จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 391 จิตวิญญาณของประเทศจีน
บทที่ 391 จิตวิญญาณของประเทศจีน
ฉู่ชวิ๋นนำเหยียนชงและทั้งสามกลับไปสำรวจความเสียหาย สีหน้าของพวกเขาทุกคนดูจะเคร่งเครียดไม่น้อย
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุครั้งนี้รุนแรงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีหลายกิโลเมตรพังราบเป็นหน้ากลอง
ต้นไม้โบราณและก้อนหินก้อนใหญ่ รวมถึงภูเขาลูกเล็ก ๆ ต่างก็ถล่มทลายไม่เหลือชิ้นดี ครึ่งหนึ่งของวังมังกรเพลิงพังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง
จักรพรรดิยาอดหลับอดนอนมามากกว่า 10 วัน เพื่อผลิตหญ้าจิตวิญญาณของปลอม แต่พอกำลังจะปิดประตูห้องเพื่อพักผ่อนเท่านั้นแหละ เพดานห้องก็ถล่มลงมาเสียงดังโครมคราม ส่งผลให้จักรพรรดิยาร้องอุทานด้วยความตกใจ และรีบวิ่งออกมาดูซากปรักหักพังของวังด้านนอกด้วยความเหลือเชื่อ
แต่โชคดีที่ห้องพักของเขาไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก มันตั้งอยู่ในส่วนของวังที่ปลอดภัย ไม่เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิยาคงต้องถูกพายุลูกนั้นกลืนกินเข้าไปด้วยเป็นแน่แท้
“จักรพรรดิยา” เหยียนชงหันไปเห็นเข้าพอดีก็ยกมือป้องปากเรียกอีกฝ่ายให้วิ่งมาหา
เมื่อจักรพรรดิยาหันมาตามเสียงเรียก เขาก็พบว่าฉู่ชวิ๋นมาปรากฏกายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“นายท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย?” ผู้เป็นหมอยาประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้พบเจอนายท่านเป็นเวลา 3 ปีเต็ม
“ฉันเพิ่งกลับมานี่แหละ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มตอบกลับ
เมื่อเห็นสภาพของพื้นที่โดยรอบแล้ว จักรพรรดิยาก็พูดอะไรไม่ออก พื้นที่หลายกิโลเมตรมีแต่ความเสียหายยับเยิน ไม่ว่ามองไปทางไหนก็พบเจอแต่ความพินาศย่อยยับ
ในที่สุดพายุหมุนเหล่านั้นก็สลายตัวไปแล้ว
คราวนี้มนุษย์ปักษาได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง จำนวนพลสองในสามจากทั้งหมดของพวกมันต้องตกตายไปในพายุ เช่นเดียวกับบรรดาผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์
ส่วนผู้อาวุโสลำดับที่ 9 และบริวารของมัน สามารถบินหนีไปได้อย่างหวุดหวิด
เปลวไฟในดวงตาของฉู่ชวิ๋นลุกโชน เขามองเห็นว่ามีมนุษย์ปักษาอีกกลุ่มหนึ่งที่นอนบาดเจ็บอยู่ในระยะไม่กี่กิโลเมตร พวกมันบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะหลบหนีได้อีก
ฉู่ชวิ๋นพาเหยียนชงกับคนอื่น ๆ ออกไปสำรวจก็พบมนุษย์ปักษาที่บาดเจ็บสาหัสจำนวนไม่น้อย นับดูด้วยตาเปล่าก็สิบกว่าตัวแล้ว
“นายท่านครับ เราจะเอาไงกับพวกมันดี” เหยียนชงถาม
ในเมื่อฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว ทุกคนก็ต้องรอฟังคำสั่งจากเขาผู้เดียวเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดไปสักครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “เอาตัวพวกมันกลับมารักษา เก็บไว้ใช้ประโยชน์ทีหลัง”
ฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว คนของวังมังกรเพลิงไม่จำเป็นต้องหลบหนีอีกต่อไป เหยียนชงเรียกระดมพลลูกศิษย์ให้กลับมาขนย้ายมนุษย์ปักษาที่บาดเจ็บเหล่านี้เพื่อกลับไปรับการรักษาตัว
พื้นที่ส่วนใหญ่ของวังมังกรเพลิงเสียหายหนัก ต้องได้รับการซ่อมแซม
ฉู่ชวิ๋นรำพึง “เสียหายไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย”
ชายหนุ่มไม่คิดว่าอานุภาพของพายุหมุนทั้งสองลูกนั้นจะน่ากลัวถึงขั้นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีมนุษย์ปักษาส่วนหนึ่งที่บินหนีไปได้
