จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 377 ปะทะมนุษย์ปักษา
บทที่ 377 ปะทะมนุษย์ปักษา
ณ ตรอกแคบมืดมิด น้ำเสียงเย็นเยียบ
ถ้อยคําที่เรียบง่าย กลับทำให้คนของประตูวิญญาณสลายเย็นวาบไปทั้งตัว
“แกเป็นใครมาจากไหน?”
คำตอบที่เปาเถียนเซียนได้รับกลับเป็นนิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์ที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
นิ้วมือขนาดใหญ่ยักษ์พุ่งทะลวงผ่านลมปราณคุ้มกาย อานุภาพรุนแรงเกินต้านทาน
พวกของเปาเถียนเซียนกู่ร้องพลางโคจรพลังลมปราณต่อต้าน แต่ก็ไม่อาจขัดขวางนิ้วมือขนาดยักษ์ที่กำลังร่วงหล่นลงมาได้เลย
ตรอกมืดคับแคบ ไม่มีที่ให้พวกมันหลบหนี
ตู้ม!
แผ่นดินสะเทือน พื้นดินยุบตัว เนื้อหนังมนุษย์ปลิวกระจาย การร่วงหล่นลงมาของนิ้วมือขนาดยักษ์สังหารคนของประตูวิญญาณสลายตกตายไปหลายสิบคนในพริบตาเดียว
“แกเป็นคนที่สำนักภูผาทมิฬจ้างมาช่วยเหลือใช่ไหม? พวกมันจ้างแกมาเท่าไหร่? ประตูวิญญาณสลายยินดีจ่ายให้มากกว่านั้นสองเท่า” เปาเถียนเซียนพูดด้วยความร้อนรน
ฉู่ชวิ๋นหยุดชะงัก มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้ม ทำท่าเหมือนสนใจข้อเสนอ
“ถ้าพวกแกทำตามข้อเสนอของฉัน ฉันอาจจะปล่อยพวกนายไป”
แต่ฉู่ชวิ๋นคิดแล้วคนกลุ่มนี้จะปล่อยให้รอดชีวิตไปไม่ได้ พวกมันเป็นตัวชั่วร้ายในยุทธภพ ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“ถ้าแกรับปากว่าจะปล่อยพวกเราไป ก็จงยื่นข้อเสนอออกมา ประตูวิญญาณสลายไม่มีทางปฏิเสธ” เปาเถียนเซียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นพวกนายเขียนเช็คให้ฉันก่อน” ฉู่ชวิ๋นจ้องมองกลุ่มคนฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเหยียดหยาม “จากนั้นค่อยตายก็แล้วกัน”
ฉู่ชวิ๋นสืบเท้าเดินเข้าไปหากลุ่มคนของประตูวิญญาณสลาย
กลอักษร ‘ฆ่า!’
ไอสังหารแผ่ออกมา พลังลมปราณในรูปทรงตัวอักษรพวยพุ่งถาโถมเข้าใส่กลุ่มคนตัวร้ายกาจ
ตู้ม!
ตรอกมืดที่คับแคบพลันสว่างจ้า กลุ่มคนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนร่างปลิวกระเด็นไปตามแรงกระแทกของการระเบิด
ลมปราณสีม่วงถูกซัดออกมาสว่างไสว ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ในตรอกอันมืดมิด พื้นดินสั่นสะเทือนแตกแยก แขนขามนุษย์กระจายเกลื่อนกลาด เลือดไหลนองราวกับเป็นสระน้ำขนาดย่อม
สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นใช้ในตอนนี้ก็คือพลังลมปราณรูปร่างมังกร ที่กำลังส่งเสียงร้องคำรามลั่น
มังกรยักษ์บินโฉบพุ่งเข้าไปหากลุ่มคนของประตูวิญญาณสลาย มันพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด ก่อนจะระเบิดตัวเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า
เลือดสาดกระจายเปรอะเปื้อนเต็มกำแพงทั้งสองฝั่ง แขนขามนุษย์ปลิวว่อนในอากาศ น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ณ จุดนี้ ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ทั้งห้าคนของประตูวิญญาณสลายจะยังคงรอดชีวิตอยู่ แต่พวกมันก็เหมือนกับไม่มีปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว
ชายชราทั้งห้าคนมาหันมองตากัน ก่อนจะหันหลังขวับ ใช้วิชาตัวเบากระโดดไปทางปลายตรอก
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ กระโดดตามไปดักขวางหน้าได้อย่างง่ายดาย
