จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 365 ขับไล่วิญญาณร้าย
บทที่ 365 ขับไล่วิญญาณร้าย
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเดือดดาลถึงขีดสุด ก่อนจะสั่งให้เยวี่ยจิ้งโฉวคุกเข่าแล้ว ขอโทษฉู่ชวิ๋นกับหยานหวูซวง
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว
“เจ้าเด็กโสมม ต่อหน้าท่านอาแกก็ยังไม่มีสัมมาคารวะ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยชี้หน้าดุด่าบุตรชายคนเล็กด้วยความโกรธสุดขีด “หนำซ้ำยังแกกล้าทำร้ายคุณชายหยานอีก แกกล้าดียังไง?”
“พี่เยวี่ย อย่าโกรธไปเลยครับ ผมเป็นบอกให้เยวี่ยจิ้งโฉวเล่นงานหยานหวูซวงเอง” ฉู่ชวิ๋นพยายามอธิบาย
“น้องชาย เธอไม่ต้องปกป้องเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันกลับไปมองหน้าเยวี่ยจิ้งโฉวแล้วตวาดต่อว่า “แกจะต้องถูกโบยตี 100 ที เสร็จแล้วต้องถูกกักตัวอยู่ในห้องฝึกวิชา ห้ามออกมาจนกว่าฉันจะอนุญาต!”
สีหน้าของเยวี่ยหงโป๋และพี่น้องเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถ้าถูกโบยตี 100 ทีจริง ๆ ผิวหนังคงหลุดลอกทั่วร่างกายเป็นแน่แท้
“ท่านพ่อครับ…” เยวี่ยฉางเล่อกำลังจะพูด แต่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็ตัดบททันทีว่า “ห้ามใครพูดอะไรอีกแล้ว มิเช่นนั้น มันผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษไปด้วย”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไปในขณะที่หัวคิ้วขมวดมุ่น
ดวงตาที่สดใสของจิงหงพลันจ้องมองไปที่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉู่ชวิ๋นก็หันกลับมาส่งสายตาห้ามปรามเอาไว้
หยานหวูซวงรู้สึกวางตัวไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขาแค่อยากให้เยวี่ยจิ้งโฉวได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง แต่ลงโทษถึงขั้นนี้ก็ออกจะหนักหนาสาหัสเกินไป
ฉู่ชวิ๋นเดินเชื่องช้าไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง หมุนวนสองมือสร้างม่านพลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นลำแสงสีม่วงก็พวยพุ่งไปทุกทิศทุกทาง
ครืน!
มวลอากาศปั่นป่วน ม่านพลังสีม่วงครอบคลุมเพดานและทั่วทั้งห้องโถง สะท้อนประกายระยิบระยับดูสวยงามตระการตา
“น้องชาย เธอจะทำอะไร?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันกลับมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความไม่เข้าใจ
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ดวงตาเย็นชาขณะตอบ “นี่คือม่านพลังขับไล่ภูตผี”
ทุกคนที่ได้ยินไม่เข้าใจเลยว่าฉู่ชวิ๋นพูดถึงอะไรอยู่?
