จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 374 นางฟ้าตีเข่า
บทที่ 374 นางฟ้าตีเข่า
ปราสาทจตุรเทพ เบื้องหน้าเวทีประลองขนาดใหญ่ กลุ่มศิษย์มารวมตัวกัน ทุกคนต่างยืนจ้องมองในลักษณะที่น้ำลายไหลตลอดเวลา
ตรงกลางเวทีประลอง หยานหวูซวงอยู่ข้างกองไฟขนาดใหญ่ เขากำลังย่างเนื้อนกยูงที่มีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม ส่งควันหอมฉุยไปทั่วบริเวณ
ไขมันสีเหลืองไหลหยดลงสู่กองไฟ เกิดเป็นเสียงเปลวไฟปะทุตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ เนื้อนกยูงเป็นมันวาว ยิ่งมองยิ่งน่ารับประทาน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่ชวิ๋นก็นำมีดมาปาดลองจิ้มเนื้อส่งเข้าปาก เนื้อนกยูงมีความกรอบนอกนุ่มใน ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลอยู่ในปาก นี่คือนกยูงที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 เนื้อของมันอุดมไปด้วยสารอาหาร ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เป็นอย่างดี
“ทุกคนเชิญรับประทาน!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของฉู่ชวิ๋น บรรดาลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพก็พร้อมใจกันกรูเข้าไปหาเนื้อนกยูงเหมือนฝูงหมาป่าที่หิวโหย
ฉู่ชวิ๋นหั่นเนื้อชิ้นใหญ่ ส่งไปให้จิงหง
“ข้ากินไม่ลงหรอก” จิงหงกล่าวด้วยความขยะแขยง ก่อนหน้านี้คงอี้หมิงยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่เลย การกินเนื้อของมันทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
แต่นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครไม่ชอบเนื้อนกยูง พวกเขาถือกินอย่างเอร็ดอร่อย ริมฝีปากมันแผล็บ
เนื้อนกยูงที่ลงไปอยู่ในท้อง แปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานไหลเวียนไปตามแขนขาโครงกระดูก พร้อมช่วยกระตุ้นจุดลมปราณทั้งหมดในร่างกาย
“น้องชาย บอกพวกเราหน่อยสิว่าเรื่องภูตทมิฬเป็นยังไงบ้าง” อาการบาดเจ็บของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยดีขึ้นมากแล้ว ในมือของเขาถือเนื้อนกยูงขนาดกว่า 10 กิโลกรัมกัดกินอย่างมีความสุข ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย
หยานหวูซวงก็พยักหน้าเช่นกัน แขนข้างหนึ่งของเขายังคงต้องห้อยผ้าพันแผล ถ้าเป็นคนทั่วไปคงต้องรักษาอาการบาดเจ็บที่กระดูกอีกนับร้อยวัน แต่สำหรับหยานหวูซวง อาการกระดูกหักเช่นนี้ เพียงไม่กี่วันเขาก็หายดีแล้ว
“พี่รู้ไหม ตลอดสามปีที่ผ่านมา ฉันเป็นห่วงพี่มากเลยนะ…” หยานหวูซวงพูดไปด้วยพลางเคี้ยวเนื้อนกยูงในปากกร้วมๆ “คราวหน้าถ้าพี่จะถอดวิญญาณไปนาน ๆ แบบนี้อีกช่วยเขียนพินัยกรรมเอาไว้ด้วย เกิดพี่ตายขึ้นมา ฉันจะได้ช่วยหาผู้สืบทอดตำแหน่งให้”
หัวใจของฉู่ชวิ๋นรู้สึกอบอุ่นมากเมื่อได้ยินคำพูดประโยคแรก แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคหลัง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ถ้าไม่เห็นว่าหยานหวูซวงบาดเจ็บอยู่ เขาคงได้สั่งสอนมันไปอีกหลายตุบ
“อารองครับ ผมรู้สึกได้เลยว่าท่านอากลับมาครั้งนี้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม” เยวี่ยหงโป๋พูดด้วยปากที่เต็มไปด้วยเนื้อนกยูง
ทุกคนหันมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นเป็นตาเดียว พวกเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ฉู่ชวิ๋นดูจะแข็งแกร่งมากกว่าก่อน ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่สามารถจัดการผู้ที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ได้ง่ายดายขนาดนี้
“ถูกต้อง ฉันเลื่อนระดับพลังได้อีกแล้ว” ฉู่ชวิ๋นไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ เมื่อพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังในร่างกายก็เพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณ ส่งผลให้ในขณะนี้ เขามีพลังขั้นแก่นแท้ลมปราณ ขั้นกลางแล้ว
“อารอง เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิว่าไปเจอพวกภูตทมิฬมาเป็นยังไงบ้าง?” เยวี่ยจิ้งโฉวถามขึ้น
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกปวดท้องขึ้นมาทันใด เขาไม่ได้เล่าถึงการดิ้นรนพยายามสลายค่ายกลวังน้ำวนเหล่านั้น ชายหนุ่มเพียงเล่าว่าทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยปีศาจพิสดาร เล่นงานเขาจนเกือบเสียชีวิตไปหลายครั้ง แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนไหนที่น่าอับอายขายหน้า ฉู่ชวิ๋นก็ข้ามไปแล้วเอาแต่ฉากเท่ ๆ เหลือไว้
ฉู่ชวิ๋นบอกเล่าถึงสภาพภูมิประเทศในดินแดนภูตทมิฬ ได้พบเจองูยักษ์ กองทัพมดปีศาจ ตัวประหลาดกายมนุษย์หัวเสือดาว สุดท้ายก็บอกเล่าถึงการต่อสู้กับตัวประหลาดที่เฝ้าค่ายกลวังน้ำวน
พวกของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพ่อลูกรับฟังด้วยความตะลึงลาน
“สถานที่ซึ่งกาลเวลามีน้ำหนัก?” หยานหวูซวงถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
ฉู่ชวิ๋นอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่า “1 ชั่วโมงของที่นั่น จะเท่ากับ 1 วันของที่นี่”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหันมองหน้าบุตรชายด้วยความเหลือเชื่อ สถานที่แปลกประหลาดพิสดารเช่นนั้นมีอยู่จริงหรือ?
“พวกเราเข้าไปฝึกวิชาในนั้นบ้างดีไหม?” ดวงตาทั้งสองข้างของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเป็นประกายระยิบระยับแล้วกล่าวต่อ “สุดท้ายน้องชายก็กลายเป็นมิตรกับตัวประหลาดตัวนั้นแล้ว พวกเราน่าจะไปที่นั่นได้อย่างไม่มีปัญหา ดีไม่ดีน้องชายอาจจะกลายเป็นจอมปีศาจที่ 5* ด้วยซ้ำ” (*แดนภูติทมิฬมีจอมปีศาจอยู่ 4 ตน หมายถึงถ้าฉู่ชวิ๋นลงไปอีกอาจได้เป็น จอมปีศาจตนที่ 5 ในแดนภูติทมิฬ)
“ใช่ ๆ อยู่ที่นี่พี่ก็โดนเรียกว่าจอมมารอยู่แล้ว ไปที่นู่นจะเป็นจอมปีศาจก็ไม่ผิดหรอก” หยานหวูซวงหันหน้ามามองด้วยแววตาเย้ยหยัน คำพูดถากถาง
“คิดอะไรกันอยู่ พวกภูตทมิฬโดนกักขังอยู่ในนั้น เกิดเราเผลอไปทำลายค่ายกลโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกมันก็ถูกปลดปล่อยออกมากันพอดี นั่นแหละได้เกิดหายนะใหญ่หลวงแน่ๆ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่กล้าปล่อยให้ทุกคนเข้าไปที่นั่น เพราะไม่รู้เลยว่าตัวประหลาดจะกลับไปคุ้มคลั่งอีกหรือเปล่า
ฉู่ชวิ๋นหันมาพบว่าจิงหงกำลังจ้องมองเขาอยู่พร้อมรอยยิ้ม พลัน แต่เห็นก็ทำให้หัวใจของชายหนุ่มพองโต เขาเพิ่งเห็นอะไรกันนี่?
“มีอะไรหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกผิดขึ้นมาชอบกล หญิงสาวยิ้มอะไรกันนะ?
จิงหงยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม ส่ายศีรษะตอบกลับมาว่า “ไม่มีอะไร แค่ดีใจที่เจ้ากลับมา”
“ตลอดสามปีนี้ เธอคิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นถามเสียงเข้ม
จิงหงเงียบไปเลยน้อย ก่อนจะผงกศีรษะตอบรับ “คิดถึง”
หญิงสาวเกลียดการโกหก ฉู่ชวิ๋นหายตัวไป 3 ปี จิงหงควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้ เธอเอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นฉีกยิ้มกว้าง อ้าแขนออกมา
“กอดเลย กอดเลย กอดเลย…” หยานหวูซวงส่งเสียงตะโกนเชียร์
จิงหงลุกขึ้นยืน ฉู่ชวิ๋นก็รีบลุกขึ้นยืนทันที ทั้งสองคนยืนจ้องหน้ากันด้วยแววตาซาบซึ้ง
หัวใจของฉู่ชวิ๋นพองโตอย่างมีความสุข ในที่สุดจิงหงก็เริ่มใจอ่อนกับเขาแล้ว ชายหนุ่มเคลื่อนกายเข้าไปหมายจะโอบกอดร่างเบาบาง แต่ผลที่ได้ก็คือ ร่างเบาบางในชุดขาวหลบวูบ อ้อมแขนของฉู่ชวิ๋นพบแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
พวกของหยานหวูซวงชะงักกึกไปเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพที่ไม่มีใครสามารถกลั้นหัวเราะได้เลย
ฉู่ชวิ๋นลดแขนลงด้วยความอับอาย หมุนตัวกลับมาก็เห็นว่าจิงหงหนีไปยืนยิ้มอยู่ไกลๆ
“หายตัวไป 3 ปี นอกจากไม่สำนึกแล้วเจ้ายังคิดฉวยโอกาสข้าอีกเหรอ? ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน” สุ้มเสียงของจิงหงออกแนวแง่งอน นี่คือครั้งแรกที่ฉู่ชวิ๋นพบว่าหญิงสาวทำตัวเหมือนเป็นเด็กเล็ก ๆ เช่นนี้
“เธอเป็นภรรยาของฉัน เขาเรียกว่าฉวยโอกาสที่ไหนกัน?” ฉู่ชวิ๋นเคลื่อนกายตรงเข้าไปหาจิงหงอีกครั้ง
จิงหงรีบหมุนตัวหนีไป แต่ความเร็วของเธอจะเทียบกับฉู่ชวิ๋นได้อย่างไร? ดังนั้น ร่างบางจึงตกเข้าสู่อ้อมแขนของเขาในที่สุด
ใบหน้าของจิงหงแดงระเรื่อ เธอพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ มีคนดูอยู่ตั้งเยอะแยะ”
“ฉันกอดคนรักของฉัน ใครอยากดูก็ให้ดูไปสิ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มเจ้าเล่ห์
จิงหงถูกฉู่ชวิ๋นโอบกอดเป็นครั้งแรก จังหวะกะทันหันทำอะไรไม่ถูก จึงเผลอตัวโอบแขนกอดรอบเอวของฉู่ชวิ๋นโดยไม่รู้ตัว
“อะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ” จิงหงรีบพูดร้อนร้นด้วยความตกใจ
ฉู่ชวิ๋นพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “คนรักกันกอดกัน ไม่มีอะไรตั้งใจหรือไม่ตั้งใจทั้งนั้นแหละ”
“ท่านช่วยปล่อยตัวข้าก่อนได้ไหม?” จิงหงเริ่มเสียงแข็ง หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบากมากขึ้นทุกที
“ไม่ได้!” ฉู่ชวิ๋นยิ่งโอบแขนกอดร่างบางแน่นมากขึ้นกว่าเดิม จิงหงบดเบียดกับกายกำยำจนอ่อนระทวย ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาวขณะพูดว่า “รู้ไหม? ฉันรอที่จะได้กอดเธอแบบนี้มาตลอด”
“จูบเลย จูบเลย จูบเลย…” หยานหวูซวงตะโกนเชียร์อีกครั้ง
พวกของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยรีบทำตามทันที
เมื่อมองใบหน้าสวยงามที่อยู่ในระยะใกล้ ฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เหมือนกับว่าจะสามารถโอบกอดจิงหงไปได้ตลอดชีวิต ขอบคุณสวรรค์ที่มอบโอกาสงามๆ เช่นนี้ให้แก่เขา
ฉู่ชวิ๋นตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ร่างบางอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา ริมฝีปากอิ่มเอิบอ้าเผยอ ฉู่ชวิ๋นหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ โน้มริมฝีปากของตนเองลงไปโดยไม่รู้ตัว
“ชะ…ฉู่ชวิ๋น ไม่ได้นะ…” จิงหงแก้มแดงปลั่ง มองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของฉู่ชวิ๋น
“จูบเลย…จูบเลย…” หยานหวูซวงยังคงส่งเสียงเชียร์อยู่ด้านข้าง
คนอื่นๆ ก็ชูกำปั้นให้กำลังใจฉู่ชวิ๋นด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดไปทันที
เรียวปากของฉู่ชวิ๋นโน้มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จิงหงรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนอุ่นที่เป่าราดรดใบหน้าของเธอ
ผลั่ก!
