จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 368 กองทัพมดปิศาจ
บทที่ 368 กองทัพมดปิศาจ
วังน้ำวนระเบิดแสงสีขาวสว่างจ้า
ฉู่ชวิ๋นสีหน้าเครียดขรึม ดูเหมือนว่าการได้กลับออกไปจากที่นี่ของเขาจะยากกว่าที่คิด
เขาใช้พลังจิตสำรวจทั่วค่ายกลแล้ว แต่ก็หาจุดศูนย์กลางค่ายกลไม่เจอ
แปลกมาก ฉู่ชวิ๋นคิดไม่ออกว่าทำไมเขาถึงหาจุดศูนย์กลางค่ายกลไม่เจอ?
ต้องมีบางอย่างที่เขามองข้ามไปเป็นแน่แท้
ฉู่ชวิ๋นสงบจิตใจลงและเริ่มต้นสำรวจอีกครั้ง
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ลำแสงสีแดงก็พุ่งขึ้นมาจากวังน้ำวน ตรงไปหาตัวประหลาด
ตัวประหลาดยกมือปัดลำแสงสีแดงนั้นด้วยความประหลาดใจ
ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับไปจ้องมอง จุดศูนย์กลางค่ายกลอยู่ที่ตัวประหลาดนี่เอง ถือว่าเป็นการซุกซ่อนที่แยบยลไม่น้อย
“เอามาให้ฉัน” ฉู่ชวิ๋นยื่นมือออกไปข้างหน้า
ตัวประหลาดแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ “อะไรของเจ้า?”
“จุดศูนย์กลางค่ายกลอยู่ที่แก”
ตัวประหลาดจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาชื่นชม ก่อนพูดว่า “เจ้าหนู ทำตัวให้มันดี ๆ หน่อย!”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว มอบจุดศูนย์กลางค่ายกลมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่สักที” ฉู่ชวิ๋นพูด
ตัวประหลาดกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาอำมหิต “เจ้าจะขอข้าด้วยน้ำเสียงหยาบคายเช่นนี้หรือ?”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกอนาถใจ คนที่สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาคิดอะไรอยู่ ถึงได้เอาจุดศูนย์กลางค่ายกลไปฝากไว้กับคนวิกลจริตอย่างนี้
ตัวประหลาดหยิบก้อนหินสีแดงเข้มออกมาก้อนหนึ่ง พูดว่า “นี่คือก้อนหินที่เป็นจุดศูนย์กลางค่ายกล หากเจ้ามีความสามารถก็จงเข้ามาแย่งชิงไป”
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามอง นี่ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดา แต่เป็นศิลาวิญญาณระดับปานกลาง ส่วนเหตุผลที่ทำให้มันมีสีแดงเข้ม ก็คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของที่นี่นั่นเอง
“เอามานี่” ฉู่ชวิ๋นร้องคำราม โถมตัวเข้าไปยกมือขึ้น หมายคว้าจับจุดศูนย์กลางค่ายกลมาให้ได้
เปรี้ยง…!
พลังลมปราณสีม่วงถูกซัดออกไปสว่างไสว เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ทรงพลัง
หลังจากปะทะกันได้เพียงแค่ครึ่งกระบวนท่า ฉู่ชวิ๋นก็แทบตายแล้ว ไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไร ตัวประหลาดก็สามารถตั้งรับได้อย่างฉับไว ส่งผลให้ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นต้องนั่งหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า แต่ตัวประหลาดยังยืนจ้องมองเขาอยู่พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างสบายใจ
ฉู่ชวิ๋นนึกเจ็บใจที่ร่างวิญญาณของตนเองไม่มีพลังมากพอ
“เจ้าหนู อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าเสียเถอะ” ตัวประหลาดพูด
ฉู่ชวิ๋นร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เขาอยู่ที่นี่มาหลายชั่วโมง เท่ากับที่โลกภายนอกคงผ่านไปหลายวัน เดาได้ไม่ยากว่าพวกของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยจะเป็นกังวลขนาดไหน
“เจ้าหนู มาเป็นลูกศิษย์ของข้าดีไหม” ตัวประหลาดพูด
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองตอบกลับไปด้วยสายตาเยาะเย้ย แอบคิดอยู่ในใจว่า แกมีค่าพอเป็นอาจารย์ฉันหรือไง จักรพรรดิอ๋าวฮวงฉันยังไม่ยอมรับแล้วแกมีสิทธิ์อะไร?