“ทุกคนรีบมาหลบอยู่ข้างหลังฉัน” ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองรอบตัว
เยวี่ยหงโป๋สามพี่น้องยังคงไม่เข้าใจ แต่หยานหวูซวงรู้แล้วว่าฉู่ชวิ๋นคงพบเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จึงรีบวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังฉู่ชวิ๋นโดยทันที
“น้องฉู่ ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมีสีหน้าเคร่งเครียด
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยด้วยแววตาดุร้าย พลันพูดออกมา “ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่เค้นเสียงพูดออกมาแต่ละคำ ฉู่ชวิ๋นก็ซัดพลังลมปราณใส่ร่างกายของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย ส่งผลให้ชายชราเซถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ท่านอารอง นี่มันอะไรกันครับ?” เยวี่ยหงโป๋ถามด้วยความตกตะลึง
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “พวกนายมาหลบอยู่หลังฉัน เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังทีหลัง”
หลังจากพูดออกไปแล้ว ดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็เบิกกว้าง พลังจิตวิญญาญของเขาพุ่งเข้าใส่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเหมือนเกลียวคลื่น
นี่คือการโจมตีด้วยพลังจิต เยวี่ยหงโป๋สี่พี่น้องไม่อาจสัมผัสได้เลย
แต่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยร่างกระตุกเหมือนคนโดนฟ้าผ่า กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ ใบหน้าบิดเบี้ยว แววตาดุร้าย
“ท่านพ่อครับ!” เยวี่ยหงโป๋ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“จะไม่ออกใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและปล่อยพลังออกไปอีกครั้ง เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่อยู่ในห้องพลันระเบิดกระจายกลายเป็นผุยผง พวกของเยวี่ยหงโป๋สี่พี่น้องถูกแรงกระแทกต้องล่าถอยไปยืนอยู่มุมห้อง
ในขณะนี้ ทุกคนได้พบเห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ มีหมอกดำกลุ่มใหญ่ลอยออกมาจากแผ่นหลังของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย หมอกดำกลุ่มนั้นรวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างคนคนหนึ่ง
“ออกจากร่างฉันไปเดี๋ยวนี้!” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคำรามเสียงดัง
หมอกดำที่อยู่ด้านหลังเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยขยายขนาดตัวใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
“คิดว่าฉันจะจัดการแกไม่ได้หรือไง?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
พลังลมปราณพลันพุ่งออกมาจากตัวของฉู่ชวิ๋นในลักษณะของมวลพลังรูปมือคนขนาดใหญ่ มันลอยเข้าไปคว้าจับกลุ่มหมอกดำและดึงพวกมันออกมาจากร่างกายของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเซถลามาด้านหน้า ฉู่ชวิ๋นรีบขยับเข้าไปยื่นมือประคองไว้ ในเวลาเดียวกันนี้ก็ได้โคจรพลังลมปราณจำแลงเข้าใส่ร่างกายของชายชรา
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเหลียวหน้ามองกลับไปยังกลุ่มหมอกดำที่ลอยอยู่ในอากาศ “น้องชาย นี่มันอะไรกัน?”
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “คุณถูกผีสิง! ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด นี่ต้องเป็นฝีมือของเผ่าภูตทมิฬ”
“ฮื่อ…” หมอกดำที่ลอยตัวอยู่ในอากาศเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ที่กำลังร้องไห้
“พวกมันสามารถควบคุมจิตใจของคนอื่นได้” จิงหงพูด
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและอธิบายต่อว่า “ถูกต้อง นี่คือหลักฐานที่บอกผมเคยว่าภูตทมิฬบางส่วนสามารถเล็ดลอดขึ้นมาจากใต้ดินได้แล้ว”
“น้องชาย แล้วมันมาเข้าสิงร่างฉันได้ยังไง?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถามด้วยความตกตะลึง
“นี่คือหมอกดำคุมวิญญาณของพวกภูตทมิฬ มันตั้งใจปล่อยออกมาเพื่อควบคุมคุณโดยเฉพาะ” ฉู่ชวิ๋นหยุดเล็กน้อยและกล่าวต่อ “โชคดีที่คุณมีพลังสูงส่ง พวกมันจึงไม่อาจควบคุมคุณได้ในทันที แต่เมื่อสักครู่นี้จิตใจของคุณอ่อนแอจากความโกรธแค้น พลังงานหมอกดำจึงเข้าควบคุมร่างกายได้สำเร็จ”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “ไม่ใช่เพราะฉันมีพลังเข้มแข็งอะไรหรอก มันเป็นเพราะน้องชายต่างหาก ถ้าไม่มีเธอ เรื่องคงไม่จบง่ายดายขนาดนี้”
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองหน้าเยวี่ยจิ้งโฉว หยอกเย้า “ใช่ ไม่มีผมเจ้าเด็กคนนี้ก็คงโดนโบยจนก้นลาย”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพ่นลมผ่านทางจมูก พูดด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายโกรธ “ยังไงมันก็สมควรโดน!”
เยวี่ยจิ้งโฉวได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดอะไร
“ตกลงมันเป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย?” หยานหวูซวงถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ชักดาบออกมาและตวัดฟาดฟันไปข้างหน้า
ควับ!
พลังลมปราณจากตัวดาบของเขาตัดกลุ่มหมอกดำแยกเป็นสองส่วน แต่แล้วหมอกดำกลุ่มนั้นก็กลับมารวมตัวกันใหม่ได้เหมือนเดิม
หยานหวูซวงมองตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ “ไอ้ตัวนี้มันฆ่าไม่ตายหรือยังไง?”