“โอ๊ย…” ฉู่ชวิ๋นร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลพราก ร่างอรชนในอ้อมแขนของเขาหายวับไปแล้ว
จิงหงยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่จ้องมองฉู่ชวิ๋นยืมตัวงอมือกุมเป้าด้วยความเจ็บปวด เธออยากจะเข้าไปปลอบเขาแต่ไม่รู้จะพูดยังไงดี เมื่อสักครู่นี้ที่ตีเข่าขึ้นไป เป็นปฏิกิริยาตอบรับโดยสัญชาตญาณไม่รู้ตัว
“ให้ตายเถอะ แม้แต่นางฟ้าก็ยังตีเข่าใส่อะ” หยานหวูซวงใบหน้าหมองเศร้า พึมพำกับตัวเอง
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษนะ” จิงหงพูดพร้อมกับล่าถอยออกไป ก่อนที่จะหันหลังกลับและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้แต่หันหน้ามองตากัน ทำอะไรไม่ถูก ไม่มีใครกล้าหัวเราะอีกแล้ว
“ฮ่าๆ… ขนาดนางฟ้ายังรังเกียจพี่เลยนะเนี่ย” หยานหวูซวงพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่กลัวตาย รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา “ทุกคนดูนี่สิ จอมมารผู้เด็ดหัวศัตรูมานับไม่ถ้วน กลับต้องมาเสียทีให้แก่หัวเข่าของนางฟ้าเสียแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับมาถลึงตามองด้วยความเดือดดาล เขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อเหมือนกันที่ถูกจิงหงตีเข่าเข้าใส่แบบนี้
“น้องชาย น้องบุ่มบ่ามมากเกินไป” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเดินถือเนื้อนกยูงก้อนใหญ่มาด้วย พูดด้วยน้ำเสียงของผู้มากประสบการณ์ “ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป อยู่ดีๆ น้องจะกอดแล้วจูบเลยไม่ได้ ถือว่าเร่งรีบมากเกินไป ถูกเธอตีเข่าใส่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร”
“ผมขอเวลาเดี๋ยวได้ไหม” ฉู่ชวิ๋นกล่าวด้วยความอับอาย ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ตรงส่วนนั้นก็ยังเปราะบางอยู่ดี ขณะนี้ เขาต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดแทบตาย
หยานหวูซวงพลันเดินเข้ามาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “เป็นยังไงบ้าง จอมหื่นฉู่ เอ้ย จอมมารฉู่?”
“แกอยากโดนดีใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองคุณชายหนุ่มเขม็ง
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ จอมมารฉู่ชวิ๋นจะอย่างไรก็ยังเป็นคน เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องอายเลย!”