“เจ้าคิดหรือว่าอยู่ที่นี่ข้าจะไร้ฝีมือ ถ้าเจ้าอยากจะออกไปจากที่นี่ ก็จงเอาชนะข้าให้ได้ก่อน” ตัวประหลาดพูดอย่างเย่อหยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นไม่พูดคำใด ได้แต่นึกเจ็บปวดใจ แม้ว่าตัวประหลาดผู้นี้จะมีฝีมือแข็งแกร่ง แต่ถ้าเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอ๋าวฮวง เจ้าหมอนี่คงได้ถูกตาแก่นั่นตบคว่ำด้วยฝ่ามือเดียว
“เจ้าหนู บอกให้ข้ารู้หน่อยซิ บัดนี้บนโลกมนุษย์เหลือสำนักใดอยู่บ้าง?”
ฉู่ชวิ๋นยังคงไม่พูดอะไรเลย
“ข้าจะบอกให้ ถ้าเจ้าอยากออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องทำตัวให้ดีกว่านี้อีกหน่อย”
ฉู่ชวิ๋นยังคงไม่พูดอะไรต่อไป
หลังจากนั้น ตัวประหลาดก็ถามอะไรอีกมากมาย
แต่ฉู่ชวิ๋นไม่ตอบอะไรเลยสักคำ
สุดท้ายแล้ว ตัวประหลาดก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “เจ้าหนู ถ้าทำตัวแบบนี้ ก็อยู่ที่นี่ให้ลมปราณปีศาจกัดกร่อนวิญญาณไปเถอะ”
ฉู่ชวิ๋นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ใจจริงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาไม่น้อย ว่ากันตามตรง ขณะนี้ลมปราณปีศาจก็เริ่มกัดกร่อนร่างวิญญาณของเขาแล้ว
ชายหนุ่มกวาดตามองรอบกายด้วยความหวาดระแวง หลังจากผ่านประตูมิติเข้ามาที่นี่ เขาก็พบเพียงตัวประหลาดตัวเดียว ยังไม่เจอพวกของเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬเลยสักตัว
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าตนเองอาจจะต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ เขาแค่คิดว่าลงมากำราบพวกภูตเสร็จแล้วก็จะกลับขึ้นไปเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มเริ่มออกเดินไปข้างหน้า
“นั่นจะเจ้าจะไปไหนน่ะ?” ตัวประหลาดถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่าอยากจะไปฆ่าตัวตาย?”
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจ เดินลึกเข้าไปในดินแดนอันรกร้าง
“เข้าไปไม่ได้นะ ยิ่งเข้าไปยิ่งอันตราย” ตัวประหลาดร้องตะโกน
ฉู่ชวิ๋นเหลียวหน้ากลับไปยิ้มเย้ยหยัน ก่อนที่จะหันกลับมาและเดินต่อไป
“เจ้าโง่ ถือว่าเจ้าทำตัวเอง ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว” ตัวประหลาดพูดด้วยความฉุนเฉียว
อุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น พื้นดินใต้เท้าร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองไปที่สองข้างทาง ก็จะเห็นแต่กองกระดูกสีขาวโพลนเต็มไปหมด หูก็จะได้ยินเสียงเปลวไฟปะทุดังมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ
ฉู่ชวิ๋นเดินมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง เขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเลยสักตัวเดียว พบเจอก็แต่เพียงก้อนหินกับซากต้นไม้ที่ตายแล้วเท่านั้น
จะทำยังไงต่อไปดีนะ?
ฟุบ!
พลัน มีเงาดำพุ่งเข้ามาใส่เขาพร้อมด้วยเสียงแหวกอากาศดังมาจากด้านบน
ฉู่ชวิ๋นกระโดดหลบออกมาห่างไกลหลายร้อยเมตร เมื่อจ้องมองกลับไป ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นสุนัขตัวใหญ่ ถึงมันจะมีลักษณะเป็นสุนัข แต่ก็มีลำตัวที่สูงกว่า 3 เมตรและยาวกว่า 5 เมตร ในปากเต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคม ตามเนื้อตัวเน่าเปื่อย เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ด้านในได้หลายส่วน แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นต้องตกตะลึงมากที่สุดก็คือ สุนัขตัวนี้มีสามหัว
หรือว่านี่จะเป็นสุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตูนรก?