“คิดอะไรอยู่ทำไมมอบของพวกนี้ให้พวกมันไปได้ง่าย ๆ ฮะ?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เขาเสียเวลาเก็บรวบรวมหญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้นานหลายปี โชคดีที่มาทันตอนพวกมันกำลังจะกลับ ฉู่ชวิ๋นได้เก็บบรรดาขวดหยกที่ตั้งอยู่บนพื้นดินใส่แหวนมิติเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นมูลค่าความเสียหายคงจะใหญ่หลวงกว่านี้มาก
พวกของเหยียนชงหันมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มกว้าง
“นายท่านครับ หญ้าจิตวิญญาณพวกนั้นเป็นของปลอมครับ” เหยียนชงพูด
“ของปลอม?” ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ เปิดขวดหยกหยิบหญ้าจิตวิญญาณออกมาหนึ่งกำ ว่ากันตามความรู้สึก เขาคิดว่ามันเป็นของจริง
“แต่มันเหมือนของจริงมากเลยนะ!” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ต้องยกความดีความชอบให้จักรพรรดิยานั่นแหละครับ” เหยียนชงกล่าว
“ไม่เลวเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความพอใจ หลังจากนั้นเขาก็คิดว่าถ้าสามารถนำหญ้าจิตวิญญาณของปลอมเหล่านี้ออกวางจำหน่ายได้คงจะดีไม่น้อย เนื่องจากการซ่อมแซมวังมังกรเพลิงจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และมันควรเป็นเงินที่มาจากผู้อื่นไม่ใช่ของพวกเขาเอง
“ลองคิดดูให้ดีนะ ถ้ามีสำนักไหนอยากได้หญ้าจิตวิญญาณขึ้นมา พวกมันคงจะต้องคิดถึงเราแน่ ๆ”
พวกของเหยียนชงมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย แต่สุดท้าย ก็เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายท่านในที่สุด
“นายท่านครับ พวกสำนักเกิดใหม่ขาดแคลนหญ้าจิตวิญญาณแบบนี้มากเลยนะครับ” เหยียนชงว่าด้วยความตื่นเต้น
“อย่าเพิ่งเลย ตอนนี้เก็บเอาไว้ก่อน รอให้มีโอกาสค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่อีกที” ฉู่ชวิ๋นคิดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย ก็หันไปมองหน้าจักรพรรดิยา “หากนายมีเวลา ก็ทำหญ้าจิตวิญญาณปลอมแบบนี้ขึ้นมาให้เยอะ ๆ รับรองเลยว่าเดี๋ยวพวกเรารวยไม่รู้เรื่องแน่นอน”
พวกของเหยียนชงพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนว่าจะต้องมีคนอดหลับอดนอนอีกแล้วสินะ
ขั้นตอนต่อไปก็คือการซ่อมแซมวังมังกรเพลิง
ว่ากันตามตรงเรื่องเงินไม่เป็นปัญหาเลย ในขณะนี้ ฉู่ชวิ๋นมีทั้งเงินและอำนาจ เขาสามารถทุบวังทิ้งและสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหลังได้อย่างง่ายดาย
ในเวลา 2 เดือน วังมังกรเพลิงก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เรียบร้อย
วันนี้ ฉู่ชวิ๋นเดินทางมาเข้าพบหัวหน้าหมายเลข 1
ปัจจุบัน หัวหน้าหมายเลข 1 มีพลังขั้นปรมาจารย์แล้ว สีหน้าดูไม่แก่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู วันนั้นที่ดูถ่ายทอดสด ฉันคิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเธอแน่นอน” หัวหน้าหมายเลข 1 มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาแต่ไหนแต่ไร นับว่าเป็นบุคลิกของผู้ที่ดำรงอยู่ในอำนาจมาอย่างยาวนาน ยิ่งตอนนี้ได้ฝึกฝนวรยุทธ์ ก็เรียกได้ว่าไม่ต่างไปจากเสือติดปีก
“จริงเหรอครับ?” ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงหัวเราะ แต่การแปลงโฉมของเขาเป็นเคล็ดวิชาลับที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่ขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ก็ยังมองไม่ออก นับประสาอะไรกับหัวหน้าหมายเลข 1 ที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์เท่านั้น แล้วชายชราคนนี้มองออกได้อย่างไร?
