จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 279 ปิดผนึกปีศาจทมิฬ
บทที่ 279 ปิดผนึกปีศาจทมิฬ
วันต่อมา
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยและฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามาในห้องโถงของปราสาทจตุรเทพพร้อมกัน
ทั้งสองคนช่วยกันเปิดฝาหม้อปรุงยาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับใช้งาน
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยออกคำสั่งเอาไว้แล้วว่า ห้ามผู้ใดเข้ามาใกล้ห้องโถงของปราสาทจตุรเทพในตอนนี้เด็ดขาด
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม น้องชาย” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ด้วยว่าหม้อปรุงยาใบนี้คือสิ่งที่กดทับให้เผ่าปีศาจทมิฬให้ถูกกักขังอยู่ใต้พิภพทำให้เขากลัวถ้าใช้งานพลังของมันจนลดลงจะเผ่าปีศาจทมิฬถูกปล่อยออกมา
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ตอบว่า “หายห่วงได้ครับ”
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็เริ่มต้นสร้างม่านพลัง
วัตถุดิบสำหรับการปรุงยาเขาเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืน
วาบ!
หลังจากขึงม่านพลังในห้องโถงเรียบร้อยแล้ว ม่านพลังเหล่านั้นก็ส่งแสงสว่าง ปกคลุมไปทั่วห้องโถงใหญ่ของปราสาทจตุรเทพ
ฉู่ชวิ๋นเดินตรงไปที่หม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ และสร้างม่านพลังห่อหุ้มมันเอาไว้ ในขณะที่ร่างกายของตนเองรายล้อมไปด้วยพลังลมปราณสีม่วง แล้วพลังลมปราณที่เป็นเหมือนเปลวไฟก็พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
นี่คือพลังไฟมังกรโบราณ ซึ่งเป็นทักษะประจำตัวของเขา
การจุดไฟเริ่มต้นขึ้น
พลังลมปราณที่เหมือนเป็นเปลวไฟจากฝ่ามือของฉู่ชวิ๋น กลายเป็นเปลวไฟที่ติดอยู่ก้นหม้อปรุงยาจตุรเทพ
ฟู่!
หม้อปรุงยาจตุรเทพสั่นสะเทือนตลอดเวลา คล้ายกับว่ามันกำลังรู้สึกตื่นเต้น
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถอยไปยืนอยู่ที่มุมห้อง ความร้อนจากพลังไฟมังกรทำให้อุณหภูมิภายในห้องโถงใหญ่พุ่งสูงจนน่ากลัว แม้แต่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาแล้ว
เปลวไฟจากฝ่ามือของฉู่ชวิ๋นไหลรินเข้าไปอยู่ใต้หม้อปรุงยา อุณหภูมิรอบกายเขาพุ่งสูงมากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า และทำให้มวลอากาศระเบิดตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่หม้อปรุงยาจตุรเทพจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว
ฟู่!
ตัวหม้อปรุงยาจตุรเทพเริ่มมีสีสันสดใส ลวดลายแกะสลักสัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิด วิ่งวนไปรอบตัวหม้อเหมือนกับมันมีชีวิต
เมื่อฉู่ชวิ๋นเร่งพลัง เปลวไฟที่เผาผลาญอยู่ก้นหม้อปรุงยา ก็ทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น
วาบ!
แสงสว่างจากหม้อปรุงยาจตุรเทพ แผ่กระจายปกคลุมทั่วห้องโถงใหญ่
ในทันใดนั้นเอง เกิดเสียงมังกรคำราม พยัคฆ์คำรณ วิหคกรีดร้อง เต่าคะนองเริงร่า แล้วเงาร่างสีดำขนาดใหญ่ ก็ลอยขึ้นมาอยู่เหนือหม้อปรุงยาจตุรเทพ
ฉู่ชวิ๋นพลิกฝ่ามือ แล้วโยนก้อนวัตถุดิบที่เป็นสีทองคำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ลงไปในหม้อปรุงยา
วูบ!