ฉู่ชวิ๋นนึกถึงสุนัขในตำนาน แต่เขาก็ไม่มั่นใจ ว่ากันตามตำนานแล้ว สุนัขสามหัวผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูนรก เป็นสัตว์ประหลาดที่ถือกำเนิดในนรกอเวจี และมีความสามารถพิเศษคือสามารถพ่นไฟได้
เมื่อถึงตอนนี้ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หนึ่งในหัวของมันอ้าปากกว้าง เมื่อมันส่งเสียงคำราม เปลวไฟสีแดงสดก็พวยพุ่งเข้ามาหาฉู่ชวิ๋นทันที
ฉู่ชวิ๋นกระโดดหลบหลีก เปลวไฟจึงพุ่งเข้าไปปะทะกับลาวาร้อนเหลวที่อยู่ด้านข้าง
ฉ่า! ฉ่า!
พื้นดินบริเวณที่เป็นลาวาร้อนเหลวปรากฏควันสีขาวลอยตลบฟุ้ง
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือร่ายกลอักษรฆ่า!
ตู้ม!
พลังลมปราณรูปตัวอักษรพุ่งเข้าไปปะทะกับสุนัขปีศาจ ได้ยินเสียงหัวของมันแตกดังโผละ ร่างของสุนัขปีศาจล้มคว่ำลง หนึ่งในหัวของมันระเบิดกระจุย
“ก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า!” ฉู่ชวิ๋นกระซิบ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในร่างวิญญาณ แต่มันคงน่าอายเกินไปถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับสุนัขหรือว่าแมวปีศาจ
แต่ในวินาทีต่อมา ฉู่ชวิ๋นที่เดินออกมาห่างไกลนับร้อยเมตร เมื่อหันมองกลับไปก็พบว่าสุนัขปีศาจสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างน่ามหัศจรรย์
หัวหนึ่งของมันระเบิดกระจุยไปแล้ว มีเลือดไหลโชกออกมาจากลำคอ แต่มันยังเหลืออีกสองหัวที่จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความเคียดแค้นพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่
ฟู่!
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นชี้ท้องฟ้า เรียกใช้วิชาไฟมังกรเก้าโลกันต์
ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในร่างวิญญาณที่กำลังถูกลมปราณปีศาจกัดกร่อนอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะต่อสู้กับผู้ใด เขาต้องปิดฉากให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
ตู้ม!
เลือดสาดกระจาย หัวสุนัขฝั่งขวามือถูกตัดขาดกลิ้งกระเด็นหลุดลงมาแล้ว
“คราวนี้จะยอมแพ้ได้หรือยัง?” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ
แต่เมื่อเขาจ้องมองไปอีกครั้ง สุนัขปีศาจก็ลุกขึ้นมาอีกหน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมแพ้โดยง่ายจริงๆ
ตู้ม!
หัวที่เหลืออยู่เพียงหัวเดียวของมันระเบิดตู้ม ฉู่ชวิ๋นลงมือโจมตีด้วยความเด็ดขาด ปราศจากความเมตตา
“ขอดูหน่อยเถอะว่าแกจะลุกขึ้นมาได้อีกไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูดเบาๆ ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็เกือบสะดุ้งโหยง เมื่อร่างของสุนัขปีศาจไร้หัวพลันลุกยืนขึ้นมา แม้ว่ามันจะไม่มีหัวทั้งสามอีกต่อไป แต่มันก็ยังคงไม่ตายอยู่ดี
ฟู่!
เปลวไฟร้อนแรงพุ่งออกมาจากลำคอของสุนัขปีศาจไร้หัวตรงเข้าหาฉู่ชวิ๋น
นอกจากมันจะลุกยืนได้แล้ว ยังสามารถโจมตีผู้คนได้อีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นไม่ออมมืออีกต่อไป ซัดพลังลมปราณออกจากฝ่ามือเข้าใส่สุนัขปีศาจ จนมันตกตายไปจริง ๆ เสียที
สัตว์ประหลาดในดินแดนแห่งนี้พิสดารมากเกินไป ถ้ามีสักตัวหลุดรอดไปที่โลกภายนอก คงกลายเป็นหายนะใหญ่หลวง
ฉู่ชวิ๋นคิดไปคิดมาก็สรุปบอกตัวเองว่าเขาควรเข้าใจแต่ก่อนว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ สุนัขไร้หัวสามารถขยับตัวและโจมตีผู้คนได้อย่างไร
ชายหนุ่มเริ่มต้นออกเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
“พวกที่อยู่ในโลกนี้ก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ” หลังจากเดินสำรวจได้หลายชั่วโมง เขาก็ไม่พบเจออะไรเลยนอกจากสุนัขปีศาจสามหัวตัวนั้น
ฉู่ชวิ๋นคิดถึงภาพรวมของดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ แล้วก็ให้รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ เขาเดินสำรวจที่นี่อยู่หลายชั่วโมง พบเจอก็แต่เพียงแนวภูเขาหินกับต้นไม้ที่ตายซาก
คึกคึกคึก…!