หัวหน้าหมายเลข 1 ยิ้มแห้ง “ฉันก็แค่เดาไปเรื่อยน่ะ ท่าทางและวิธีต่อสู้ของเธอมันชัดเจนเกินไป ไม่มีใครเลียนแบบได้อีกแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า รู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมีเหตุผล
“แต่ยังไงก็เถอะ วันนั้นผมสัญญากับทหารกลุ่มนั้นเอาไว้ว่าถ้าพวกเขาชนะ คุณจะต้องมามอบเหรียญกล้าหาญให้พวกเขาเอง” ฉู่ชวิ๋นจำคำสัญญาที่ตนเองให้ไว้กับเจี่ยงเทาได้ดี
“ฉันเรียกเธอมาที่นี่วันนี้ก็เพราะเรื่องนี้แหละ” หัวหน้าหมายเลข 1 ตอบ
จงเหรินกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “คุณฉู่ครับ นายทหารกลุ่มนั้นอยู่ที่นี่แล้ว ท่านผบ.อยากจะมอบเหรียญกล้าหาญให้พวกเขาพร้อมกับคุณ”
“ไม่มีปัญหา” ฉู่ชวิ๋นเห็นด้วย เจี่ยงเทากับลูกน้องเป็นนายทหารที่มีจิตใจกล้าหาญ สมควรที่จะได้รับความดีความชอบ
“ท่านผบ.สั่งให้มีการถ่ายทอดสดงานมอบเหรียญกล้าหาญครั้งนี้ไปทั่วประเทศ เรื่องตัวตนของคุณจะมีปัญหาหรือเปล่าครับ?”
ฉู่ชวิ๋นยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาหรอก ตอนนี้พวกมนุษย์ปักษามันก็รู้ตัวจริงฉันกันหมดแล้ว เอาเป็นว่าเราอาศัยจังหวะนี้ ประกาศให้พวกมันรู้เลยก็แล้วกันว่าฉันกลับมาแล้ว อย่าได้คิดมาอาละวาดในดินแดนของมนุษย์อีก”
“ประเทศจีนโชคดีจริง ๆ ที่มีเธอ” หัวหน้าหมายเลข 1 พูด
“ไม่ต้องชม ผมหรอกครับ ถ้าจะชมผม เปลี่ยนเป็นช่วยจ่ายค่าซ่อมแซมวังมังกรเพลิงให้ผมดีกว่า” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
“แค่ก ๆ ๆ …” หัวหน้าหมายเลข 1 สำลักอากาศขึ้นมาทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องหน้าตาเฉย “พวกนั้นรอเราอยู่ รีบไปกันดีกว่า”
“…” ฉู่ชวิ๋นหน้ากระตุกเล็กน้อย พอพูดเรื่องเงินเข้าหน่อยตาแก่นี่รีบวิ่งหนีเชียวนะ ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวต้องตะโกนไล่หลังไปว่า “ผมถามคุณยังไม่ตอบเลยนะ จะช่วยชดใช้ค่าเสียหายของวังมังกรเพลิงให้ผมบ้างหรือเปล่า?”
