จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 370 ประโยชน์จากหายนะ
บทที่ 370 ประโยชน์จากหายนะ
ภูเขาไฟปะทุ ลาวาเหลวไหลล้นออกมา ดินแดนแห่งภูตทมิฬไม่มีกลางวันกลางคืน ท้องฟ้าปกคลุมด้วยหมอกควันเสมอ บรรยากาศชวนสลดหดหู่ใจ
ฉู่ชวิ๋นนอนแน่นิ่งอยู่ใต้กองหิน ไม่รู้เลยว่ากาลเวลาผ่านไปนานแค่ไหน? เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาถึงสามารถกลับมาควบคุมสติได้ ชายหนุ่มทราบว่าร่างกายของตนเองยังครบ 32 แต่พอเลื่อนมือแตะดูถึงได้รู้ว่าร่างวิญญาณของเขาเปราะบางเหลือเกินยิ่งไปกว่านั้น ลมปราณปีศาจยังคงกัดกร่อนร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง ฉู่ชวิ๋นไม่รู้เลยว่าตนเองจะเสียสติคุ้มคลั่งอีกเมื่อไหร่?
หรือว่าเขาจะต้องมาตายอยู่ที่นี่จริง ๆ ?
ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ หลังจากใช้เวลาสามพันปีอยู่ที่ต่างโลก เขาเคยเผชิญอุปสรรคมากมายนานับประการ เขาไม่อยากตายตกในดินแดนรกร้างแห่ง
ฉู่ชวิ๋นจะตายไม่ได้ พ่อแม่ยังรอเขาอยู่ข้างนอก จิงหงยังรอเขาอยู่ข้างนอก เช่นเดียวกับเสี่ยวหวู่ และยังมีคนอีกมากมายที่รอคอยให้เขากลับไป
ฉู่ชวิ๋นกัดฟันโคจรพลังลมปราณจำแลง เริ่มกระบวนการซ่อมแซมร่างวิญญาณที่แตกร้าว แต่คราวนี้ความเสียหายมีมากเกินไป รอยแตกร้าวกัดกินลึกจนร่างวิญญาณแทบจะฉีกขาด ที่สำคัญก็คือลมปราณปีศาจยังคงกัดกร่อนร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ฉู่ชวิ๋นยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น คราวนี้เขาคงอับจนหนทางอย่างแท้จริง อัตราการฟื้นตัวเชื่องช้าเกินไป ลมปราณปีศาจลุกลามเข้าสู่สมอง สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มเริ่มพร่าเลือนเป็นระยะ ๆ หลายครั้งที่จะเข้าสู่ภาวะปีศาจร้าย ถ้าฉู่ชวิ๋นอยากจะฟื้นตัวกลับคืนมาให้ได้ เขาต้องกำจัดลมปราณปีศาจออกจากร่างกายให้หมดเสียก่อน ซึ่งนั่นคงต้องใช้พลังลมปราณมหาศาล
ฉู่ชวิ๋นยังคงจำการต่อสู้ครั้งล่าสุดได้ดี เขาคุ้มคลั่ง โชคดีที่ยังเรียกสติกลับคืนมาได้
สัตว์ประหลาดหัวเสือดาวน่าจะเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูตทมิฬ ซึ่งสามารถพูดคุยสื่อสารได้ด้วยภาษาของมนุษย์ ดังนั้น มันจึงสามารถสะกดจิตคนได้ไม่ยาก
ตอนที่ตัวประหลาดหัวเสือดาวพูดคุยกับเขา มันก็พูดคุยเหมือนคนปกติ ไม่ได้อยู่ในอาการคุ้มคลั่งแต่อย่างใด ตัวประหลาดพวกนี้สามารถควบคุมสติได้อย่างไรกันนะ? ถ้าเขาสามารถล้วงความลับของพวกมันได้ ความหวังในการอยู่รอดก็ยังคงมีอยู่
น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้คิดไม่ถึง นึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว
ฉู่ชวิ๋นกัดฟันกรอด สีหน้าเครียดขรึม จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีอำมหิตอยากจะควบคุมสติของตนเองให้ได้ ชายหนุ่มกัดปลายลิ้นของตนเองเพื่อควบคุมสติให้ได้จากความเจ็บปวด ถ้าเขาตกสู่สภาวะคุ้มคลั่งอีกครั้ง เกรงว่าแม้แต่เทพเจ้าก็คงช่วยเหลือเขาไม่ได้แล้ว
ทันใดนั้น ดวงตาของฉู่ชวิ๋นพลันกลายเป็นสีแดงก่ำ เขาอ่อนแอเกินไปที่จะต้านทานการกัดกร่อนของลมปราณปีศาจ
“บ้าเอ๊ย!” ฉู่ชวิ๋นกระซิบด้วยความเจ็บใจ เมื่อไม่สามารถยับยั้งลมปราณปีศาจในร่างกายได้
ในขณะนี้ ดวงตาของฉู่ชวิ๋นกลายเป็นสีแดงฉานโดยสมบูรณ์ จิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
เคล้ง!