สมุนไพรวิญญาณที่รวมตัวเป็นก้อนกลม เมื่อถูกโยนลงไปในหม้อปรุงยา มันก็สลายหายไปกลายเป็นเพียงหยดน้ำทองคำกลุ่มหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความดีใจ หม้อปรุงยาคุณภาพสูงทำให้เห็นผลของการปรุงยาได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอลุ้นในภายหลังเพียงแค่รอเวลาอีกนิด ยาสลายจุดตันที่เขาต้องการก็จะสำเร็จแล้ว
ฉู่ชวิ๋นล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนที่จะโยนสมุนไพรเจ็ดดาราลงไปในหม้อปรุงยา แล้วสมุนไพรชนิดนี้ก็ละลายตัว กลายเป็นหยดน้ำทองคำเช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นมีความสุขอย่างที่สุด เขายกมือขึ้นสร้างม่านพลัง ไม่ให้มีสิ่งใดเข้ามารบกวนหม้อปรุงยาได้อีกเด็ดขาด
แล้วหม้อปรุงยาจตุรเทพก็เปล่งแสงสว่างไสวมากยิ่งขึ้น
วัตถุดิบที่ถูกใส่ลงไปในหม้อปรุงยาเป็นสมุนไพรที่บริสุทธิ์และหายาก สมุนไพรทุกชนิดจะละลายตัวกลายเป็นหยดน้ำทองคำ แล้วหยดน้ำทองคำเหล่านั้น ก็ละลายรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเดียว
ฉู่ชวิ๋นไม่กล้าสบายใจมากเกินไป เขายกมือขึ้นโคจรพลังเร่งไฟอีกหลายครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปดูหม้อปรุงยาใกล้ๆ
ยาที่เขากำลังจะปรุงขึ้นมานี้คือยาสลายจุดตัน ซึ่งไม่ใช่ยาที่จะปรุงได้ง่ายๆ ก่อนอื่น เขาต้องรู้วิธีคุมไฟ ถ้าคุมไฟได้แล้ว สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการปรุงยา ก็คือการควบคุมอุณหภูมิความร้อนของไฟนี่เอง
ฟู่!
พลังลมปราณจำนวนมากไหลล้นออกมาจากร่างกายของฉู่ชวิ๋น และไหลไปรวมกันอยู่ในกองไฟใต้หม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์
สมุนไพรหลายชนิดที่ถูกใส่ลงไปในหม้อ ในขณะนี้มีสภาพเป็นของเหลวสีทองคำ แต่ก็ยังนำมาใช้ทำยาไม่ได้ ชายหนุ่มยังคงต้องเปลี่ยนสภาพมันอีกหนึ่งครั้ง
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเคร่งเครียดจริงจัง เขาควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟอย่างระมัดระวัง เม็ดเหงื่อผุดพราวบนหน้าผาก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ของเหลวสีทองคำเหล่านั้นก็ดูเหมือนทองคำบริสุทธิ์มากขึ้น มันรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว ดูเรียบเนียนเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นหยิบกิ่งไม้สีดำขนาดเล็กออกมาจากในอกเสื้อ ไม้ฟ้าผ่าเป็นวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการปรุงยาสลายจุดตัน
เมื่อโยนไม้ฟ้าผ่าลงไปในหม้อปรุงยา ในวินาทีต่อมา สายฟ้าแลบแปลบ แล้วเสียงฟ้าผ่าก็ดังกึกก้องทั่วห้องโถงใหญ่
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเอง พื้นดินพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ถึงกับขยับเข้ามาดูแล้ว
เจ้าพวกปีศาจทมิฬกำลังเคลื่อนไหว
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายวาวโรจน์ เขาทำให้อุณหภูมิเปลวไฟคงที่ชั่วคราว แล้วปล่อยคลื่นพลังจิตแทรกซึมลงไปใต้พื้นดิน
การแยกพลังเช่นนี้คือเรื่องที่สูบพลังลมปราณเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียว อาจจะทำให้ถึงตายได้ง่ายๆ
พลังจิตของชายหนุ่มดิ่งลงไปใต้ดินลึกหลายพันเมตร
สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นพบเห็นก็คือ ค้อนสีดำขนาดใหญ่ด้ามหนึ่ง กำลังฟาดกระหน่ำลงไปที่ม่านพลังสีม่วงอย่างบ้าคลั่ง
เปรี้ยง!
เมื่อค้อนสีดำทุบเข้าใส่ม่านพลังสีม่วงหนึ่งครั้ง ก็จะเกิดเสียงดังเหมือนฟ้าร้องครืนครัน เศษพลังลมปราณจากม่านพลังสีม่วงแตกกระจายไปทุกทิศทุกทาง
ฉู่ชวิ๋นเฝ้าดูอยู่สักครู่หนึ่ง จึงได้เข้าใจว่าค้อนสีดำก็คือพลังจิตจากฝ่ายปีศาจทมิฬ ส่วนม่านพลังสีม่วงก็คือพลังกดทับจากหม้อปรุงยาจตุรเทพ ที่แผ่ลงมาจากพื้นดินด้านบนนั่นเอง
ในอากาศเหลือม่านพลังอยู่ไม่มากแล้ว อีกเพียงไม่นาน มันจะต้องถูกค้อนสีดำทุบทำลายไปจนหมดสิ้นแน่นอน
เปรี้ยง เปรี้ยง!