“ฉู่ชวิ๋น ฉันไม่มีเงินหรอกนะ เงินทุกหยวนของฉันเป็นของแผ่นดินกับประชาชนทั้งนั้น” หัวหน้าหมายเลข 1 หยุดเท้าและหันกลับมามองที่ฉู่ชวิ๋น “เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะหักจากเงินเดือนให้ก็แล้วกัน ฉันจะช่วยสนับสนุนค่าซ่อมแซมวังของนายซัก 10,000 หยวน นั่นคือครึ่งหนึ่งของเงินเดือนฉันเลยนะ”
ฉู่ชวิ๋นชะงักไปทันที ก่อนจะยกนิ้วโป้งคว่ำลง “ใจร้ายเกินไปแล้ว”
“คุณฉู่ครับ ท่านผบ.ไม่ได้โกหก เงินเดือนของพวกเราไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย แต่ตัวผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง เดี๋ยวผมช่วยค่าซ่อมอีก 20,000 หยวนก็แล้วกัน” จงเหรินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ให้ตายสิ” ฉู่ชวิ๋นรำพึงด้วยความเศร้า “ลูกศิษย์กับอาจารย์นี่ขี้ตืดเหมือนกันเลย ขออีกซัก 30,000 ไม่ได้หรือไง?”
“แค่นี้ก็เยอะแล้วนะ เมื่อคิดจะเป็นวีรบุรุษก็หลีกเลี่ยงการเสียสละไม่ได้ เราไม่มีทางเบิกงบมาสั่งจ่ายเรื่องแบบนี้ได้หรอก” หัวหน้าหมายเลข 1 กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่งสอน
“…” ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว “คุณก็แก้ไขกฎหมายให้มันเบิกงบได้สิ”
“จะทำแบบนั้นได้ไงกันเล่า”
“พูดเป็นเล่น” ฉู่ชวิ๋นเดินฟึดฟัดตรงไปที่ประตูด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
หัวหน้าหมายเลข 1 กับจงเหรินเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ เดินตามหลังไปติด ๆ
พิธีมอบเหรียญกล้าหาญจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่ของศาลาว่าการเมือง และมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศจีน
บรรยากาศของพิธีมอบเหรียญกล้าหาญเต็มไปด้วยมนต์ขลัง ทหารหลายร้อยนายยืนเข้าแถวกันพร้อมกับสะพายอาวุธปืนบรรจุกระสุน เช่นเดียวกับนักข่าวที่มารวมตัวกันจากทั่วประเทศ
หัวหน้าหมายเลข 1 ทำการมอบเหรียญกล้าหาญให้แก่นายทหารผู้โด่งดัง
พวกของเจี่ยงเทายืดอกด้วยความภาคภูมิใจ สายตาจ้องมองกล้องถ่ายทอดสดด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อพิธีมอบเหรียญเสร็จสิ้นแล้ว หัวหน้าหมายเลข 1 ฉู่ชวิ๋น กับจงเหรินก็เดินไปสมทบกับกลุ่มนายทหารระดับชั้นผู้ใหญ่
เมื่อทุกคนได้เห็นการปรากฏตัวของหัวหน้าหมายเลข 1 ก็เกิดเป็นกระแสตื่นเต้นขึ้นในทุก ๆ สื่อ เพียงแค่ได้พบเห็นชายชราผู้นี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ทุกคนก็รู้สึกปลาบปลื้มปีติอิ่มเอมใจแล้ว
นายพลชราผู้หนึ่งขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า นายทหารกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักรบที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ที่ข้างเอวพกปืนกระบอกเขื่อง โดดเด่นสะดุดตา ไม่ว่าเคลื่อนกายไปยังจุดใดก็จะทำให้พื้นที่ตรงนั้นเงียบกริบไปทันที
“ทุกคนคงรู้ดีว่าเมื่อสองเดือนที่แล้ว นายทหารทั้ง 9 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมกลุ่มนี้ สามารถคว้าชัยชนะเหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษามาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมภูมิใจในตัวของพวกเขาเป็นอย่างมาก นี่คือวีรบุรุษของประเทศจีนอย่างแท้จริง” คำพูดของนายพลชรารวบรัดก็จริง แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชวนซาบซึ้ง
บังเกิดเสียงตบมือดังเกรียวกราวในห้องโถงใหญ่
ยังมีนายพลชราอีกหลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาพูดบนเวทีด้วยความตื่นเต้น
“ต่อจากนี้ไป ผมจะขอเชิญให้หัวหน้าหมายเลข 1 ขึ้นมาพูดบ้างนะครับ”
