จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 331 อสูรกาย
บทที่ 331 อสูรกาย
ฉู่ชวิ๋นเดินทางไปพบหญิงเสียสติในโรงพยาบาล
เนื่องจากตอนนี้เธออยู่ในอาการวิกลจริต หญิงสาวจึงส่งเสียงเหมือนคนบ้าตลอดเวลา เธอจะเงียบสงบก็แค่ตอนถูกฉีดยาสลบให้นอนหลับเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปยืนข้างเตียงและดึงถางโร้วมาด้วย
หลังจากนั้นฉู่ชวิ๋นลองให้ถางโร้วใช้พลังลมปราณขับไล่ฤทธิ์ของยาสลบออกไป หญิงสาวผู้นี้จึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ในทันใดนั้นเอง ดวงตาของเธอพลันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวในขณะที่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
“ผี ผีมา…ผี”
แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา อาการของเธอก็สงบลง เนื่องจากพลังลมปราณของถางโร้วเข้าไปควบคุมจิตใจ ทำให้หญิงสาวใจเย็นลง
“ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัวนะคะ” ถางโร้วปลอบประโลม หญิงสาวไม่นานก็ใจเย็นลง
ถางโร้วหันมาสบตาฉู่ชวิ๋นบอกว่า สามารถพูดคุยด้วยได้แล้ว
“คุณผู้หญิง จำได้ไหมว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หญิงสาวดูจะงุนงงไปไม่น้อย หลังจากนั้น ดวงตาและสีหน้าของเธอก็กลับมาตื่นกลัวอีกครั้ง
ถางโร้วต้องโคจรพลังลมปราณเพื่อทำให้เธอสงบลงอีกรอบ ก่อนที่จะลูบหลังปลอบใจอีกฝ่าย “พี่สาวคะ คุณไม่ต้องกลัว ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครจะทำร้ายคุณอีกแล้ว”
เป็นเวลานานทีเดียว กว่าที่หญิงสาวจะกลับมามีอารมณ์คงที่และสามารถพูดคุยได้รู้เรื่อง เธอเริ่มต้นพูดเสียงสั่น “พวกเราทำงานด้วยกัน เช่าบ้านพักอยู่ด้วยกัน เมื่อคืนนี้หลังทำงานเสร็จ พวกเราก็เดินกลับบ้านตามปกติ ฉันลืมของไว้ที่ร้าน ก็เลยให้พวกเธอเดินกลับบ้านกันไปก่อน แต่พอฉันเดินตามไปจนทันก็….”
ถึงตรงนี้ หญิงสาวก็เริ่มตัวสั่นเทา
“ฉันเห็นอสูรกาย ไม่ใช่สิ มันคือผีตัวดำรูปร่างสูงใหญ่ มันสูงประมาณ 3-4 เมตร ดวงตาเป็นสีแดง กรงเล็บยาว ๆ ของมันควักหัวใจของทุกคนออกมา ก่อนที่มันจะเอาเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย…”
พอเล่ามาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องอีกครั้ง
แต่ฉู่ชวิ๋นเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก ถึงแม้เขาจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันคือตัวอะไร แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าคงไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน อาจจะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้
ฉู่ชวิ๋นอยากรู้ข้อมูลให้มากกว่านี้ แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย
ฉู่ชวิ๋นออกจากโรงพยาบาลและพาถางโร้วกับจิ่วโยวไปที่ปราสาทจตุรเทพ
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยดีใจมากที่เห็นว่าผู้มาหาคือฉู่ชวิ๋น
“น้องฉู่ สบายดีใช่ไหม?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตะโกนเสียงดัง “น้องชาย นายมาที่นี่พอดีเลย ฉันมีเรื่องปวดหัวมาหลายวันแล้ว”
ลูกชายของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยทั้งสามคนก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน ทุกคนมีสีหน้าเป็นกังวล แต่ก็ไม่ลืมประสานมือทำความเคารพชายหนุ่ม ถางโร้วกับจิ่วโยวแอบหันมาอมยิ้มให้กัน ภาพที่เห็นน่าสนใจมาก ด้วยว่าลูกชายของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยแต่ละคนมีอายุไม่ต่ำกว่า 150 ปี แต่กลับเรียกขานฉู่ชวิ๋นว่าท่านอาด้วยความเคารพนอบน้อม
ฉู่ชวิ๋นแนะนำถางโร้วให้เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยรู้จัก ส่วนจิ่วโยวพวกเขาเคยเจอกันมาก่อนแล้ว
“น้องชาย ช่วงหลังฉันเจอปัญหาที่แก้ไม่ตกจริง ๆ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยบ่นอุบ
“ผมรู้ คดีฆาตกรรมพวกนั้นใช่ไหมครับ?”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมีสีหน้าประหลาดใจ “รู้ด้วยเหรอ?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและตอบว่า “ระหว่างทางมาที่นี่ ผมไปดูศพมาแล้ว”
“น้องฉู่พอจะรู้ไหมว่าเป็นฝีมือของคนสำนักไหน?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยยกมือนวดขมับตัวเองด้วยความปวดหัว คดีฆาตกรรมเหล่านี้ทำให้ประชาชนตื่นกลัว ชาวบ้านไม่กล้าออกไปไหนมาไหนตอนกลางคืนกันหมด
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เหตุการณ์โดยรวมเป็นยังไงบ้างครับ? แล้วมีแต่ชาวบ้านผู้หญิงใช่ไหมที่ถูกควักหัวใจออกไป?”
“มีคนที่เป็นจอมยุทธ์เหมือนกัน แต่เหยื่อทุกคนเป็นผู้หญิง” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตอบ
“ผมอยากทราบข้อมูลทั้งหมด แล้วค่อยมาดูกันเถอะว่าเรากำลังเจออยู่กับอะไร” ฉู่ชวิ๋นพยายามหาทาง
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพยักหน้า
“เรื่องเริ่มขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อน มีเด็กนักเรียนมหาลัยสิบกว่าคนเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำของมหาลัย” เยวี่ยหงโป๋เริ่มต้นเล่าที่มาที่ไป “ทุกคนถูกควักหัวใจออกไปอย่างอำมหิต เรารีบส่งคนในปราสาทออกไปสืบสวนทันที แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรเลย”
“หลังจากนั้น ก็มีผู้หญิงเสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมากติดต่อกัน ทุกคนถูกควักหัวใจออกไปทั้งหมด ในกลุ่มผู้เสียชีวิตบางส่วนก็เป็นจอมยุทธ์หญิง เราเริ่มคิดกันว่าหรือนี่อาจเป็นฝีมือของสัตว์ร้าย แต่เรามีเวรยามคอยเฝ้าถนนนอกเมืองอยู่ตลอดเวลา สัตว์ร้ายในป่าไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้แน่นอน อีกอย่างสัตว์ร้ายพวกนั้นมีขนาดตัวใหญ่โต เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนพบเห็น”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอเรื่องประหลาดขนาดนี้ มีคนตายแต่ไม่มีฆาตกร มันน่าโมโหที่สุด”
“อย่าให้ฉันได้รู้นะว่าใครเป็นฆาตกร ฉันจะสับมันเป็นชิ้น ๆ” เยวี่ยฉางเล่อสีหน้าอำมหิตเขารู้สึกใจร้อนมาก
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูด “มันน่าเศร้าจริง ๆ นะ จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลย ทำได้แค่เพียงส่งเวรยามออกไปลาดตระเวนอย่างเข้มงวดเท่านั้น”