วินาทีนั้น เสียงสะบัดสายโซ่ที่ดังขึ้น ก็ทำให้ชายหนุ่มได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
มันคือเสียงของพันธนาการแห่งท้องฟ้า!
หลังจากนั้น พันธนาการแห่งท้องฟ้าที่อยู่ในร่างกายของเขาก็เปล่งประกายสีทองสว่างเจิดจ้า ครอบคลุมร่างกายของฉู่ชวิ๋นอยู่ในสภาวะกึ่งโปร่งแสง ทำให้ชายหนุ่มดูราวกับเป็นเทพเจ้า
เคล้ง!
โซ่ตรวนสั่นสะเทือนโกร่งกร่าง ลำแสงสีทองยิ่งพวยพุ่งออกมามากขึ้น ลมปราณปีศาจที่กำลังจะไหลทะลักเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่ม พลัน ถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดดึงกลับไปและดูดซับไปหมดสิ้น
ลมปราณปีศาจเปลี่ยนสภาพกลายเป็นยาบำรุงร่างวิญญาณ พันธนาการแห่งท้องฟ้าสั่นไหวตลอดเวลา ลำแสงสีทองสว่างจ้า ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นให้หายเป็นปลิดทิ้ง
พันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดซับลมปราณปีศาจได้หมดสิ้น ฉู่ชวิ๋นกลับมามีสติแจ่มใสได้อีกครั้ง ชายหนุ่มรู้สึกดีใจเป็นที่สุด นี่คืออีกครั้งที่พันธนาการแห่งท้องฟ้าได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
แต่อย่างไรก็ตาม ในอากาศมีลมปราณปีศาจลอยอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกมันไหลรินเข้าสู่ร่างกายของฉู่ชวิ๋นตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าพันธนาการแห่งท้องฟ้าจะหิวกระหายเป็นอย่างยิ่ง ลำแสงสีทองยิ่งสว่างเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่พันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดกินลมปราณปีศาจที่ไหลเข้าสู่ร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นไม่หยุดยั้ง
ลมปราณปีศาจถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้าเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นยาบำรุงร่างกาย ซึ่งช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้ฉู่ชวิ๋นได้อย่างรวดเร็ว
ไม่นานรอยแตกร้าวบนร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นก็สมานตัว
ฉู่ชวิ๋นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบโคจรพลังลมปราณจำแลง สูดดมลมปราณปีศาจรอบตัวเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ ลมปราณปีศาจเป็นพิษต่อร่างกายของเขา แต่ตอนนี้ พันธนาการแห่งท้องฟ้าทำให้มันกลายเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเขาแล้ว
ฉู่ชวิ๋นเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด ยิ่งสูดดมลมปราณปีศาจเข้าไป เขายิ่งควบคุมสติได้มากยิ่งขึ้น
ใช้เวลาเพียงสักครู่เดียว รอยแตกร้าวบนร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นก็หายไปหมดสิ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างวิญญาณของเขาอีกด้วย
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกลิงโลด เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าร่างวิญญาณมีความบอบบางมากขนาดไหนต่อให้ร่างจริงแข็งแกร่งเพียงใด ร่างวิญญาณก็ยังสามารถแตกสลายได้ภายในพริบตาเดียวอยู่ดี
ตู้ม!