ทันใดนั้นเอง เสียงประหลาดก็ทำให้ฉู่ชวิ๋นต้องหยุดชะงัก เขาเดินตามเสียงนั้นไปผ่านช่องแคบระหว่างภูเขาหินสองลูก และเมื่อทอดสายตามองออกไป หนังหัวพลันชายิบขึ้นมา
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉู่ชวิ๋นคือฝูงมดแดงจำนวนมาก แต่ละตัวมีขนาดเท่ากับกำปั้น การเดินขบวนของมันเหมือนกับเกลียวคลื่นที่ทำให้ขนลุกซู่
มดปีศาจเหล่านี้มีความรวดเร็วมาก พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปทางภูเขาหินลูกหนึ่ง
แต่ในจังหวะนั้นเอง ภูเขาหินลูกนั้นพลันเคลื่อนไหว ความจริงแล้วมันไม่ใช่ภูเขาหิน แต่เป็นงูยักษ์ที่นอนขดตัวอยู่ต่างหาก มันคืองูเหลือมที่มีลวดลายบนลำตัวเป็นสีแดงเข้ม ดวงตาของมันจ้องมองฝูงมดอย่างระวังระไว
ฟู่!
งูเหลือมอ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม หลังจากนั้นมันก็พ่นไฟมรณะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่ด้านหน้า
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นชวนขนลุก มดปีศาจจำนวนมากถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่กองทัพมดปีศาจเหล่านั้นไม่ได้กลัวตายแต่อย่างใด พวกมันมีจำนวนมากมายมหาศาล ยังคงเดินขบวนเข้าหางูเหลือมยักษ์อย่างไม่กลัวเกรง
เจ้างูยักษ์อ้าปากพ่นไฟแผดเผากองทัพมดปีศาจอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ ฝูงมดปีศาจได้เคลื่อนขบวนเข้าถึงตัวงูยักษ์แล้ว และมีบางส่วนไต่ขึ้นไปบนลำตัวของมันด้วยซ้ำ
งูยักษ์รีบขดตัวเป็นก้อนกลม แต่เพียงแค่พริบตาเดียว ตัวของมันก็ปกคลุมไปด้วยฝูงมดปีศาจ
งูเหลือมยักษ์ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กองทัพมดปีศาจมีฟันอันแหลมคม พวกมันสามารถกัดทะลุเกล็ดงูและเจาะทะลุเข้าไปสู่เนื้อด้านในของงูยักษ์
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องโหยหวนของงูยักษ์ก็หยุดลง เจ้างูยักษ์ได้เสียชีวิตลงแล้ว
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกได้เลยว่าขนทุกเส้นบนร่างกายของตนเองกำลังลุกชัน ในขณะนี้ เขายืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดจากที่ไกล มือและเท้าชาดิกด้วยความตกตะลึง ในเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว ร่างของงูเหลือมยักษ์ก็หลงเหลือแต่เพียงโครงกระดูกเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจมากไปกว่านั้นก็คือ กองทัพมดปีศาจเมื่อสักครู่นี้หายไปเกือบหมดแล้ว พวกมันหายไปอยู่ที่ไหนกัน?
เขาไม่อยากจะรู้เลยจริงๆ
แต่ในทันใดนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ต้องม้วนตัวตีลังกาถอยหลังเมื่อพื้นดินใต้เท้าของเขาระเบิดตู้ม แล้วกองทัพมดปีศาจก็พวยพุ่งขึ้นมาเหมือนกับตาน้ำพุ
คึกคึกคึก…!
นั่นคือเสียงขาของพวกมันย่ำเดินบนพื้นดิน กองทัพมดปีศาจมุ่งหน้าตรงมาที่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นซัดพลังลมปราณโจมตีออกไป พื้นดินระเบิดตัวแตกออก ฝูงมดปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารตกตาย
แต่เมื่อเทียบกับปริมาณของกองทัพมดปีศาจที่เหลืออยู่แล้ว จำนวนมดที่ตกตายไปถือว่าเล็กน้อยมาก
ตู้ม…!