ฉู่ชวิ๋นเงียบไปชั่วครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า “บางทีอาจไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรือสัตว์ร้ายก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นฝีมือของใครล่ะ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยไม่เข้าใจ “ถ้าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ร้าย ก็ต้องเป็นฝีมือของผีแล้วแบบนี้”
“ก็ไม่เชิง” ฉู่ชวิ๋นตอบอย่างใจเย็น
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพร้อมด้วยบุตรชายทั้งสามคน ได้แต่มองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ
ฉู่ชวิ๋นเล่าข้อมูลที่เขาได้มาจากการสอบปากคำหญิงเสียสติให้ทุกคนฟัง
“ฉันไม่รู้เลยว่ามีคนรอดชีวิตด้วย แต่เธอรอดมาได้ยังไง?” เยวี่ยฉางเล่อพูดด้วยความสงสัย
“เรื่องนั้นผมจะบอกทีหลัง” ฉู่ชวิ๋นว่า “พี่เยวี่ยครับ ช่วยดูข้อมูลในบันทึกของปราสาทจตุรเทพหน่อย ว่ามีอะไรที่คล้ายคลึงกับตัวประหลาดแบบนั้นบ้างไหม”
สมุดบันทึกของปราสาทจตุรเทพทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเวลาหลายพันปี ครั้งล่าสุดที่ฉู่ชวิ๋นได้อ่านสมุดบันทึกเล่มนั้น เป็นตอนที่เขามาปรุงยาที่นี่เป็นครั้งแรกและได้พบเข้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจทมิฬ
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยผงกศีรษะ เยวี่ยหงโป๋เดินไปนำสมุดบันทึกออกมาและเริ่มต้นอ่านทันที
สมุดบันทึกมีความหนา 20 เซนติเมตร ต้องใช้เวลาอ่านแต่ละหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทุกคนพลิกหน้ากระดาษอย่างระมัดระวัง
“เราเอาไปให้ผู้หญิงคนนั้นดูดีไหมคะ” ถางโร้วออกความคิดเห็น
“ไม่จำเป็น” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาโดยทันที
“น้องชายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่า?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมองหน้าฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดพร้อมยิ้มกว้าง “ตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจ เอาไว้แน่ใจเมื่อไหร่ผมจะบอกนะครับ”
“ท่านอาลองดูนี่สิ” เยวี่ยหงโป๋พูด
ฉู่ชวิ๋นรับสมุดมาดู ในสมุดกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง มันคือม้าที่มีเขาแหลมอยู่บนหัว ที่ปากก็มีเขี้ยวแหลมงอกออกมา เขี้ยวของมันเป็นเหมือนเหล็กกล้า ขาหลังหนาแน่นด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่ขาหน้าค่อนข้างสั้น ทว่ามีกรงเล็บคมกริบน่าหวาดกลัว
“ยูนิคอร์นหมอกทมิฬ” ฉู่ชวิ๋นอ่านชื่อสัตว์ประหลาดตัวนี้
นี่คือสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมาก กระหายเลือดและฉลาดเฉลียว แต่ยูนิคอร์นหมอกทมิฬสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปหลายล้านปีแล้ว
“ไม่ใช่” ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าและอธิบายว่า “จากที่ผู้หญิงคนนั้นบอกมา อสูรกายตัวนี้มีสีดำ สูงหลายเมตร มีมือยาว กรงเล็บแหลม แต่ขาหน้าของยูนิคอร์นหมอกทมิฬสั้นเกินไป”
เยวี่ยฉางเล่อรับสมุดบันทึกไปถือและเริ่มต้นอ่านบ้าง
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ เขาก็ยื่นสมุดบันทึกมาให้ฉู่ชวิ๋นดู
“ท่านอา คิดว่าจะเป็นตัวนี้หรือเปล่า?”
