จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 257 ความยินดีของทุกคน
บทที่ 257 ความยินดีของทุกคน
หวู่ปู้ซือเมื่อเห็นหยานอี้กลืนผลไม้ลงไปร่างกายของหยานอี้ก็ก้าวข้ามขีดจำกัดทะลวงไปสู่ขั้นจักรพรรดิทันทีทำให้เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ถือผลไม้ในมืออย่างระมัดระวังและกัดเข้าไป กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ราวกับมีบางอย่างเปล่งประกายแวววาวทุกครั้งที่เขากัดลงไป
ง่ำ…ง่ำ….จนท้ายที่สุด แม้แต่แกนของผลไม้เขาก็กินมันจนไม่เหลือ ก่อนที่จะเลียนิ้วอย่างสบายใจ
“อะ…มาแล้วๆ ฉันเองก็จะก้าวข้ามขีดจำกัดแล้ว!” เขาตะโกนออกมาทันทีที่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของตน เขานั่งลง ร่างกายของเขาค่อยๆ เปร่งประกาย ลมหายใจถี่และต่อเนื่อง นั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
เมื่อฉู่ชวิ๋นได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบวางเขตแดนรอบๆ หวู่ปู้ซือทันที เพื่อช่วยให้หวู่ปู้ซือทะลวงขั้นพลังง่ายขึ้น
“จักรพรรดิยาถอยไป ฉันเองก็จะทะลวงพลังด้วย!” เหลยเป้าตะโกนออกมา
จักรพรรดิยาเผลอถอยหลังออกไปโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่ควรเข้าไปรบกวนผู้ที่กำลังจะทะลวงขั้นพลัง แต่เมื่อเขาถอยหลังไปได้ 2-3 ก้าวเขาก็สับสน เหลยเป้าทะลวงขั้นพลังได้ยังไง ผลไม้ที่ฉู่ชวิ๋นให้มาเขาก็ยังไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ?
แน่นอนเมื่อจักรพรรดิยาหันกลับไปมองหน้าเหลยเป้า ก็พบว่าเหลยเป้ากำลังหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่ “รู้ตัวแล้วเหรอ แกนี่มันหลอกง่ายจริงๆ คนเรามันจะทะลวงพลังขั้นจักรพรรดิง่ายดายขนาดนั้นเลยรึไง ฮ่าฮ่าฮ่า?”
หน้าผากของจักรพรรดิยาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำที่ปูดขึ้นมา เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห “แกโดนแน่!”
เมื่อเหลยเป้าเห็นว่าตัวเองทำสำเร็จ ใบหน้าของเขาก็ยิ้มกว้างจนเคราของเขาสั่นสะเทือน
“จะว่าไปแล้วตรงนี้ยังมีกระดูกที่หักเหลืออยู่อีกนะ?” จักรพรรดิยาจับแขนของเหลยเป้า ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘แกร็ป!’ ออกมาทันที เหลยเป้าได้แต่กรีดร้องออกมาไม่เป็นผู้เป็นคน
“จักรพรรดิยา! นี่มันจงใจแกล้งกัน…ชะ…ชัดๆ เลย…..แก….จงใจๆ !”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าอยู่พักหนึ่ง
ในตอนนี้ บาดแผดของของจิ่วโยวตั้งแต่ไหล่ไล่มาจนถึงหน้าอกได้หายเป็นปกติแล้ว ลมปราณภายในร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งขึ้นมากแต่ก็ยังมีความละเอียดอ่อนซ่อนอยู่ภายใน
ฉู่ชวิ๋นได้แต่ถอนหายใจพลังกายของสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างชัดเจนมากจนเห็นด้วยตาเปล่าจริงๆ
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดแล้วนะ” จิ่วโยวเดินเข้ามาหาพร้อมกับเงยใบหน้าน่ารักๆ ของเธอขึ้นมองฉู่ชวิ๋นและแบมือขอผลไม้จากฉู่ชวิ๋นอีกลูก
ฉู่ชวิ๋นอึ่งไปเลย ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “พอเลย ฉันมีแค่ 7 ลูกเองนะและเธอก็เอาไป 3 ลูกแล้ว”
จิ่วโยวจึงกระซิบเบาๆ กับฉู่ชวิ๋น “ที่นายให้ฉันมามันเน่าหรือเปล่า?”