“เจ้าโง่ นายมันอ่อนหัด ถอยไปเดี๋ยวนี้” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างดูถูก ในขณะที่ผลักหยานหวูซวงไปข้าง ๆ
หยานหวูซวงหันกลับไปดึงฉู่ชวิ๋นให้มายืนข้างตัวเองและตะโกนออกมา “ใครอ่อนหัด? เจ้าสิ่งนี้มันคือลมปราณปีศาจใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะทำลายมันให้ดูเอง”
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ห้ามอะไรก่อนจะถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเปิดทางให้หยานหวูซวง
หยานหวูซวงรวบรวมพลังลมปราณจากฝ่ามือทั้งสองข้าง ก่อเกิดเป็นลูกบอลไฟขึ้นมาลูกหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ยิงลูกบอลไฟออกไป
เปรี้ยง!
ลูกบอลไฟระเบิดตัว! เช่นเดียวกับกลุ่มหมอกดำที่กระจัดกระจายเมื่อถูกลูกบอลไฟพุ่งเข้ามากระทบ
แต่น่าเสียดายที่กลุ่มหมอกดำหายไปได้เพียงชั่วครู่เดียว พวกมันก็กลับมารวมตัวกันใหม่ในสภาพเดิม มิหนำซ้ำยังกรีดเสียงร้องใส่หยานหวูซวงเหมือนกำลังยั่วโมโหเขาอยู่
หยานหวูซวงรู้สึกขายหน้าอยู่หลายส่วน กวาดสายตาชำเลืองมองกลุ่มหมอกดำรูปร่างมนุษย์ หลังจากนั้น คุณชายหนุ่มก็ซัดพลังลมปราณออกไปจากฝ่ามือ
กลุ่มหมอกดำกระจายตัวหายไปและกลับมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ร่างกายของมันไม่ได้รับความเสียหายอย่างใดเลย ถ้าห้องโถงแห่งนี้ไม่มีม่านพลังของฉู่ชวิ๋นคอยครอบคลุมอยู่ ป่านนี้ผนังห้องคงพังทลายไปแล้ว
หยานหวูซวงรีบคิดหาหนทางอื่น ในเมื่อไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ ก็มีแต่ต้องใช้อาวุธเท่านั้น ดาบยาวของเขาถูกชักออกมาจากฝักอีกครั้ง
ควับ!
ดาบยาวถูกแทงทะลุเข้าไปในกลุ่มหมอกดำ ตัวดาบเปล่งประกายเรืองรอง หมอกดำกระจายตัวขึ้นข้างบนลงข้างล่าง ถือว่าเกิดความเสียหายไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก
หยานหวูซวงรีบถอยกลับมา เพราะกลัวว่าจะถูกหมอกดำสิงสู่เข้าเสียเอง คุณชายหนุ่มรีบก้มหน้ายกท่อนแขนปิดจมูก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หยานหวูซวงก็หันกลับไปมองทางหมอกดำอีกครั้ง แล้วจึงซัดพลังลมปราณออกไป ห่อหุ้มหมอกดำเอาไว้เป็นชั้น ๆ เหมือนม่านพลัง
มนุษย์หมอกดำพยายามดิ้นรนอยู่ในม่านพลังของหยานหวูซวง ก่อนที่ม่านพลังจะเปร่งแสงสีขาวสว่างไสว ร่างกายของมนุษย์หมอกดำบวมโต เหมือนกับซาลาเปาสีดำที่กำลังพองโตได้ที่
“ตายซะเถอะ!”