คำว่าท่านอาทำให้ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขนลุกอยู่เสมอ
“ศพกินคน”
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองภาพวาดของสัตว์ประหลาดที่ในปากเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม มันมีร่างกายสูงหลายเมตร ผิวหนังเป็นสีม่วงคล้ำ ลักษณะหยาบกร้านเหมือนก้อนหิน แขนสองข้างยาวแบบผิดรูปทรง เล็บมือก็งอกยาวราวกับเป็นคมมีด
“ถ้าเข้าใจไม่ผิด นี่ก็คือผีดิบสินะ” ฉู่ชวิ๋นพูด
ถางโร้วขยับเข้ามาดูและพูดว่า “เหมือนที่ผู้หญิงคนนั้นบอกอยู่เหมือนกันนะคะ”
“ฉันเคยเจอผีดิบแบบนี้มาก่อน” ฉู่ชวิ๋นอธิบาย
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและบุตรชายมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง
ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นเล่าเรื่องราวอย่างเชื่องช้า มันเป็นตอนที่เขาไปกวาดล้างสำนักปีศาจในหุบเขาเฟิงหลิน ซึ่งปัจจุบันตอนนี้เป็นที่ตั้งของวังมังกรเพลิง ระหว่างการต่อสู้กับเจ้าสำนักปีศาจรุ่นเก่า ฉู่ชวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัส และจักรพรรดิอ๋าวฮวงก็เป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้
คนจำนวนมากเข้าใจว่าฉู่ชวิ๋นเสียชีวิตไปแล้ว จึงเดินทางไปปิดล้อมภูเขาเฉียนหลงเพื่อจะแย่งชิงตำราความลับฟ้า
ตอนที่สำนักปีศาจถูกกวาดล้าง ราชาปีศาจซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักปีศาจได้หลบหนีออกไปได้ ราชาปีศาจยกพวกมาปิดล้อมภูเขาเฉียนหลง และได้ปลดปล่อยวิญญาณของจ้าวปีศาจผู้หลับใหลออกมา ซึ่งถือว่ามีระดับฝีมือที่น่ากลัวไม่น้อย
“น้องชาย แล้วฉันจะหาตัวมันได้ยังไง?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาจะฆ่าไอ้ผีดิบตัวนี้ มันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาหลายวันหลายคืน
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า เขาคิดหาวิธีตามตัวพวกมันไม่ออก ประเด็นสำคัญคือทุกอย่างยังไม่แน่นอน ว่าพวกผีดิบเหล่านี้จะเป็นฆาตกรที่แท้จริง?
“พี่ฉู่ชวิ๋นคะ ฉันมีวิธีแล้ว” ถางโร้วโพล่งขึ้นมา
“วิธีอะไร?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความสงสัย
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและบุตรชายก็หันไปมองหน้าถางโร้วเช่นกัน
“อสูรกายตัวนี้ชอบควักหัวใจผู้หญิงใช่ไหม? ฉันจะคนล่อมันออกมาเอง หลังจากนั้น…”
“ไม่มีทาง!” ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธก่อนที่ถางโร้วจะพูดจบเสียอีก เขาไม่มีทางปล่อยให้ถางโร้วเอาชีวิตออกไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด
“แต่พี่น่าจะลองดูนะคะ พี่คอยปกป้องฉันอยู่ คงไม่เป็นไรหรอก” ถางโร้วพูดอย่างไม่ยอมแพ้
ฉู่ชวิ๋นยังคงส่ายศีรษะอยู่เช่นเดิม ซึ่งหมายความว่าไม่ได้เด็ดขาด
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและบุตรชายทั้งสามคนก็คิดว่านี่คือวิธีที่เหมาะสมเช่นกัน แต่ใครจะกล้าพูดออกไปเล่า? ในเมื่อฉู่ชวิ๋นเพิ่งจะกวาดล้างสำนักเจ็ดดาราเพื่อช่วยเหลือถางโร้วกับจิ่วโยวมาหยก ๆ
“เธอมีอะไรจะพูดอีกไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามเสียงเข้ม “ไม่ว่ายังไงวิธีนี้ก็ทำไม่ได้เด็ดขาด”