ค้อนสีดำระดมฟาดใส่ม่านพลังสีม่วงไม่หยุดยั้ง ม่านพลังสั่นไหววูบวาบ รอยแตกร้าวกินบริเวณกว้าง พลัน ม่านพลังก็สลายตัวไปในวินาทีต่อมา
เมื่อฉู่ชวิ๋นเห็นดังนั้น เขาก็รีบยกมือขึ้น ถ่ายทอดพลังลมปราณใส่หม้อปรุงยาจตุรเทพ แล้วม่านพลังสีม่วงใต้พิภพ ก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เมื่อลองใช้พลังจิตสำรวจดูใต้ดินอีกรอบ ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าม่านพลังถูกกัดกร่อนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพวกปีศาจทมิฬจะมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าเดิมเสียแล้ว
เปรี้ยง เปรี้ยง!
ค้อนสีดำกระหน่ำฟาดลงมาด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ม่านพลังสีม่วงที่เพิ่มเข้ามานี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน และบางส่วนก็กำลังแผ่ปกคลุมไปที่ปากโพรงถ้ำใต้ดินแล้ว
ฉู่ชวิ๋นได้ยินเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงไม่เสียเวลาคิดอีกแล้ว มวลพลังจิตของเขาพุ่งเข้าไปหาค้อนสีดำขนาดใหญ่ด้ามนั้นทันที
ค้อนยักษ์สีดำเหมือนรู้ว่ามวลพลังก้อนนี้มีความน่าหวาดกลัว มันจึงหันมาไล่ทุบทันที
โครม!
มวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นพลันสลายตัวไปชั่วคราว ค้อนยักษ์จึงฟาดโดนแต่ผนังถ้ำเต็มแรง
ในเวลาเดียวกันนี้ ม่านพลังสีม่วงก็ไหลรินเข้าไปสู่ด้านในโพรงถ้ำแล้ว
โฮก!
แว่วเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นดังออกมา พร้อมกับคลื่นพลังลมปราณปีศาจที่รุนแรงยิ่ง
บนพื้นดิน ร่างของฉู่ชวิ๋นมีพลังลมปราณพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลาและพลังลมปราณเหล่านั้น ก็ไหลรินลงไปสู่หม้อปรุงยาจตุรเทพอย่างต่อเนื่อง
ณ โลกใต้พิภพ มวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นกลับมารวมตัวกันอีกครั้งกลายเป็นรูปทรงกำปั้นหมัดหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าไปหาค้อนยักษ์สีดำของพวกปีศาจทมิฬ
เปรี้ยง!
คลื่นพลังสาดกระจาย มวลพลังของฉู่ชวิ๋นสลายตัวไปอีกครั้ง ค้อนยักษ์ฟาดโดนแต่ผนังถ้ำอีกรอบ
ม่านพลังสีม่วงแผ่ปกคลุมด้านในโพรงถ้ำใต้ดิน
ค้อนยักษ์สั่นไหวอย่างรุนแรง รีบลอยตัวกลับไปเพื่อทุบทำลายม่านพลังเหล่านั้น
จุดหมายของค้อนยักษ์ก็คือต้องการทำลายล้างม่านพลังเหล่านี้ให้หมดไป ดูเหมือนว่าม่านพลังสีม่วงเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อพวกปีศาจทมิฬไม่น้อย
แล้วโอกาสดีๆ แบบนี้ ฉู่ชวิ๋นจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร มวลพลังจิตของเขารวมตัวเป็นรูปกำปั้นอีกรอบ และพุ่งเข้าไปหาค้อนยักษ์อีกครั้ง
เปรี้ยง!
แล้วก็เป็นอีกหนหนึ่ง ที่ค้อนยักษ์ฟาดโดนแต่ผนังถ้ำ เพราะกำปั้นของฉู่ชวิ๋นสลายตัวไปเสียก่อน
โฮก!
ในส่วนลึกของโพรงถ้ำใต้ดิน แว่วเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นลอยออกมาราวกับเสียงกรีดร้องจากขุมนรกเก้าโลกันต์
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจอะไรอีกแล้ว มวลพลังจิตของเขารวมตัวกลับมาเป็นรูปร่างกำปั้นอีกครั้ง แล้วครั้งนี้มันก็พุ่งกระแทกใส่ด้านข้างของค้อนยักษ์เข้าอย่างจัง
เปรี้ยง เปรี้ยง!