ฉู่ชวิ๋นขยี้หัวของเธอพร้อมกับพูดต่อ “ที่ฉันให้เธอไป ฉันตรวจสอบมาก่อนแล้วทั้งนั้น ไม่มีหรอกน่งเน่าอะไรนั้น”
จิ่วโยวยิ้มอย่างสดใส “ถ้าฉันไปเจอผลไม้พวกนั้นบนรถของนาย ฉันจะไปกินให้หมดเลยนะ”
“เอาสิถ้าเจอนะ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ ก่อนที่จะเดินกลับไปยังรถของตน
ตู้ม!
อากาศเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรง ลมร้อนราวกับเตาอบพัดผ่านมายังร่างของพวกเขาพร้อมกับเสียงระเบิด
หยานอี้ดวงตาเบิกกว้าง เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว บาดแผลของเขาหายเป็นปลิดทิ้งเขาก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิสำเร็จ!
“ขอบคุณมากท่าน!” หยานอี้กล่าวของคุณ เขาไม่รู้ว่า5hkไม่มีฉู่ชวิ๋น เขาจะต้องติดอยู่ขั้นครึ่งก้าวสู่จักรพรรดิไปอีกกี่ปี
ในขณะเดียวกัน หวู่ปู้ซือเองก็ก้าวข้ามขีดจำกัด พายุลูกใหญ่ห่อหุ่มร่างของเขาอย่างรุนแรงก่อนที่จะสลายตัวไป
“ขอบคุณมากครับ!”
เขาและหยานอี้ที่ทะลวงพลังได้ต่างก็ขอบคุณฉู่ชวิ๋น
เหลยเป้ายังคงนอนอยู่บนพื้น เขากำลังถูกจักรพรรดิยาทรมานอยู่ เขาทั้งร้องโอดครวญและสบถไม่หยุด เมื่อเห็นหวู่ปู้ซือกับหยานอี้ทะลวงพลังได้ ในใจเขาก็อิจฉาจึงเอาผลไม้ออกมากินบ้าง
ฉู่ชวิ๋นช่วยเขาสร้างเขตแดนลมปราณภายในเวลาไม่กี่ธูปหอม ลมปราณของเหลยเป้าก็รุนแรงขึ้นมาก
แต่การทะลวงขั้นในระดับจักรพรรดิไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้พลังของเหลยเป้า เกือบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 แล้วอาการบาดเจ็บเองก็หายเป็นปกติ
จากนั้นเหลยเป้าก็คิดถึงเรื่องที่จักรพรรดิยาได้ทรมานเขาอย่างจงใจ
ล่าสุดเขาถูกจักรพรรดิยารังแกด้วยการกดแผลกระดูกหักที่ข้อมือแต่ตอนนี้เขากลับยกแขนต้านทานแรงกดของจักรพรรดิยาได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนจักรพรรดิไม่ยินดีนักที่เหลยเป้าจะเก่งกว่าเขา ซึ่งตอนนี้เหลยเป้าห่างจากขั้นจักรพรรดิระดับ 2 เพียงแค่เอื้อมเท่านั้น
เขาประเมินความสามารถของเหลยเป้าต่ำเกินไป ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ลูกสายฟ้าก็ถูกเหลยเป้าซัดออกมา
จักรพรรดิยาถูกบังคับให้ต้องต่อสู้และผลลัพธ์สุดท้ายนั้นน่าสมเพชนิดหน่อย ร่างกายของจักรพรรดิยาดำคล้ำด้วยไฟฟ้า
ทั้งหยานอี้และหวู่ปู้ซือพบว่า จิ่วโยวและเหลยเป้าเองก็พัฒนาขึ้นมากที่ดีที่สุดคือเหล่าประตูวิญญาณสลายที่บุกเข้ามาถูกจำกัดจนสิ้นซาก ทุกอย่างจบลงแบบนี้ทุกคนก็ต้องยินดีเป็นธรรมดา
ฉู่ชวิ๋นนึกถึงชายชราและเด็กหนุ่มที่เขาช่วยระหว่างทางได้ เขาให้คนทั้งสองรออยู่ข้างนอกประตูและสร้างเขตแดนไว้ให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากการต่อสู้
เมื่อหวู่ปู้ซือรู้ก็รีบพุ่งตัวออกไปราวกับสายลม หลังจากรู้ว่าพวกเขาถูกตามล่าโดยสำนักดาบพิฆาตตลอดทาง เขาก็รีบวิ่งไปที่ยอดเขาด้วยความโกรธและตะโกนสาบานว่าสำนักดาบพิฆาตจะต้องถูกทำลายจนย่อยยับ