พื้นดินทุกทิศทุกทางระเบิดตัวตูมตาม มดปีศาจจำนวนมากผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เหมือนกับเป็นน้ำพุที่มีชีวิต
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาในทันใด ถึงเขาจะเป็นแค่ร่างวิญญาณ แต่ก็ยังอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
เมื่อเห็นขบวนมดปีศาจมุ่งหน้าเข้ามาหาตนเอง รู้ตัวอีกทีพวกมันก็โอบล้อมเขาไว้ทุกด้านแล้ว
ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นร่ายวิชาอีกครั้ง
เคล็ดวิชาอัสนีบาตสีม่วง – บทลงทัณฑ์สายฟ้าฟาด!
เมฆดำก่อตัวขึ้นปกคลุมท้องฟ้ากินพื้นที่หลายร้อยเมตร สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าคำรามดังครืนครัน ท่ามกลางกลุ่มเมฆดำสายฟ้าปรากฏตัวเหมือนงูทองคำบนฟากฟ้า
พลัน สายฟ้าฟาดจากกลุ่มเมฆดำลงสู่พื้นดิน ระเบิดกองทัพมดปีศาจตกตายไปเป็นจำนวนมาก เศษซากของพวกมันที่เหลืออยู่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้นดิน มีควันลอยโขมง
ดูเหมือนว่ากองทัพมดปีศาจจะไม่ตกใจกับค่ายกลสายฟ้าฟาดนี้แม้แต่น้อย นอกจากไม่ล่าถอยแล้ว พวกมันยังดาหน้าเข้ามาอย่างปราศจากความกลัวอีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลสายฟ้าฟาด เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ กองทัพมดปีศาจก็ตกตายไปหลายพันตัวแล้ว บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพของพวกมันถมทับกันดำเป็นเถ้าถ่าน ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ศพของมดปีศาจเต็มไปหมด
ถ้าปล่อยให้เป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ คงไม่ดีแน่ พวกมันมีจำนวนเยอะมากเกินไป อีกไม่ช้าก็เร็ว เขาคงต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบพวกมัน
ฉู่ชวิ๋นเริ่มร่ายวิชาอีกครั้ง
เคล็ดวิชาฟินิกซ์นิรันดร!
เสียงกรีดร้องดังกึกก้องท้องฟ้าพร้อมกับการปรากฏตัวของนกเพลิง มันกระพือปีกบินโฉบลงมาพร้อมกับปล่อยเปลวไฟร้อนแรงลงมาแผดเผาพื้นดินเบื้องล่าง กองทัพมดปีศาจจำนวนมากถูกแผดเผาตายไปในพริบตาเดียว
ฉู่ชวิ๋นควบคุมนกเพลิงให้โจมตีขั้นเด็ดขาด เพื่อเปิดโอกาสหลบหนีให้ตัวเอง
นกเพลิงระเบิดตัวส่งเปลวไฟลามเลียกินพื้นที่หลายกิโลเมตร ทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวไว้ข้างหลัง และนั่นกลายเป็นเส้นทางหลบหนีของฉู่ชวิ๋น
ชายหนุ่มใช้วิชาตัวเบาหลบหนีออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว รอบกายของเขาเต็มไปด้วยซากศพของกองทัพมดปีศาจ ฉู่ชวิ๋นหนีออกมาได้ไกลหลายกิโลเมตรจึงได้หยุดพัก
สิ่งสำคัญก็คือ ตอนนี้เขาอยู่ในร่างวิญญาณ ซึ่งมีความเปราะบางมากกว่าปกติ
ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง สุดท้ายฉู่ชวิ๋นก็ต้องกลับมาที่ทางออกและพบกับตัวประหลาดคนเดิม
ฉู่ชวิ๋นไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ไม่พบเจอกันหลายชั่วโมง เขาไม่ทราบเลยว่าตัวประหลาดจะกลับไปมีสติคลุ้มคลั่งอีกหรือไม่
“กลับมาแล้วหรือ?” ตัวประหลาดถาม
ฉู่ชวิ๋นมองอีกฝ่ายด้วยความเงียบงัน รอจนแน่ใจแล้วว่าตัวประหลาดมีสติเต็มที่ จากนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ตอนนี้แกยังมีสติดีอยู่ใช่ไหม?”
ตัวประหลาดชักสีหน้าไม่พอใจ พูดด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าอยากให้ข้ามีสติหรือไม่มีสติล่ะ?”
“ตอนไม่มีสติแกก็เป็นปีศาจ ตอนมีสติแกก็เป็นแค่คนวิกลจริต มันแตกต่างกันตรงไหน?” ฉู่ชวิ๋นพูดจิกกัดทันที