ถึงแม้ว่าค้อนยักษ์จะพยายามไล่ทุบกำปั้นของเขาอย่างไม่ย่อท้อแต่ฉู่ชวิ๋นก็สลายพลังได้ทันท่วงทีทุกครั้ง ค้อนยักษ์จึงฟาดไม่เคยถูกมวลพลังของเขาเลย
“ใครกันมาขวางทางข้าไม่ให้ปลดผนึกออกไป?” เสียงของวิญญาณร้ายดังก้องกังวานไปทั่วโลกใต้พิภพ
“อยู่ที่นี่ต่อไปนั่นแหละดีแล้ว โลกมนุษย์ไม่ต้อนรับพวกแก” ฉู่ชวิ๋นพูดผ่านพลังจิต
ตอนแรกชายหนุ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่น่าจะได้ยินเสียงเขา แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า
“เจ้าเป็นคนจากดินแดนเซียนใช่หรือไม่?”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายระยิบระยับ ตอบว่า “ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือแกต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป”
หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง เสียงของอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยความโกรธแค้นสุดขีด “เจ้าพวกเทพเซียนหน้าไหว้หลังหลอก ปากท่องบ่นคำสอน มือก่อกรรมทำเข็ญ พวกเจ้ามันหน้าไม่อายยิ่งนัก คอยดูเถอะ อีกไม่ช้าก็เร็ว เผ่าปีศาจทมิฬของพวกเราจะต้องปลดผนึกออกไป และถึงตอนนั้น มันก็จะเป็นจุดจบของพวกเจ้า”
ฉู่ชวิ๋นคำนวณดูแล้วว่า ก้นถ้ำน่าจะมีความลึกไม่ต่ำกว่า 100,000 เมตร ไม่อย่างนั้น เสียงคงไม่ใช้เวลาเดินทางล่าช้าได้ขนาดนี้
“ผู้ชนะก็คือผู้ชนะ ผู้แพ้ก็คือผู้แพ้ ดีแค่ไหนแล้วที่พวกเราจับพวกแกมาขังเอาไว้ ไม่ได้ฆ่าทิ้งเหมือนอย่างที่พวกแกฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์” ฉู่ชวิ๋นกระซิบ
“เทพเซียน พวกเจ้ามันหน้าไม่อาย เป็นพวกเจ้าเองไม่ใช่หรือที่เริ่มเข่นฆ่าชาวบ้านก่อน เพราะแค่อยากจะช่วยลูกชายของตัวเอง หลังจากนั้นกลับโยนความผิดให้พวกข้า แบบนี้เรียกว่าหน้าไม่อาย หน้าไม่อาย หน้าไม่อาย…”
นั่นคือเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น
ฉู่ชวิ๋นสะดุดใจเล็กน้อย เพื่อช่วยชีวิตลูกชายของเทพเซียน ถึงกับมีการสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เชียวหรือ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?
“ที่พูดออกมานี่เป็นความจริงหรือเปล่า?”
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เสียงแห่งความเคียดแค้นก็ตอบกลับมา “เจ้าไม่ใช่คนของดินแดนเซียนสินะ?”
“ฉันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา และปัจจุบันไม่มีดินแดนเซียนอยู่อีกแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นตอบ
“ไม่มีดินแดนเซียนอีกแล้วหรือ…” เสียงนั้นเริ่มแผ่วเบาไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาดังเหมือนเดิมว่า “เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันปล่อยให้แกออกมาทำอันตรายคนบริสุทธิ์ไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้งเผ่าปีศาจทมิฬของพวกข้าได้เด็ดขาด อีกไม่ช้าก็เร็ว พวกข้าจะต้องได้กลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์แน่นอน ฮ่าๆ…”
แล้วเสียงนั้นก็จางหายไป ฉู่ชวิ๋นลองพยายามเรียกอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ค้อนยักษ์เองก็ถอนกำลังกลับไปที่ก้นถ้ำ และหายวับไปแล้ว
ถึงเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ฉู่ชวิ๋นก็ยังไม่หยุดถ่ายเทพลังลมปราณใส่หม้อปรุงยาจตุรเทพ เขาอยากจะสร้างม่านพลังสีม่วงให้ปกคลุมโลกใต้พิภพให้ได้มากที่สุด
ชายหนุ่มไม่หยุด จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยล้า
ในขณะนี้ หม้อปรุงยาจตุรเทพส่องแสงสว่างเรืองรอง ในหม้อปรากฏเม็ดทองคำหลายสิบเม็ดส่งแสงเป็นประกายระยิบระยับ และเงาร่างของสัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิดที่ลอยตัวอยู่เหนือหม้อปรุงยา ก็เปล่งลำแสงเป็นประกายจนแสบตาแล้ว
เม็ดสีทองเริ่มหลอมละลาย และจับตัวเป็นกลุ่มก้อน ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง ก้อนทองคำก็เริ่มแยกตัวออกจากกัน และเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเม็ดยาขนาดเล็กหลายสิบเม็ด