กองก้อนหินระเบิดตัวออกในขณะที่ฉู่ชวิ๋นลอยตัวกลับขึ้นไปจากพื้นดิน
ชายหนุ่มไม่เร่งรีบ เขาเดินมานั่งขัดสมาธิอยู่ในบริเวณนั้น
ก่อนที่จะสร้างค่ายกลห้าวิญญาณ
คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวด ลมปราณปีศาจที่ลอยอบอวลอยู่ในอากาศถูกดูดซึมเข้ามาในร่างกายของฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง ชายหนุ่มรอให้เป็นหน้าที่ของพันธนาการแห่งท้องฟ้าที่จะแปรสภาพพวกมันให้เป็นยาบำรุงร่างกาย
ในเวลาเพียงอึดใจเดียว พลังวิญญาณของฉู่ชวิ๋นก็เพิ่มพูนมากขึ้นทวีคูณ แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้ ถ้าผิดพลาดเพียงแค่นิดเดียว ลมปราณปีศาจจะไหลทะลักเข้าสู่หัวใจและอาจทำให้บาดเจ็บสาหัสได้ชนิดเกินเยียวยา
อันพลังวิญญาณนั้นจะแบ่งแยกออกเป็น 9 ระดับ ที่ผ่านมาฉู่ชวิ๋นมีพลังวิญญาณอยู่ที่ระดับหนึ่งเท่านั้น ร่างวิญญาณของเขาจึงไม่แข็งแกร่งและพลังวิญญาณของเขาเอามาใช้ประโยชน์ในการต่อสู้ไม่ได้เลยทำได้แค่สำรวจพื้นที่เท่านั้นเอง ปกติแล้วเขาไม่ฝึกพลังวิญญาณเลยเพราะว่ามันฝึกยากแถมไม่ค่อยมีประโยชน์ในการต่อสู้ด้วย
ถ้าพลังวิญญาณของเขาเลื่อนขึ้นสู่ระดับสอง เขาอาจสามารถใช้เคล็จวิชาได้รวดเร็วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนแต่อย่างใด แต่ที่แน่ ๆ มันจะทำให้เขารอดจากที่นี่ได้ง่ายดายขึ้น
ลมปราณปีศาจถูกฉู่ชวิ๋นดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างตะกละตะกลามเสมือนวัวขาดน้ำ
ฉู่ชวิ๋นสูดดมลมปราณปีศาจด้วยความหิวโหย เขาอยากจะเลื่อนระดับพลังวิญญาณสู่ระดับที่สองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
1 วันผ่านไป
2 วันผ่านไป
5 วันผ่านไป
…
เมื่อถึงวันที่ 10 ฉู่ชวิ๋นก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายของเขาเปล่งแสงสว่างเป็นประกายสว่างไสว
เขาทอดสายตามองไปยังภูเขาหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ในทันใดนั้น นิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์ก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าและบดขยี้ภูเขาหินลูกนั้นจนแหลกสลายไป
เขาสามารถทำตามที่ต้องการได้แล้ว
ในที่สุด ฉู่ชวิ๋นก็สามารถเลื่อนระดับพลังวิญญาณขึ้นสู่ระดับที่สองได้สำเร็จ
ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าการเลื่อนระดับพลังวิญญาณจะง่ายดายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก นับว่าเป็นประโยชน์จากหายนะอันใหญ่หลวง
ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืน ยังไม่คิดเรื่องเลื่อนระดับพลังวิญญาณเป็นระดับที่สามในตอนนี้ เพียงแค่ระดับที่สองยังต้องใช้ระยะเวลานานถึงเพียงนี้ หากเลื่อนระดับพลังเป็นขั้นที่สาม ไม่อยากคิดเลยว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการเลื่อนระดับนานมากแค่ไหน การเลื่อนระดับพลังวิญญาณต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากกว่าการฝึกตนเสียอีก