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนตกตะลึงสะเทือนขวัญ ความเร็วของชายหนุ่มผู้นี้นับได้ว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว
“พวกประตูวิญญาณสลายซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
ฉู่ชวิ๋นถามสิ่งที่ตนเองอยากรู้มากที่สุด ประตูวิญญาณสลายเคลื่อนไหวไร้ร่องรอย ยากที่จะหาตัวพบเจอ
ด้านนอกตรอกมืด มีรถยนต์สัญจรไปมา แสงไฟจากหน้ารถสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแวบเดียว แต่ชายชราทั้งห้าคนก็สามารถมองเห็นรูปร่างของฉู่ชวิ๋นได้อย่างชัดเจน
“จอมมารฉู่”
ทุกคนต่างร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“ฉันหายตัวไปจากยุทธภพ 3 ปีเต็ม ขอบคุณมากนะที่พวกแกยังจำฉันได้” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เปาเถียนเซียนและเพื่อนร่วมสำนักอีกสี่คนตัวสั่นเทา ก่อนหน้านี้ ฉู่ชวิ๋นแนะนำว่าตนเองคือจอมมาร พวกมันช่างโง่เง่าเสียจริงที่คิดไม่ถึงว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋น
“บอกที่ซ่อนตัวของประตูวิญญาณสลายมาซะ แล้วฉันจะไว้ชีวิตพวกแก” ฉู่ชวิ๋นยื่นข้อเสนอ
ดวงตาของชายชราทั้งห้าคนเป็นประกายสว่างไสว พวกมันหันมองหน้ากัน นี่คือเรื่องสำคัญระดับชี้เป็นชี้ตาย แต่สุดท้ายทุกคนก็ยังลังเล
ตู้ม!
ลมปราณสีม่วงพุ่งออกจากฝ่ามือของฉู่ชวิ๋น ตรงเข้าไปที่ร่างของหนึ่งในห้าผู้อาวุโส ลำแสงนั้นพุ่งทะลุตรงบริเวณหัวใจ ร่างคนล้มพับลงไปทันที
ตู้ม! ตู้ม!
ลมปราณสีม่วงอีกสองสายพุ่งเข้าใส่ร่างผู้อาวุโสอีกสองคน ผลลัพธ์ที่ได้คือตายคาที่ ดับอนาถ
“ฉันยอมบอกแล้ว”
เปาเถียนเซียนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ไม่สามารถต่อกรกับจอมมารฉู่ชวิ๋นได้เลยสักนิดเดียว
“ฉัน…นก็ยอมบอกแล้วเหมือนกัน”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพูดช้าเกินไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที ส่งผลให้ลมปราณสีม่วงถูกยิงเข้าใส่ร่างกายของเขาดับดิ้นไปแล้ว
“หลี่คุนแห่งประตูวิญญาณสลาย มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
เปาเถียนเซียนถามว่า “ถ้ายอมบอก แกจะปล่อยฉันไปจริงๆ ใช่ไหม?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ตกลง จอมมารฉู่ชวิ๋นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ฉันเชื่อว่าแกจะไม่หักหลังฉัน” เปาเถียนเซียนบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ ความจริงมันเข้าใจดีว่าเมื่อชีวิตตกอยู่ในกำมือของฉู่ชวิ๋น ก็คงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากร้องขอความเมตตาเท่านั้น
“ประตูวิญญาณสลายของเราซ่อนตัวอยู่ในเมืองชิงเฉิง ที่ภูเขาแห่งความเงียบ” เปาเถียนเซียนเปิดเผยความจริง
“หลี่คุนอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นสอบถาม
“อยู่ครับ” คนของประตูวิญญาณสลายอีกคนหนึ่งส่งเสียงตอบ
“จอมมารฉู่ชวิ๋น สิ่งที่ควรพูดฉันก็ได้พูดแล้ว ได้โปรดละเว้นชีวิตฉันด้วย จากนี้ไปขอสาบานว่าฉันจะใช้ชีวิตเงียบสงบ ไม่เป็นศัตรูกับคุณอีก” เปาเถียนเซียนเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม
“ดีมาก!” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“ขอบคุณมาก จอมมารฉู่” เปาเถียนเซียนประสานมือคำนับ ก่อนจะหันหลังกลับ และใช้วิชาตัวเบากระโดดกลับเข้าไปในตรอกมืด
ตู้ม! ตู้ม!