ถางโร้วทำปากยื่น เธอก็แค่อยากช่วยฉู่ชวิ๋นเท่านั้นเอง
“งั้นเราหาผู้หญิงคนอื่นมาเป็นเหยื่อล่อดีไหม?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเสนอหนทาง
ฉู่ชวิ๋นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้อง ผมว่าผมมีวิธีหาอสูรกายตัวนี้ได้แล้ว”
ฉู่ชวิ๋นเข้าใจดีว่าไร้ประโยชน์ที่จะหาผู้หญิงมาเป็นเหยื่อล่อ แม้แต่จอมยุทธ์หญิงก็ต้องตายไปหลายคน อสูรกายตัวนี้ฆ่าคนโดยไร้ร่อยรอยประเมินได้ว่าน่าจะซ่อนพลังฝีมือที่ร้ายกาจเอาไว้เป็นแน่แท้
แต่เหตุผลที่ถางโร้วอาสาจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เนื่องจากเธอแข็งแกร่งเทียบเท่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ และมองเห็นพลังความมืดได้เพราะฝึกตน
“น้องชายคิดหาวิธีได้แล้วเหรอ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า” ฉู่ชวิ๋นตอบ “พี่เยวี่ย ผมอยากรบกวนพี่ช่วยส่งคนไปสังเกตการณ์หญิงเสียสติที่รอดชีวิตสักหน่อย เธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ แจ้งผมทราบทันที แต่จำเอาไว้ว่าอย่าให้เธอรู้ตัวเด็ดขาด”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถึงกับมึนงงไปแล้ว
เยวี่ยหงโป๋พูดว่า “ไม่ต้องห่วงครับท่านอา ผมจะไปเฝ้าสังเกตการณ์เธอด้วยตัวเองเลย ต่อให้มันเก่งกาจแค่ไหนก็ทำอะไรผมไม่ได้แน่” เยวี่ยหงโป๋เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ฝีมือไม่ธรรมดา
หลายวันต่อมา ทุกอย่างผ่านไปอย่างปกติ ไม่มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นแม้แต่คดีเดียว
“น้องชาย ฉันว่าน้องน่าจะปรุงยาก่อนนะ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดเมื่อทราบว่าจุดประสงค์แท้จริงที่ฉู่ชวิ๋นมาที่นี่คือเหตุใด
ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธและเล่นมุกกลับไปว่า “ผมแก้ไขปัญหานี้ให้พี่ก่อนดีกว่า ไม่งั้นพี่คงนอนไม่หลับจนกลายเป็นหมีแพนด้าแน่ ๆ”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่น คดีฆาตกรรมต่อเนื่องเหล่านี้ ทำให้เขานอนไม่หลับจริง ๆ
แล้ววันหนึ่ง เยวี่ยหงโป๋ก็ได้ข่าวว่าหญิงสาวผู้รอดชีวิตกำลังจะออกจากโรงพยาบาล
ฉู่ชวิ๋นสั่งให้จิ่วโยวกับถางโร้วรออยู่ที่ปราสาทจตุรเทพและกำชับให้เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเตรียมตัวเอาไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ฉู่ชวิ๋นออกเดินทางไปสมทบกับเยวี่ยหงโป๋
“ท่านอารอง พอเธอออกจากโรงพยาบาล ก็ตรงกลับไปที่พักเลยครับ ผมถามข้อมูลแล้ว มันคือบ้านที่เธอเช่าเอาไว้พร้อมกับผู้เสียชีวิตทั้งสามคน” เยวี่ยหงโป๋ชี้มือไปที่บ้านหลังเก่าหลังหนึ่ง
“เธอเข้าไปในบ้านนานแค่ไหนแล้ว?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ประมาณ 4-5 ชั่วโมงได้แล้วครับ”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดจะถูกต้องจริง ๆ
“ท่านอารอง คุณคิดว่าผู้หญิงคนนี้ผิดปกติเหรอครับ?” เยวี่ยหงโป๋ถาม
“ฉันก็ไม่แน่ใจนะ แต่ว่า…” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอและตอบกลับไป
“สมมุติถ้านายเป็นเธอ เพื่อนร่วมห้องเช่าของนายถูกฆ่าตายอย่างน่าสยดสยอง นายยังสามารถกลับมาอยู่ที่บ้านพักหลังเดิมได้ทันทีหรือเปล่าล่ะ?”