ร่างวิญญาณเปราะบาง ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากพลังจิตที่แข็งแกร่ง เปรียบเสมือนภาชนะบรรจุน้ำ แก้วน้ำธรรมดาย่อมไม่สามารถรองรับลาวาร้อนเหลวได้
แต่ในขณะนี้ ร่างวิญญาณของฉู่ชวิ๋นแข็งแกร่งขึ้นมาก ถ้าไม่สังเกต เขาก็คิดว่าตนเองอยู่ในร่างมนุษย์ด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มเดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิมอีกครั้ง
นี่คือสถานที่ที่กาลเวลามีน้ำหนัก เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว เกือบหนึ่งเดือนเห็นจะได้
1 ชั่วโมงของโลกนี้ เท่ากับ 1 วันของโลกมนุษย์ ฉู่ชวิ๋นอาศัยอยู่ที่นี่มาเกือบเดือน เท่ากับโลกภายนอกคงผ่านไปเกือบ 2 ปีแล้ว เขาควรรีบหาทางกลับไปให้ได้โดยเร็วที่สุด
แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ สถานที่ซึ่งเขาอยู่ในตอนนี้เป็นแค่เพียงชั้นนอกของดินแดนภูตทมิฬเท่านั้น ตัวประหลาดแต่ละตัวที่เขาพบเจอล้วนแต่มีฝีมือแข็งแกร่งทั้งสิ้น ถ้าเดินทางลึกเข้าไปในดินแดนภูตทมิฬมากกว่านี้ ฉู่ชวิ๋นก็ไม่รู้เลยว่าจะมีความน่ากลัวอะไรรอคอยเขาอยู่บ้าง?
เจ้าพวกแดนสวรรค์เฮงซวย จับขังพวกภูตทมิฬธรรมดาไม่พอ ทำไมต้องทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ซึ่งกาลเวลามีน้ำหนักด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ พวกปีศาจก็มีเวลาอย่างเพียงพอใช้ฝึกตนจนแข็งแกร่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
ฉู่ชวิ๋นรีบเดินทางด้วยความรวดเร็ว เมื่อมาถึงบริเวณที่เป็นถิ่นของกองทัพมดปีศาจ ชายหนุ่มก็ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาสามารถจัดการพวกมันได้อย่างรวดเร็ว โดยตอนที่เขาจากมาก็ได้ทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวไว้ข้างหลัง
ผ่านไปอีกหลายชั่วโมง ในที่สุดฉู่ชวิ๋นก็กลับมาถึงทางออก
ตัวประหลาดยังคงอยู่ที่เดิม ยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิมเหมือนคนที่ตายแล้ว
ฉู่ชวิ๋นใช้ลมปราณซัดเข้าใส่ที่ศีรษะของตัวประหลาด
ตัวประหลาดหมุนตัวตีลังกากลับหลังไปสองสามตลบ ก่อนที่จะคำรามเสียงดังและดีดกายพุ่งเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นรีบถอยหนีมายืนอยู่นอกรัศมีการโจมตี ในขณะนี้ เขาสามารถใช้พลังลมปราณซัดออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว พลังลมปราณของเขาพุ่งเข้าใส่ที่ศีรษะของตัวประหลาดอีกครั้ง
ตัวประหลาดกู่ร้อง พลังเสียงของมันทำให้ก้อนหินที่อยู่รอบบริเวณแตกสลายไปในพริบตา มวลพลังงานสีดำระเบิดออกมา พร้อมกับที่เกิดประกายไฟลุกโชน
ฉู่ชวิ๋นซัดพลังเข้าใส่ตัวประหลาดอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ตัวประหลาดถึงได้กลับมามีสติมั่นคงอีกครั้ง แต่ฉู่ชวิ๋นไม่หยุดมือต่อสู้กับมันต่อเนื่องไปอีกครึ่งชั่วโมง แววตาสีแดงก่ำของมันจึงได้หายไปแล้วตัวประหลาดถึงได้กลับมามีสติครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้ง
“น่าเหนื่อยหน่ายจริงๆ” ฉู่ชวิ๋นรำพึงออกมา
ตัวประหลาดมองหน้าฉู่ชวิ๋น สอบถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าคุ้มคลั่งไปหรือยัง?”