ลมปราณสีม่วงอีกสองสายพุ่งทะลุร่างของคนอีกสองคน
เปาเถียนเซียนพลันหยุดชะงักหันขวับมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความโกรธแค้น พูดว่า “ฉู่ชวิ๋น แกจะต้องตกนรก แกต้องไม่ตายดี!”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ เห็นร่างของอีกฝ่ายหนึ่งร่วงละลิ่วลงมาจากกลางอากาศ
“ฉันไม่ละเว้นวายร้ายแบบพวกแกแน่ พวกแกคิดว่าฉู่ชวิ๋นเป็นคนใจดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ แล้วร่างของเขาก็หายวับไป
…
เมื่อฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงสำนักภูผาทมิฬ เขาก็พบว่าการต่อสู้ยังไม่จบ
หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ทุกคนต่อสู้จบแล้ว เหลือแค่เพียงจิ่วโยวคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่จบ
“98” เด็กหญิงนับจำนวนรูที่กระบองช่อหนามทิ้งเอาไว้บนร่างกายของคู่ต่อสู้คนสุดท้าย
“99 ครั้งแล้วฆ่าเขาเถอะ!” ถางโร้วรู้สึกว่า 99 รูก็โหดร้ายมากพอแล้ว
“100”
กระบองช่อหนามปักเข้าไปที่ลำคอของชายฉกรรจ์ ทิ้งรูเลือดไว้ 100 รูพอดิบพอดี
ฉู่ชวิ๋นอดส่ายหัวไม่ได้ ชายฉกรรจ์คนนี้โชคร้ายเกินไปที่ตกไปอยู่ในกำมือของจิ่วโยว
“ฉันบอกแล้วไงว่าแกจะต้องมีรูบนร่างกายครบ 100 รู ฉันต้องทำให้ได้” จิ่วโยวกระซิบออกมาในขณะที่จ้องมองร่างของชายฉกรรจ์ล้มพับลงไป
“นายท่านครับ!” หยานอี้ยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข แม้ว่าในอากาศจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดก็ตาม “พวกประตูวิญญาณสลายที่หนีไปละครับ?”
“ตายหมดแล้ว” ฉู่ชวิ๋นพูด “ให้คนมาทำความสะอาดที่นี่ด้วย แล้วก็ปิดข่าวเอาไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าฉันกลับมาแล้ว”
หยานอี้ดวงตาเป็นประกายขณะพยักหน้ารับคำสั่ง
เมื่อกลับเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ ทุกคนก็นั่งประจำที่
“ท่านพี่ฉู่ชวิ๋น จะออกเดินทางอีกแล้วละ?” ถางโร้วเป็นคนชาญฉลาด คาดเดาออกว่าทำไมฉู่ชวิ๋นจึงสั่งให้หยานอี้ปิดข่าวเรื่องที่เขากลับมาแล้ว
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ตอบว่า “วังมังกรเพลิงถูกพวกสำนักเทวามรณะโจมตี ฉันเกรงว่าพวกของเหยียนชงอาจรับมือไม่ไหว ฉันคงต้องรีบไปที่นั่นให้เร็วที่สุด”
“ฉันไปด้วย” จิ่วโยวโพล่งขึ้น
ฉู่ชวิ๋นเอื้อมมือออกไปขยี้หัวเด็กน้อย แล้วพูดว่า “เธอต้องอยู่ที่นี่คอยดูแลถางโร้วเอาไว้”
จิ่วโยวทำปากยื่น แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
“พี่ฉู่ชวิ๋นจะไม่กลับไปดูที่ภูเขาเฉียนหลงก่อนเหรอคะ” ถางโร้วถาม
ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะ พูดว่า “ภูเขาเฉียนหลงมีม่านพลังคอยคุ้มครองอยู่ ไม่มีใครสามารถพังเข้าไปได้แน่ ตอนนี้วังมังกรเพลิงเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากกว่า”
หลังจากสั่งการทุกอย่างเรียบร้อย ฉู่ชวิ๋นก็เดินทางออกมาจากสำนักภูผาทมิฬอย่างเงียบงัน โดยใช้ประโยชน์จากความมืดมิดยามราตรี มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
ตอนนี้ ฉู่ชวิ๋นเลือกใช้ความเร็วเต็มพิกัดด้วยการเดินทางผ่านผืนป่า แม้จะได้ยินเสียงสัตว์ร้ายในป่าร้องคำรามอยู่ตลอดเวลา แต่พวกมันก็ไม่กล้าโจมตีเข้ามาหาเขาสักตัว