หยานหวูซวงคำรามออกมาเสียงดังสนั่น แล้วม่านพลังของเขาที่ห่อหุ้มตัวของมนุษย์หมอกดำอยู่ ก็บีบรัดเข้าไปทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามราวกับเป็นมีดดาบที่แหลมคม
ฟู่! หมอกดำสลายตัวหายวับไปทันที
ดวงตาของหยานหวูซวงเป็นประกายสดใส เขาหันกลับมามองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความภาคภูมิใจและถามออกมา “เป็นไงล่ะ?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าก่อนตอบ “เก่งมาก เหมือน ‘แมวตาบอดจับหนูตาย’ ได้ไม่มีผิด”
ตอนที่ได้ยินสองคำแรก หยานหวูซวงฉีกยิ้มด้วยความลิงโลด แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไป
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจหยานหวูซวงอีก เขาหันหน้ามาหาเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเพื่อสอบถาม “ท่านพี่ ช่วงหลังนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหวบ่อยมากไหม?”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพยักหน้า “บ่อยมาก ล่าสุดคือเกิดขึ้นเมื่อวาน หม้อปรุงยาจตุรเทพสั่นเป็นเจ้าเข้า ฉันต้องโคจรพลังลมปราณเข้าไปกดมันเอาไว้ คิดว่าหมอกปีศาจกลุ่มนี้น่าจะฉวยจังหวะนั้นแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของฉันนี่แหละ”
“เราไปดูกันดีกว่าครับ” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับโบกมือสลายม่านพลัง ก่อนหน้านี้เขาไม่ทราบว่าหมอกดำจะมีอิทธิฤทธิ์มากแค่ไหน จึงต้องสร้างม่านพลังป้องกันเอาไว้ก่อน
ทุกคนเดินตรงเข้าสู่วิหารจตุรเทพ
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลง เพราะตรงจุดที่ตั้งของหม้อปรุงยาจตุรเทพ กำลังมีหมอกดำลอยขึ้นมา
“น้องชายพบเห็นอะไรเหรอ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถาม “เมื่อวานนี้หม้อปรุงยาสั่นสะเทือน หรือว่าพลังของฉันน้อยเกินไป?”
ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ดูเหมือนว่าหม้อปรุงยาคงปิดทางออกของพวกภูตทมิฬได้อีกไม่นานแล้วล่ะครับ”
“ฉันควรจะทำยังไงดี?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที เขารู้จักภูตทมิฬมาจากตำราประวัติศาสตร์ของปราสาทจตุรเทพ แม้จะมีเขียนบอกไว้แค่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยืนยันได้ว่าภูตทมิฬเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและน่ากลัว
“ผมจะลงไปเอง” ฉู่ชวิ๋นบอก
ลงไป?
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันมองหน้ากลุ่มบุตรชายตนเอง ลงไปยังไง? เจาะพื้นดินลงไปอย่างนั้นเหรอ?
ฉู่ชวิ๋นไม่อธิบายอะไรมาก สร้างม่านพลังขึ้นมาห่อหุ้มวิหารจตุรเทพเอาไว้
“คอยดูแลร่างกายให้ผมด้วย ไม่งั้นผมคงได้เป็นผีเร่ร่อนแน่” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะด้วยความขบขัน
หลังจากพูดจบแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็เดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางม่านพลัง แล้วเขาก็หลับตาลง
บัดนี้ สีหน้าของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากลมหายใจของฉู่ชวิ๋นขาดห้วงลงอย่างกะทันหัน เหมือนคนตายแล้วไม่มีผิด
“น้องชาย” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกำลังจะเดินเข้าไปตรวจสอบ
จิงหงพลันขยับมายืนขวางหน้าเอาไว้ แล้วพูดเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง นี่คือเคล็ดวิชาถอดจิตวิญญาณ”
“เคล็ดวิชาถอดจิตวิญญาณ? หมายความว่าน้องฉู่สามารถถอดจิตวิญญาณได้อย่างนั้นเหรอ?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยทำหน้าไม่อยากเชื่อ
จิงหงผงกศีรษะเล็กน้อย
“ขี้โม้หรือเปล่า?” หยานหวูซวงพูดเสียงดัง ทำหน้าไม่เชื่อเลยสักนิด
“วิญญาณออกจากร่าง ก็เท่ากับว่าตายแล้วน่ะสิ?”