ฉู่ชวิ๋นคว้าคอเสื้อของคุณชายหนุ่มแนบแน่น กระชากตัวเข้ามาใกล้
“นายจอมหื่น ฉันไม่ใช่นางฟ้าของพี่นะ พี่จะทำอะไรฉัน?” หยานหวูซวงส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด “ขนาดฉันบาดเจ็บแบบนี้ พี่ก็ยังลงมือกับฉันได้ลงคอ อ๊าก…”
เมื่อได้ทุบตีหยานหวูซวงไปชุดใหญ่ ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว
“ทุกคนทานกันต่อเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความยินดี ร่างนกยูงของคงอี้หมิงมีขนาดความใหญ่กว่า 20 เมตร ถึงแม้ลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพจะเข้ามาช่วยกันรับประทาน เนื้อนกยูงก็ยังคงเหลืออยู่อีกจำนวนมาก
“พี่เยวี่ย ช่วยผมด้วย” หยานหวูซวงยื่นมือเข้าไปหาเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยอย่างน่าสงสาร
“ปากของน้องรนหาที่เองนะ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมีเนื้อก้อนใหญ่อยู่เต็มสองกำมือ ชายชรายกก้อนเนื้อขึ้นกัดกร้วม “ขอโทษทีนะ ตอนนี้มือฉันไม่ว่าง”
“ท่านอาหยาน เดี๋ยวผมช่วยเอง” เยวี่ยจิ้งโฉววิ่งเข้ามาหา
หยานหวูซวงพูดด้วยความดีใจว่า “อย่างน้อยนายก็ยังมีจิตสำนึกดีกว่าพ่อตัวเองเสียอีก…หมับ…อ๊าก…”
“ไอ้เด็กนี่ แกกล้าลงมือกับฉันได้ยังไง?” หยานหวูซวงเจ็บปวดจนน้ำตาไหล มือของเยวี่ยจิ้งโฉวที่บีบลงบนหัวไหล่ของเขารีบปล่อยออกทันที
เยวี่ยจิ้งโฉวระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ขอโทษที ผมลืมไปเลยว่าท่านอาเจ็บไหล่อยู่ ขออภัย ขออภัย”
หยานหวูซวงย่นจมูกหน้างอ เด็กหนุ่มคนนี้เจ้าเล่ห์แสนซน ลื่นยิ่งกว่าปลาไหลเสียอีก
“รับไปสิ จิงกุย” ฉู่ชวิ๋นตัดเนื้อก้อนใหญ่โยนไปให้
เยวี่ยจิ้งโฉวตวัดมือรับได้อย่างแม่นยำ “ขอบคุณมากครับ ท่านอา!”
“ไอ้พวกใจร้าย” หยานหวูซวงกลอกตามองบน ท้องร้องด้วยความหิวโหย
กองไฟยังคงลุกโชติช่วง เนื้อนกยูงส่งกลิ่นหอมหวน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
ฉู่ชวิ๋นกับพวกของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
“อ้าว ท่านอาหายไปไหนแล้ว?” เยวี่ยจิ้งโฉวถามออกมาเมื่อกวาดสายตามองรอบตัวแต่ไม่รู้ว่าหยานหวูซวงหายไปไหนเสียแล้ว
“ทุกคนกินกันต่อเถอะ เดี๋ยวฉันไปตามหาเขาเอง” ฉู่ชวิ๋นส่งคลื่นพลังจิตออกไปตามหาตำแหน่งของหยานหวูซวง
ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความสงสัย เจ้าคุณชายตัวแสบนิยมชมชอบก่อกวนประสาทผู้คน แล้วมีเหตุอันใดต้องไปซ่อนตัวแบบนี้ด้วย?
ฉู่ชวิ๋นใช้คลื่นพลังจิตค้นหาตำแหน่งหยานหวูซวงจนเจอ
คุณชายหนุ่มหลบมาปลีกวิเวกอยู่ทางพื้นที่ด้านตะวันตกของปราสาทจตุรเทพ พื้นที่ส่วนนั้นเป็นเขตแดนของสุสาน ศพของสมาชิกปราสาทจตุรเทพทุกคนจะถูกฝังเอาไว้ที่นั่น
หน้าหลุมศพหลุมหนึ่ง หยานหวูซวงกำลังนั่งรับประทานเนื้อนกยูงย่าง สลับกับเติมแก้วไวน์สองแก้ว เขาจะยกแก้วแรกดื่มหนึ่งครั้ง ส่วนอีกแก้วเทราดรดใส่หลุมศพเบื้องหน้า
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจ รีบล่าถอยออกมาโดยไม่เข้าไปรบกวน
เนื่องจากว่านั่นคือหลุมศพของเฟิงจื่อเจี้ยน ผู้อาวุโสที่ต้องเสียชีวิตจากการเข้าไปช่วยเหลือหยานหวูซวงนั่นเอง