เมืองกู่เจียงอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากกว่าเดิม นับตั้งแต่ที่โลกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง พื้นดินก็ขยายตัวกว้างขวางมากขึ้นเรื่อย ๆ
ฉู่ชวิ๋นใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศ จะหยุดพักก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าผิวหนังแสบร้อนมากเกินไปเท่านั้น
เช้าตรู่วันต่อมา ฉู่ชวิ๋นก็มาถึงเมืองหลวง
เขารีบเดินทางไปยังวังมังกรเพลิง และระหว่างทางก็ได้พบเจอกับคนของสำนักเทวามรณะ
สำนักเทวามรณะอุดมไปด้วยชายหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดี มีปีกสีขาวอยู่บนแผ่นหลัง สวมใส่ชุดเกราะ พลังลมปราณแข็งแกร่ง ฝีมือการต่อสู้พิเศษเหนือธรรมดา
มนุษย์ปักษาเหล่านี้ภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่พวกมันสามารถบินได้ ปีกสีขาวราวหิมะพัดพาพวกมันลอยตัวไปในอากาศ ตามกระแสลมที่รุนแรง
พวกมันทำตัวตามปกติ บินอยู่เหนือหัวของคนอื่น บรรดาผู้คนที่อยู่บนพื้นดินไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
ในเมืองหลวง กองทหารลาดตระเวนมาพบเห็นว่ามนุษย์ปักษาพวกนี้บินอยู่ในระดับความสูงที่ต่ำมาก จึงประกาศเตือนให้พวกมันบินสูงมากขึ้นกว่านี้
แต่มนุษย์ปักษาจากสำนักเทวามรณะไม่เห็นมนุษย์อยู่ในสายตา พวกมันเพียงแค่ยิ้มเหยียดหยาม แล้วก็กางปีกบินเล่นต่อไป
ฉู่ชวิ๋นผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงเข้าไปแสดงตัวกับนายทหารกลุ่มนั้น
หัวหน้าของหน่วยลาดตระเวนประจำเมืองหลวงชื่อเจี่ยงเทาพลันเบิกตาโต เขาเพิ่งได้เห็นอะไรกันนี่? บัตรประจำตัวของฉู่ชวิ๋นทำให้นายทหารหนุ่มไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
“ฉู่ชวิ๋น ท่านนายพลฉู่ชวิ๋นงั้นเหรอ” เจี่ยงเทายกมือทำความเคารพโดยไม่รู้ตัว
ฉู่ชวิ๋นยกมือส่งสัญญาณบอกให้ชายหนุ่มเลิกทำความเคารพ ก่อนที่จะแบมือขอปืนกลของอีกฝ่ายมาถือไว้
ปังๆๆๆ…!
เสียงปืนกลดังสนั่นหวั่นไหว เปลวไฟแลบออกมาจากปลายกระบอกปืน มนุษย์ปักษาหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งถูกยิงเข้าที่ปีก ร่างพลันร่วงละลิ่วลงสู่พื้นโลก
โครม!
มนุษย์ปักษาหนุ่มผู้นั้นร่วงลงมาหน้ากระแทกพื้นอย่างแรง พื้นถนนที่เป็นหินแข็งถึงกับยุบตัวเป็นหลุมใหญ่
เจี่ยงเทาจ้องมองฉู่ชวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา นายทหารอีกหลายคนก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ
ก่อนหน้านี้ มีมนุษย์ปักษาบินเล่นอยู่บนท้องฟ้าสามตัว แต่ฉู่ชวิ๋นสอยร่วงลงมาแล้วได้หนึ่งตัว ยังคงเหลือมนุษย์ปักษาอยู่บนท้องฟ้าอีกสองตัว
ฉู่ชวิ๋นเดินถือปืนเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของมนุษย์ปักษาหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน เขาเหนี่ยวไกรัวยิงไม่ยั้ง ขนสีขาวปลิวกระจายเต็มท้องฟ้า
“หยุดนะ!!” มนุษย์ปักษาอีกสองตัวที่ยังอยู่บนท้องฟ้าร้องตะโกน ตัวที่เป็นผู้ชายร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธแค้น มันชี้มือมาที่ฉู่ชวิ๋นด้วยความอาฆาตพยาบาท “แก…แกกล้าทำร้ายคนของเผ่าพันธุ์เทวาได้ยังไง”
“เผ่าพันธุ์เทวา?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าเจี่ยงเทา “หรือว่าพวกมันจะเป็นคนของสำนักเทวามรณะ?”
เจี่ยงเทาขยับออกมาข้างหน้าและกระซิบตอบว่า “ท่านนายพลครับ ความจริงพวกมันเป็นแค่มนุษย์มีปีก แต่ชาวบ้านเข้าใจผิดเห็นว่าพวกมันมีปีกเหมือนเทวดาในตำนาน ก็เลยเรียกพวกมันว่าเผ่าพันธุ์เทวาครับ”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า พึมพำว่า “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นมนุษย์มีปีกหรือเทวดาจริง ๆ แต่ถ้ากล้ามาบินเล่นในเมืองหลวง ก็มีค่าเป็นแค่นกกระจอกเท่านั้น”
เจี่ยงเทาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง สมแล้วที่อีกฝ่ายได้รับการขนานนามว่าจอมมารฉู่ชวิ๋น แถมมังมีตำแหน่งเป็นถึงท่านนายพล ช่างจิตใจแข็งแกร่งสมคำเล่าลือจริงๆ
“ฉันขอเตือนไว้ก่อนนะ ห้ามใครเปิดเผยตัวตนของฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะโดนลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรง” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“รับทราบครับ” เจี่ยงเทาถอนหายใจ รับคำอย่างรวดเร็ว
“ไปเถอะ บอกให้ทุกคนเตรียมปืนให้พร้อม เราจะเด็ดปีกไอ้นกกระจอกอีกสองตัวที่เหลือให้ได้” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
เจี่ยงเทาตกตะลึงไม่น้อย พลันสีหน้าของเขาเข้มครึมมากขึ้น ตะโกนรับคำสั่งว่า “รับทราบครับ”
ปกติแล้วคนธรรมดาจะไม่กล้าต่อสู้กับผู้ที่เป็นจอมยุทธ์ ยิ่งยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมนุษย์มีปีกอีกต่างหาก
แต่เมื่อนายทหารหนุ่มได้จ้องมองฉู่ชวิ๋น เขาก็บอกกับตัวเองว่ายังต้องกลัวอะไรอีก? ฉู่ชวิ๋นคนนี้เป็นผู้ฆ่ามังกร เป็นผู้กำราบนักรบจากโลกตะวันตกอย่างราบคาบ แค่มนุษย์มีปีกไม่มีทางอยู่ในสายตาเด็ดขาด
“พี่น้องทุกคน เล็งเป้าหมายไปที่มนุษย์ปักษาทั้งสองตัวนั้น” เจี่ยงเทาออกคำสั่ง ขณะนี้ปืนกลของเขาอยู่ในมือของฉู่ชวิ๋น เจี่ยงเทาจึงต้องคว้าปืนของคนอื่นมาถืออีกที
“พวกเรายิง!”
หลังจากออกคำสั่งแล้ว เปลวไฟก็แลบแปลบจากปลายกระบอกปืน
ลูกกระสุนปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ยิงใส่มนุษย์ปักษาชายหญิงที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ
“พวกแกรนหาที่ตาย!”
มนุษย์ปักษาชายหญิงคำรามด้วยความโกรธแค้น พวกมันกระพือปีกอย่างรุนแรง ขนนกพุ่งกระจายร่วงลงมา เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเหล็กแหลม โดยที่มีเป้าหมายอยู่ที่พวกของฉู่ชวิ๋นบนพื้นดิน
ลูกกระสุนที่ยิงขึ้นไปถูกลมใต้ปีกพัดกระจายปลิวไปหมด
กลุ่มจอมยุทธ์ที่มามุงดูเหตุการณ์ร่ำร้องด้วยความตื่นกลัว ในขณะที่พากันหาที่กำบังขนนกที่พุ่งลงมา
พวกของเจี่ยงเทาสีหน้าแปรเปลี่ยนไป แต่พวกเขาเป็นทหาร ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ พวกเขากัดฟันยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
วูบ!
พลัน ม่านพลังสีม่วงปรากฏขึ้นห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้เหมือนเป็นกำแพงโปร่งแสง
ขนนกเหล็กพุ่งเข้ามาปะทะเข้ากับม่านพลัง ก่อนที่จะกระเด็นกลับออกไปและระเบิดหายวับไปในวินาทีต่อมา