“ขอบคุณท่านฉู่มากนะครับ” หวู่ปู้ซือแสดงความขอบคุณอีกครั้ง เขาเองก็แก่มากแล้วหากมีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา เขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ
ฉู่ชวิ๋นโบกมือ จ้องมองไปที่วัยรุ่นและเขาก็แปลกใจเล็กน้อย ตอนแรกที่เขาเจอเด็กหนุ่มนั้นเป็นจอมยุทธ์ธรรมดา แต่ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์แล้ว
เขานึกถึงผลไม้ทองคำ หลังจากกินผลไม้ทองคำโดยไม่ได้ตั้งใจ คนธรรดาก็เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 5 ทันที แต่จิ่วโยวและคนอื่นๆ หลังจากกินเข้าไปมันไม่ได้เป็นแบบนั้น มีความแตกต่างอะไรระหว่างคนธรรมดากับพวกเขางั้นเหรอ? หรือมันเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนส่วนตัว? ความแข็งแกร่งส่วนตัวทำให้ฤทธิ์ของมันด้อยลงงั้นเหรอ?
“ท่านฉู่ ผมมีบางสิ่งจะขอ” หวู่ปู้ซือกล่าว
“ว่ามาเลย” เขาตอบรับอย่างเรียบง่าย
หวู่ปู้ซือเหลือบมองไปยังหยานอี้ก่อนที่จะพูดออกไปด้วยความจริงจัง
“ฉันอยากให้ช่วยรับสำนักเทียนหวู่จง เข้าร่วมกับคฤหาสน์ตระกูลฉู่ด้วย”
“ได้สิ” เขาไม่ปฏิเสธ หวู่ปู้ซือเป็นคนดี พวกเขาอยู่ห่างจากสำนักภูผาทมิฬไปเป็นพันๆลี้แต่หวู่ปู้ซือก็ยังยกคนมาช่วย เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริง
แน่นอนฉู่ชวิ๋นไม่ได้เลือกคนที่ความสามารถ เขามองหาแค่คนที่ไว้ใจได้และไม่หักหลังเขาเท่านั้น
“มาทักทายนายท่านเร็ว!” หวู่ปู้ซือจับลูกชายและชายชรามาคุกเข่า
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือและใช้พลังลมปราณพยุงให้พวกเขาลุกขึ้น
“ทุกคนล้วนเป็นเจ้านายตัวเอง ไม่ต้องสุภาพหรอก”
สำนักเทียนหวู่จงเข้ารวมกับคฤหาสน์ตระกูลฉู่เป็นเรื่องที่เขาดีใจมาก
หยานอี้ไปเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงในคืนนี้
หลังจากที่ทุกคนต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ทุกคนล้วนเหนื่อยล้าและหิวสุดๆ
ฉู่ชวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เขาไปถึงเมืองมังกร เขาแล่เนื้อตัวนิ้มยักษ์มาเก็บไว้ในแหวนของเขาด้วย เขาจึงเอาอออกมาให้หยานอี้และพ่อครัวของสำนักภูผาทมิฬใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหาร
ผู้คนจำนวนมากำลังนั้นล้อมวงโต๊ะอาหารที่มีจานอาหารจากเนื้อตัวนิ่มยักษ์ ไม่ว่าจะเป็น ต้ม พัด แกง ย่าง ทอด รมควัน….พ่อครัวของสำนักภูผาทมิฬนั้นฝีมือดีมากทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อย
เนื้อตัวนิ่มนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารและพลังงาน ซึ่งเหมาะกับผู้ฝึกวิชาอย่างมาก เนื้อตัวนิ่มลมควันวางยาวต่อกัน 4-5 เมตรทำให้ทุกคนกินกันไม่ไหว ต้องนำไปแบ่งกับศิษย์ของสำนักภูผาทมิฬด้วย
“จักรพรรดิยา เป็นอะไรไป? นายยุ่งมาตลอดทั้งคืนแล้วนี่ไม่หิวรึไง?” เหลยเป้ามองไปยังจักรพรรดิยาที่มีใบหน้าสีดำเดินผ่านมา
“ยุ่ง!” จักรพรรดิยาจ้องมองเหลยเป้าอย่างไม่พอใจ ตอนนี้เขาเป็นตะคริวที่ท้อง แม้ว่าเขาจะหิวมากก็ตามแต่จะให้กินได้ยังไง?