ไฟมังกรเผาผลาญใต้ก้นหม้ออยู่อีกหลายชั่วโมง
ยาสลายจุดตันถูกปรุงสำเร็จแล้ว
ฉู่ชวิ๋นสลายม่านพลังโดยรอบออกไป รอให้หม้อปรุงยาเย็นลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปตรวจสอบเม็ดยาเหล่านั้น
เม็ดยาสีทองคำหลายสิบเม็ดพลันลอยขึ้นมาจากหม้อปรุงยาอย่างช้าๆ ลำแสงสีทองส่องประกายเรืองรองไปทั่วห้องโถงใหญ่ หม้อปรุงยาจตุรเทพส่งกลิ่นสมุนไพรอบอวลในอากาศ เมื่อลองสูดดมเข้าไป รูขุมขนในร่างกายก็จะเบิกกว้าง ช่วยให้รู้สึกสบายตัวอย่างอธิบายไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นนำเม็ดยาเหล่านั้นใส่ลงไปในขวดหยกขวดหนึ่ง เมื่อมาถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
“น้องชาย” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยไม่อยากจะเชื่อ รีบถลาเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น และช่วยถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่ม
เมื่อได้รับการถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกาย มวลพลังที่ห่อหุ้มตัวของฉู่ชวิ๋นอยู่ก็หายวับไปทันที และเกิดเป็นกระบวนการดูดซับพลังลมปราณขึ้นมา
หัวใจของฉู่ชวิ๋นเต้นรัวเร็ว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพลังลมปราณจำแลง จะสามารถดูดซับพลังลมปราณของผู้อื่น มาเป็นพลังของตนเองได้เช่นนี้่ เขานึกว่ามันต่างจากลมปราณปกติจนไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
ฉู่ชวิ๋นไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว เมื่อเขานั่งลง เขาก็สูบพลังลมปราณมาจากเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจนกลับมาหายใจได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พลังลมปราณในร่างกายของฉู่ชวิ๋นก็กลับมาสมบูรณ์ดีเหมือนเดิม
ฉู่ชวิ๋นมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง การฟื้นตัวของเขาเร็วมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า
เมื่อเห็นว่าน้องร่วมสาบานฟื้นตัวเรียบร้อย เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็รู้สึกโล่งอก สีหน้าของเขากลับมาเครียดขรึมอีกครั้งตอนที่ถามว่า “น้องชาย จัดการพวกปีศาจทมิฬได้สำเร็จไหม?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด ก่อนที่จะเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายหนึ่งฟัง
“ขอบคุณมาก!” หลังจากรับฟังแล้ว เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ได้แต่ขอบคุณออกมาจริงๆ
ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่ค้นพบว่าการปรุงยาจะช่วยเพิ่มพลังให้หม้อปรุงยาจตุรเทพ สามารถกดทับพวกปีศาจทมิฬได้อย่างแน่นหนามากขึ้น เขาก็คงปล่อยให้ของวิเศษชิ้นนี้ตั้งโชว์อยู่เฉยๆ ให้ฝุ่นจับต่อไปอีกไม่รู้นานเท่าไหร่
“สรุปว่า พวกปีศาจทมิฬคงไม่สามารถปลดผนึกออกมาได้ง่ายๆ ใช่ไหม?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ครับ จากจำนวนม่านพลังที่ผมเห็น และเมื่อบวกเข้ากับการใช้งานหม้อปรุงยาใบนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผมว่าไม่ง่ายเลยที่พวกมันจะสามารถปลดผนึกออกมาได้” ฉู่ชวิ๋นยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“แต่พวกเราระวังตัวเอาไว้ก่อนก็ดีครับ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง” ฉู่ชวิ๋นให้คำแนะนำ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพยักหน้า
“ว่าแต่ตอนนี้ท่านพี่เยวี้ยมีฝีมืออยู่ในระดับไหนแล้วหรือ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตอบว่า “จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7”
ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจแม้จะคิดไว้แล้วแต่ก็อดตกใจไม่ได้จริงๆ ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนสามารถฝึกวิชาได้อย่างก้าวกระโดดจริงๆ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยคือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก