได้ว่าเป็นชายที่ยอดเยี่ยมมาก ทั้งชาติตระกูล ความแข็งแกร่ง หน้าตา ชื่อเสียง เงินทอง เขามีทุกอย่าง
แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงผมเงินคนนี้ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเธอสนใจแค่อาหารกับไวน์แดงที่ไม่เคยเห็นเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เหลิงปู้ฟ๋านไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาอยากจะระเบิดออกมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยิ้มออกมาเท่านั้น
“ไอ้หน้าจืด ไม่เห็นเหรอว่าเธอไม่สนใจน่ะ? อย่าหาว่าฉันมายุ่มย่ามเลย แต่ฉันเบื่อที่ต้องฟังแกพล่ามอยู่คนเดียวนานแล้ว” ชายหนวดเพิ้มเดินเข้ามาแล้วพูดอย่างไม่คิด
“ไปให้พ้นไปไอ้หน้าจืด! ผู้หญิงเขาไม่สนใจก็ยังหน้าด้านอยู่ได้ ถ้าแกยังมีสมองอยู่ก็รีบออกไฟให้พ้นซะ” ชายกล้ามใหญ่เดินเข้ามายุ่ง
“เป็นคนใหญ่คนโตแล้วมาทำตัวขวางโลก อยากหาผู้หญิงมานอนด้วยก็ไปหาที่บาร์นู้น! ดูแกตอนนี้ซิ สมควรแล้วทำอะไรไม่ให้เกียรติสถานที่”
ทุกคนในร้านก็ฟังบทสนทนานี้อย่างสนอกสนใจ และบางครั้งพวกเขาก็หลุดหัวเราะออกมา
รอยยิ้มบนหน้าขอเหลิงปู้ฟ๋านดูแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ
“คุณผู้หญิง อยากเห็นคนปากหมาพวกนี้ตายไหมครับ?” เหลิงปู้ฟ๋านยังคงถามอย่างสุภาพบุรุษ แต่โชคไม่ดีเลยที่ผู้หญิงคนนั้นยังคงไม่สนใจเขา
“ไอ้หน้าจืดแกว่าใครเป็นหมาห๊ะ!?” ใครบางคนตะโกนด่าเขา ก่อนที่จะลุกขึ้น ดวงตาของชายคนนั้นมองมาด้วยท่าทีที่ดุดัน เขาคิดจะสั่งสอนบทเรียนกับไอ้ขี้เก๊กนี้ให้สาวงามได้ดู
เหลิงปู้ฟ๋าน ปรับรอยย่นที่ไม่มีอยู่บนปกคอเสื้ออย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะก้มหัวให้หญิงสาวผมงาม “ผมไม่อยากปล่อยให้สุนัขพวกนี้ต้องมาทำให้สภาพแวดล้อมอันงดงามนี้ต้องเปื้อนเลือดเลย แต่พวกมันก็เห่าไม่หยุดเสียที น่ารำคาญจริงๆ”
เมื่อพูดจบ ร่างของเขาก็หายไปจากตรงนั้น ในจังหวะต่อมาส้อมที่เอาไว้ทานอาหารก็ปักอยู่คอของชายกล้ามใหญ่
ฉึก!
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณราวน้ำพุ
ร่างของเหลิงปู้ฟ๋านไร้ร่องรอยของเลือด เพราะลมปราณที่ปกคลุมร่างของเขาเอาไว้
ฉัวะ!
เสียงแหลมๆ ดังขึ้นในเสี้ยววินาที มีดหั่นเสต็ก ปาดคอของชายไว้หนวดด้วยความเร็วเสียง
ร่างของชายทั้งสองค่อยๆ ล้มลงไปบนพื้น!
คนที่เข้ามาดูถูกเขาตอนนี้หมดสภาพกันไปหมดแล้ว
ร้านอาหารทั้งร้านก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนต่างตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ใครจะไปรู้ละว่าไอ้คนหน้าจืดคนนี้จะเป็นคนที่โหดร้ายและป่าเถื่อนแถมยังเป็นคนที่ดูไร้สาระอย่างที่สุดอีกต่างหาก แค่แซวนิดหน่อยก็ต้องฆ่ากันแล้ว
คนอื่นๆ ที่พึ่งจะนินทาเขาไปต่างก็ปิดปากเงียบเพราะไม่อยากเป็นแบบเดียวกับชายสองคนนั้น
“ยอดฝีมือ” ชายชราที่อยู่โต๊ะมุมเอ่ยขึ้น
“ไหน ทีนี้มียังใครอยากเห่าอีกไหม?” แม้ว่าเขาพึ่งจะฆ่าคนไป แต่ตอนนี้บนใบหน้าของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนต่างก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
ดวงตาของเขามีความพึงพอใจออกมาให้เห็น เหมือนทุกครั้งที่เขาสามารถควบคุมชีวิตของใครต่อใครได้ เขาสามารถฆ่าคนก็ได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร ถือว่าเป็นความสุขที่ไม่สามารถอธิบายได้สำหรับเขาเลยทีเดียว
ลูกน้องของเขาเดินเข้ามาลากศพออกไปอย่างเงียบๆ
เหลิงปู้ฟ๋านมองไปรอบๆ “ต้องขออภัยด้วยที่รบกวนการรับประทานอาหารของทุกท่านในวันนี้ อาหารมือนี้ผมเลี้ยงเพื่อเป็นการขอโทษก็แล้วกัน”
เสียงนี้ดังเข้ามาถึงหูของฉู่ชวิ๋น ที่มาถึงร้านอาหารบนชั้นที่ 32 พอดิบพอดี
“โฮ่…ไง ไอ้น้องมาๆ พี่เลี้ยงเอง!” เมื่อเหลิงปู้ฟ๋านเห็นฉู่ชวิ๋น เขาก็หลุดปากออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว
เขาหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้เขาปิดปากเงียบกลัวว่าสิ่งที่เขาทำจะทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขา
หญิงสาวผมเงินกำลังมองแจกันคริสตัลตกแต่งบนโต๊ะอาหาร จู่ๆ ก็รู้สึกถึงบางอย่าง เธอเอาผ้าโปร่งสีขาวออกมาเพื่อปกปิดใบหน้าของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
หลังจากทำแบบนี้ ดวงตาของเธอก็เหมือนมีน้ำไหลออกมาเล็กน้อยราวกับว่าเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำเช่นนี้?