“ลมปราณปีศาจเล็กน้อยแค่นี้ จะทำอะไรฉันได้?” ฉู่ชวิ๋นเงยหน้าพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ตัวประหลาดหน้าตาบูดบึ้ง แต่ก็ต้องถามออกมาด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้าทำได้อย่างไร?”
ฉู่ชวิ๋นได้ยินคำถามนี้ก็รีบโคจรพลังดูดซับลมปราณปีศาจที่อยู่ในร่างกายของตัวประหลาดเข้ามาสู่ร่างกายของเขาเอง แล้วลมปราณปีศาจทั้งหมดนั้นก็ถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้ากลืนกินเข้าไป
ตัวประหลาดต้องติดอยู่ที่นี่มาหลายพันปี ในร่างกายของมันอุดมไปด้วยลมปราณปีศาจ ขณะนี้ร่างกายของมันกลายเป็นที่ปล่อยลมปราณปีศาจออกมาแล้ว
“ฉันอาจช่วยแกกำจัดลมปราณปีศาจออกจากร่างกายได้นะ” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
ตัวประหลาดจ้องมองฉู่ชวิ๋น ดวงตาของมันเป็นประกายแวววาวด้วยความมหัศจรรย์ใจ ก่อนถามออกมา “เจ้าสามารถกำจัดลมปราณปีศาจออกจากตัวข้าได้จริง ๆ หรือ?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ตอบว่า “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสำเร็จหรือเปล่า?”
“อย่างนั้นเจ้ามัวรออะไรอยู่ รีบจัดการเร็วเข้า” ตัวประหลาดตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว มันต้องติดอยู่ที่นี่มาหลายพันปี ทนทุกข์ทรมานอยู่ทั้งวันทั้งคืน มีชีวิตอยู่ไม่ต่างจากตายแล้ว
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ในหัวใจของมันอัดแน่นไปด้วยความแค้นความเกลียดชัง ซึ่งกัดกินลึกลงไปถึงกระดูก มันอยากจะแก้แค้นใจจะขาดแล้ว
“แน่ใจนะว่าตอนนี้แกมีสติครบถ้วนดี? ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่กลายเป็นปีศาจคุ้มคลั่งขึ้นมากลางคัน?” ฉู่ชวิ๋นไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ หากตัวประหลาดเกิดอาการเสียสติขึ้นมากะทันหัน เขาก็คงไม่มีทางหลบหนีออกมาได้เลย มีแต่ต้องตายอยู่ตรงนั้นเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้ายังคงมีสติอยู่อีกพักใหญ่” ตัวประหลาดตอบอย่างมั่นใจ
ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจลองเสี่ยง ถ้าเขาสามารถรักษาตัวประหลาดผู้นี้ได้ ตัวประหลาดก็จะติดหนี้บุญคุณเขาครั้งใหญ่ และมันก็จะต้องปล่อยเขาออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอน
จากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็เดินเข้าไปหาตัวประหลาดด้วยความตื่นตัวเต็มที่ ระแวงระวังว่ามันอาจจะคุ้มคลั่งขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