เหลยเป้าไม่สนใจ เขาอ้าปากกว้างกินเนื้อตัวนิ่มและเคี้ยวเสียงดัง พร้อมพูดอย่างคลุมเครือ “จักรพรรดิยาดูนี้สิ! เนื้อสัตว์กลายพันธุ์พวกนี้อร่อยชุ่มฉ่ำ เต็มไปด้วยสารอาหาร ฉันจะบอกเองว่าข้อดีของมันคืออะไร….!”
จ๊อก! จ๊อก!
มุมปากของจักรพรรดิยากระตุกถึงยังงั้น เขารีบโยนแก้วไวน์ไปให้เหลยเป้าทันที “รีบดืมซะ เดี๋ยวก็ติดคอตายพอดี”
เหลยเป้ารีบดืมไวน์เข้าไปทันทีก่อนที่จะพูดต่อ “ขอบใจ… อึ๊ก!… โทษทีรีบกินเกินไปหน่อย จักรพรรดิยา นายมียาย่อยอาหารให้ฉันสัก 2 เม็ดไหม?”
“ให้ตายสิว่ะ! ….ฉันเป็นจักรพรรดิยา ไม่ใช่ร้ายขายยาตามข้างทาง”
เหลยเป้ายิ้ม โอบกอดไหล่ของจักรพรรดิยาอย่างใกล้ชิดและยิ้มเยาะ
“เอาน่า มันก็เหมือนๆ กันแหละ!”
จักรพรรดิยาไม่ได้โกรธอะไร ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “ฉันไม่มียาย่อยอาหาร แต่มียาต้านอาการท้องร่วง เอาไหม?”
“ทำไมฉันถึงต้องการอะไรแบบนั้นด้วย? ร่างกายของฉันมันสุดยอดอยู่แล้ว เนื้ออร่อยแบบนี้ ระบบย่อยอาหารของฉันก็ดีเยี่ยม นายน่าจะ….” ก่อนที่จะพูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันทีสีหน้าแดงก้ำ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้ววิ่งหายไป
“เขาเป็นอะไรของเขานะ?” หยานอี้ถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน!” จักรพรรดิยาตีหน้าซื่อพร้อมกับรอยยิ้มตรงมุมปาก
“จะไม่เป็นไรเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถาม เขาเป็นคนเดียวรึเปล่าที่เห็นการกระทำทุกอย่างของจักรพรรดิยา
“สบายใจได้เลยท่านเจ้า ไม่อันตรายอะไรหรอก” จักรพรรดิยาตอบกลับ
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดมาก ไม่นานนักเหลยเป้าก็เดินออกมาพร้อมท่าทางที่รุนแรง แต่เมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามาในห้องอาหารได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็รีบวิ่งออกไปอีกครั้ง
“อะไรกันเนี่ย?” หวู่ปู้ซือบ่นออกมา “เข้ามาแล้วก็วิ่งออกไปถึง 2 รอบ เลยเหรอ?”
ไม่นานนัก เหลยเป้าก็กลับมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดเผือก หน้าผากเหงื่อออกและเขานั่งลงอย่างอ่อนแรง
จักรพรรดิยาช่วยเหลยเป้าโดยการหั่นเนื้อชิ้นใหญ่ไว้ให้ “กินซะสิ มันดีต่อการฝึกฝนนะ ฉันจะบอกสรรพคุณของมันให้…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เหลยเป้าก็หน้าซีดทันที เขาหายใจรุนแรงหายและเขายืนขึ้น เตรียมวิ่งออกไป แต่จักรพรรดิยาก็คว้าตัวเขาเอาไว้และพูดว่า
“อย่าเพิ่งไปสิ ฉันยังไม่ได้บอกประโยชน์ของการกินเนื้อเหล่านี้เลย”
เหลยเป้าสบัดมือจักรพรรดิยาอยู่ครั้ง แต่ก็ไม่หลุดสักที หน้าผากที่วิตกกังวลเปล่งประกายเม็ดเหงื่อออกมาอย่างมากมาย เขากัดฟันและพูดว่า
“ปล่อยเว้ย!”