ฉู่ชวิ๋นกำลังงงว่าทุกคนกำลังหัวเราะเรื่องอะไรกันอยู่ เขามองไปรอบๆ แล้วสะดุดตากับผู้หญิงผมเงินคนนั้น
วิญญาณของชิงหวู่อยู่ใกล้ๆ กับผู้หญิงคนนั้น หัวใจของฉู่ชวิ๋นสั่นสะท้านลมหายใจของเขาเองก็เริ่มที่จะเร็วขึ้น
“เสี่ยวหวู่ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันเจอวิญญาณของคุณแล้ว อีกไม่นานคุณจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปหาผู้หญิงผมเงิน
เหลิงปู้ฟ๋านเงยหน้าขึ้นไปมองฉู่ชวิ๋นที่กำลังเดินมาอย่างเย่อหยิ่ง
แต่ไม่นานนักความหยิ่งผยองก็หายไปจากใบหน้าของเหลิงปู้ฟ๋าน เพราะอีกฝ่ายเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจใยดีอะไรด้วยซ้ำ แต่เขาก็คิดเองเออเองว่าอีกฝ่ายเข้ามาขอบคุณเขา
แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของเขาก็หายไปทันทีเมื่อฉู่ชวิ๋นนั่งลง
คนรอบๆ มองมายังฉู่ชวิ๋นและรู้สึกสงสาร บ้างก็รู้สึกพอใจ เพราะเขานั่งลงตรงข้ามกับผู้หญิงคนนั้น
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม แม้ว่าเธอจะปิดผ้าคลุมซ่อนใบหน้าเอาไว้ แต่ดวงตาที่ราวกับลมฤดูใบไม้ร่วงนั้นทำให้เขารู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน
อะไรทำให้วิญญาณของฮวาชิงหวู่อยู่กับผู้หญิงคนนี้กันนะ? ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะหาความจริงในเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ทำเอาวิญญาณกลับมา นอกจากนี้แล้วเขาต้องไปหาดอกซานเซิงเพื่อปลุกเธอขึ้นมาอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นฉู่ชวิ๋นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้อาจเป็นเพราะวิญญาณของฮวาชิงหวู่สถิตอยู่ในตัวเธอคนนี้ก็ได้ ฉู่ชวิ๋นคิดแบบนั้น
เมื่อผู้หญิงคนนั้นมองมายังฉู่ชวิ๋น คิ้วบนใบหน้าอันงดงานของเธอก็ขยับเข้าหากัน ดวงตาที่เหมือนกับสายน้ำจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความรังเกียจ
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่พอใจเขา
ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นกลับไปมองยังแจกันบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง
ฉูชวิ๋นไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่พอใจเขา แต่วิญญาณของเสี่ยวหวู่เขาต้องเอามันกลับมา
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ” ฉู่ชวิ๋นพยายามหาคำพูดเพื่อต่อรองกับอีกฝ่าย
สาวผมเงินไม่มีท่าทีที่จะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย แต่วัดจากลมหายใจแล้วเธอกำลังไม่พอใจเขาอยู่อย่างแน่นอน
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเครียดโดยที่เขาไม่รู้ตัว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ทำอะไร เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมเลยจริงๆ
“สิ่งที่ฉันกำลังจะพูดนั้นเป็นความจริงและสำคัญกับฉันมากๆ เธอสามารถกำหนดเงื่อนไขได้เลย ถ้าฉันทำได้ฉันจะทำ” น้ำเสียงของฉู่ชวิ๋นหดหู่ ทำไมเขาไม่จัดการผู้หญิงคนนี้ซะเลยล่ะ? ตอนแรกเดิมเขาคิดว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครเขาก็ชนะได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้ เขาไม่สามารถลงมือได้เขาไม่รู้เลยว่าทำไมเขาลงมือกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้
“จริงเหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับสั้นๆ เธอมองกลับฉู่ชวิ๋นด้วยความเย้ยยัน
“ใช่ ถ้าฉันทำได้ ฉันจะทำให้” ฉู่ชวิ๋นยืนยันอย่างมั่นใจ
“ดีงั้นก็ฆ่าตัวตายซะ” เสียงของผู้หญิงคนนั้นเรียบเฉยเหมือนกับพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป ก่อนที่จะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงจนพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว “ทำไม?”
หญิงสาวมองดูเขาอย่างเงียบๆ แม้จะไม่เห็นสีหน้าของเธอที่อยู่ใต้ผ้าคลุม แต่ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกว่ามุมปากของเธอยกขึ้น และมันเต็มไปด้วยความรังเกียจ