ตัวประหลาดเห็นท่าทางของเขา จึงรัดพันโซ่ที่ล่ามแขนขาของตนเองอยู่ ก่อนพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าทำให้โซ่มันสั้นลงแล้ว หากข้าคุ้มคลั่งพยายามจะทำร้ายเจ้าขึ้นมา เจ้าจะได้มีเวลาหลบหนีได้ทัน”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า เดินเข้าไปทรุดนั่งอยู่ด้านหลังตัวประหลาด พูดว่า “แกก็ทำใจให้สบาย ฉันจะช่วยดูดลมปราณปีศาจออกมาจากร่างของแกเอง”
“เจ้าไม่กลัวตายหรือไง?” ตัวประหลาดเบิกตาโต “ลมปราณปีศาจที่อยู่ในตัวข้ามีความหนาแน่นมากกว่าลมปราณปีศาจที่ลอยอยู่ในอากาศหลายเท่า ถ้าดูดซึมเข้าไปในร่างกายของเจ้า เจ้าจะต้องเสียสติไปทันทีแน่”
“ไม่เป็นไร ฉันมีวิธีของฉัน” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับวางฝ่ามือลงไปบนแผ่นหลังของตัวประหลาด หลังจากนั้น มือของเขาก็เกิดพลังลมดูดขึ้นมาอย่างรุนแรง
เมื่อลมปราณปีศาจที่อยู่ในร่างกายของตัวประหลาดไหลเข้าสู่ฝ่ามือของชายหนุ่ม ฉู่ชวิ๋นก็ถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียว ร่างกายของตัวประหลาดมีสภาพไม่ต่างจากโกดังเก็บลมปราณปีศาจจริงๆ
ลมปราณปีศาจโถมทะลักเข้าใส่ร่างกายของฉู่ชวิ๋น มวลพลังของมันแผ่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ฉู่ชวิ๋นตกใจมาก แต่โชคดีที่พันธนาการแห่งท้องฟ้าตอบรับได้ทันเวลา ลำแสงสีทองคำระเบิดสว่างจ้า แล้วลมปราณปีศาจทั้งมวลนั้นก็ถูกแปรสภาพกลายเป็นมวลพลังที่บำรุงร่างกายของชายหนุ่ม
ตัวประหลาดหันหน้าชำเลืองมองไปที่ฉู่ชวิ๋นด้วยความตื่นตัว ถ้าเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะมีอาการคุ้มคลั่งขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะได้จัดการได้ทันเวลา
แต่หลังจากเฝ้าจับตามองอยู่นานสองนาน มันก็ไม่พบว่าฉู่ชวิ๋นจะมีท่าทีเสียสติแต่อย่างใด ซ้ำใบหน้าของชายหนุ่มยังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ทำให้ตัวประหลาดต้องแปลกใจ และแอบคิดกับตนเองว่าชายหนุ่มผู้นี้คงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“ฉันยังปกติดีอยู่” ฉู่ชวิ๋นพูดในขณะที่ลืมตาขึ้นมาสบตาตัวประหลาด
ตัวประหลาดคำรามว่า “ก็ดีแต่ระวังธาตุไฟเข้าแทรกให้ดีล่ะ เจ้าโง่!”
ฉู่ชวิ๋นขนลุกเกรียว เกือบจะซัดพลังออกจากฝ่ามือใส่ตัวประหลาดเสียแล้ว เมื่อสักครู่นี้มันเรียกเขาว่าอะไรนะ?
แต่ในจังหวะที่ชายหนุ่มเสียสมาธินี้เอง กลุ่มลมปราณปีศาจจากร่างกายของตัวประหลาดก็ไหลเข้ามาสู่ร่างกายของฉู่ชวิ๋นจนต้องรีบควบคุมระดับลมหายใจ ลมปราณปีศาจจำนวนมากถึงเพียงนี้ ถ้ากระจายตัวหลุดการควบคุมเพียงนิดเดียว ก็ทำให้เขากลายเป็นคนเสียสติได้ทันที!