“ทำไม? ปล่อยอะไร? มาๆๆ ฉันแค่จะเล่นกับนายเอง ไม่ได้ทำร้ายอะไรนายสักหน่อย” สีหน้าของจักรพรรดิยาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และไม่ยอมปล่อยมือ
เหลยเป้าหยุดพูด และหายใจอย่างระมัดระวัง
“จักรพรรดิยา ถ้าแกอยากเล่นจริงๆ ไว้ฉันกลับมาก่อนค่อยว่ากันโอเคไหม?” เหลยเป้าแสดงรอยยิ้มที่หาดูได้ยากออกมา
“ไม่ ฉันอยากเล่นตอนนี้ ตอนนี้เท่านั้น!”
“จักรพรรดิยา ลุง พี่เทพ….ปล่อยผมไปก่อนเถอะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา!” เหลยเป้าเริ่มหอบ กล้ามของเขาดูเขียวไปหมด เขากัดฟันแน่น แล้วรีบสะบัดแขนออก เมื่อหลุดออกไปได้ เขาก็หายตัวไปอีกครั้ง
ตอนนี้ทุกคนเห็นแล้วว่าจักรพรรดิยากำลังแกล้งเหลยเป้าอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าจักรพรรดิยาทำได้ยังไง พวกเขาได้แต่คอยชมการแสดงครั้งนี้ต่อไป
ไม่นานจริงๆ ตามที่เขาพูดไว้ เหลยเป้าก็กลับมาที่โต๊ะ เขาค่อยๆ เอามือคลำกำแพงเดินเข้ามา
“เหลยเป้า เกิดอะไรขึ้นกับนายนะ? ดื่มเยอะเกินไปหรือเปล่า?” หยานอี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ
เหลยเป้าจ้องมองไปที่จักรพรรดิยาและเอ่ยเบาๆ “แกแกล้งฉันเหรอ?”
“นายพูดถึงเรื่องอะไร? ฉันไปทำอะไรตอนไหน?” การแสดงของจักรพรรดิยาสุดยอดมาก
เหลยเป้าส่งเสียงอุทานออกมา จับที่ท้องตัวเองแล้วจ้องมองจักรพรรดิยา “ไอ้นักต้มตุ๋น…อย่ามาทำเป็นว่าฉันโง่ วิธีน่ารังเกียจแบบนี้จะมีใครอื่นนอกเหนือจากแก?”
จักรพรรดิยาลุกขึ้นยืนและลากเหลยเป้าออกไป
เหลยเป้าอ่อนแรงมากจนยืนแทบไม่ไหว เพราะงั้นเขาจะต่อต้านไม่ให้ถูกลากออกไปได้ยังไง?
“ไอ้นักต้มตุ๋น ปล่อยฉันนะ แกจะทำอะไร?” เหลยเป้าแทบจะร้องไห้ออกมา เขารู้สึกว่าลำไส้ของเขามันปั่นป่วนอีกครั้งแล้ว
“อะไร ไม่ใช่ว่านายอยากจะต่อสู้กันอย่างถูกต้องรึไง? เพราะงั้นมาสู้กันตอนนี้เลย” จักรพรรดิยาพูดออกมาเหลยเป้าอยากจะกรีดร้อง ตอนนี้ลำพังแค่ยืนนิ่งๆ ยังไม่ได้เลย แล้วจะให้สู้ยังไง?
“ฉันหมายถึงวันอื่น ไม่ใช่ตอนนี้เว้ย”
“แต่ฉันพูดถึงตอนนี้” จักรพรรดิยายิ้มเยาะ
“ไอ้คนหลอกลวง แกจงใจ แกรอท่านเหลยคนนี้ได้เลย แกโดนดีแน่”
“โอ้ นี่นายกล้าขู่ฉันเหรอ?” จักรพรรดิยาพลิกฝ่ามือและเอาแท่งคริสตัลออกมา กระหน่ำกระแทกก้นเหลยเป้า
ดวงตาและใบหน้าของเหลยเป้ากลายเป็นสีแดง คอและท้องของเขาปั่นป่วน จนไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้
เหลยเป้าถูกกระแทกที่ก้นอีกครั้ง ทำให้เขาแน่นและอึดอัดไปหมดใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วง ทั่วทั้งร่างกายขนลุกซู่ ความเปรี้ยว(ของบูดของเสีย) ทำให้เขาร้องไห้