จิงหงพูดว่า “นั่นมันสำหรับ เจ้าต่างหาก”
หยานหวูซวงหัวเราะผ่านทางสายตา
“พวกเราทำตามที่น้องฉู่บอกเอาไว้เถอะ ดูแลร่างกายเขาให้ดี ๆ เราต้องเชื่อฟังเขา อย่าทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดแล้วก็ไปยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
“ถอดจิตวิญญาณออกจากร่าง? โลกนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริงได้ยังไง? ฉันว่าเขาคงแกล้งอำเราเล่นมากกว่า สงสัยจะใช้วิชากลั้นหายใจละมั่ง” หยานหวูซวงกระซิบกระซาบออกมาในขณะที่หันไปมองร่างของฉู่ชวิ๋น
“ฉันขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม?” หยานหวูซวงหันกลับมาถามจิงหง
จิงหงไม่ตอบคำใด เนื่องจากไม่ได้สนใจเขาเลย
หยานหวูซวงทำปากยื่น แต่ก็แอบเดินตรงเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น หลังจากนั้น คุณชายหยานก็โน้มตัวเข้าไปที่ข้างหูของชายหนุ่ม และยกมือป้องปากตะโกนเสียงดังใส่รูหูของฉู่ชวิ๋น ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไป คงแก้วหูแตกตายไปแล้ว
ฉู่ชวิ๋นไม่ตอบสนองสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันกลับมามองด้วยความตกตะลึง “คุณชายหยาน อย่าก่อกวนได้ไหม”
หยานหวูซวงพึมพำว่า “ดูซิว่าจะทนเงียบได้อีกสักแค่ไหน” พูดจบ เขาก็ลงมือเตรียมจักกะจี๋ตามเนื้อตัวของฉู่ชวิ๋น
แต่ผลที่ได้ก็คือ เมื่อมือของคุณชายหยานสัมผัสลงไปบนผิวหนังของฉู่ชวิ๋น เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบเหมือนศพคนตาย ทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง
“เขา…วิญญาณออกจากร่างไปแล้วจริง ๆ ด้วย”
“คุณชายหยาน เรื่องนี้คือความเป็นความตายของน้องฉู่ ได้โปรดอย่าก่อกวน” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกลัวจริง ๆ ว่าหยานหวูซวงจะทำอะไรที่ก่อให้เกิดเรื่องใหญ่กับร่างกายและวิญญาณของฉู่ชวิ๋น
จิงหงยังคงมีสีหน้าสบายใจ
ความจริงแล้ว เมื่อถอดจิตวิญญาณออกไปจากร่าง ตราบใดที่ร่างกายยังไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น
หยานหวูซวงเดินเอามือเข้าไปอังปลายจมูกของฉู่ชวิ๋น พบว่าไม่มีลมหายใจอีกแล้ว จึงก้มตัวลงไปฟังเสียงหัวใจของฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
เพี๊ยะ! แส้ขาวพลันฟาดสะบัดพุ่งเข้าใส่ลำตัวของหยานหวูซวง
หยานหวูซวงไหวตัวทัน รีบกระโดดตีลังกาม้วนตัวหลบมาด้านหลัง
จิงหงรั้งสายแส้กลับไปและมองหน้าเขาด้วยความเย็นชา
หยานหวูซวงทำหน้างอ บ่นอุบอิบ “นิสัยเหมือนกันไม่มีผิด”
เขารู้ดีว่าจิงหงมีเจตนาแค่ตักเตือนเท่านั้น ไม่อย่างนั้น เขาคงหลบหลีกสายแส้ของเธอได้ไม่ง่ายดายขนาดนี้
จิงหงทำเป็นไม่ได้ยิน และเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างกายฉู่ชวิ๋น
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยดึงหยานหวูซวงออกมายืนอยู่ห่างๆ “คุณชายหยาน คุณเลิกวุ่นวายสักทีได้ไหม!”
หยานหวูซวงพูดด้วยความไม่พอใจว่า “คุณไม่สงสัยบ้างหรือไง? เขาถอดจิตวิญญาณออกจากร่างได้ยังไง?”
“น้องฉู่ของผมเป็นเทพเจ้าลงมาจากสวรรค์ คุณก็น่าจะรู้ดี มีแต่เขาที่สามารถทำเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยตอบอย่างง่ายดาย
“ผมก็แค่สงสัย ในร่างกายของจอมมารคนนี้ ยังซ่อนความลับอะไรเอาไว้อีกบ้าง” หยานหวูซวงหันกลับมามองหน้าเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยด้วยดวงตาเป็นประกาย “เอางี้ดีไหม ในระหว่างที่วิญญาณของเขาไม่อยู่ เราเอาร่างเขามาผ่าชันสูตรกันเถอะ มาดูกันว่าร่างของเขาจะเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด ได้ไหม?”
“…” ไม่ใช่แต่เพียงเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคนเดียวเท่านั้น พี่น้องตระกูลเยวี่ยทั้งสี่คนก็ได้แต่กลอกตามองบนอย่างเหนื่อยใจแล้ว