ทุกคนนิ่งเงียบไปในพริบตา
หัวหน้าหมายเลข 1 ก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พูดเสียงดังฟังชัดว่า “ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าโลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง มีสัตว์ประหลาดหลายชนิดปรากฏตัวจะว่าไปแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก ส่วนมนุษย์ก็อ่อนแอ แต่ถึงอย่างนั้น ประเทศจีนของเราเคยหวาดกลัวผู้ใดเสียเมื่อไหร่? ตลอดอารยธรรม 5,000 ปีของประเทศจีน พวกเราต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูผลลัพธ์ที่ออกมาสิ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครมาจากไหน แต่สุดท้ายชัยชนะก็จะตกเป็นของพวกเราเสมอ ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งกว่าเราสักกี่เท่า ทหารชาวจีนของพวกเราก็จะปกป้องแผ่นดินเกิดและประชาชนทุกคน ด้วยชีวิตของพวกเขาเอง”
โอ้โห! เสียงตบมือดังเกรียวกราวขึ้นอีกครั้ง
“สองเดือนที่แล้ว ทุกคนคงได้เห็นถึงชัยชนะที่สวยงามของนายทหารกลุ่มนี้ แน่นอนว่าพวกคุณคงได้เห็นแล้วว่าพวกเขามีความสามารถมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหลังชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ที่ได้มาจากการต่อสู้ระหว่างคนธรรมดากับกลุ่มมนุษย์ปักษาในครั้งนี้ หลายท่านคงอยากจะทราบแล้วว่าเขาเป็นใคร ผมขอตอบตรงนี้ก่อนก็ได้ว่า เขาคือจิตวิญญาณของประเทศจีนครับ”
ฉู่ชวิ๋นพึมพำทบทวนคำว่าจิตวิญญาณของประเทศจีน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถหลบเลี่ยงภารกิจสำคัญในการปกป้องประเทศจีนได้เลย
“แต่จิตวิญญาณของประเทศจีนคือใครกันแน่? ผมจะให้เขาเปิดเผยตัวตนเดี๋ยวนี้แหละ” หลังจากพูดจบแล้ว หัวหน้าหมายเลข 1 ก็สั่งให้ฉู่ชวิ๋นเดินมายืนอยู่กลางเวทีเพื่อกล่าวอะไรสักหน่อย
ฉู่ชวิ๋นขยับเท้าออกไปข้างหน้า สีหน้าของเขายิ้มแย้มสบายใจ
ทุกคนสับสนไปหมดแล้ว บรรดาผู้คนที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ทั้งประเทศก็สับสนกันหมดแล้ว สองเดือนก่อนนายทหารผู้บัญชาการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา มีหน้าตาราบเรียบธรรมดา ไม่ได้ดูหนุ่มแน่นและหล่อเหลาเหมือนชายหนุ่มคนนี้เลย
แน่นอนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยจำหน้าฉู่ชวิ๋นได้ คนเหล่านั้นพร้อมใจกันอุทานคำว่าเทพเจ้าฉู่ชวิ๋นด้วยความตื่นเต้น
ว่ากันตามตรง นายทหารทั้ง 8 คนที่ยืนอยู่ข้างเจี่ยงเทาล้วนแล้วแต่มึนงงไม่แพ้กัน เนื่องจากชายหนุ่มคนนี้ ไม่ใช่ท่านนายพลของพวกเขาในวันนั้น
มีเพียงแต่เจี่ยงเทาผู้เดียวเท่านั้นที่จ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความตื่นเต้นยินดี ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันปลื้มปริ่มเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
“บางคนรู้จักผม บางคนไม่รู้จักผม ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อว่า ฉู่ชวิ๋น!”
ฉู่ชวิ๋นเป็นนามแห่งความสยองขวัญ
ฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น
ชื่อนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
บรรดามนุษย์ปักษาในวันนั้นต้องพบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะพวกมันไม่คาดคิดว่าฉู่ชวิ๋นจะกลับมาแล้ว
“คนที่วางแผนการต่อสู้ในวันนั้นคือผมเอง แต่วันนั้นผมจำเป็นต้องปลอมแปลงใบหน้าเพื่อปิดบังตัวตนไม่ให้ใครจำได้ แต่วันนี้ ผมเลือกที่จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเอง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอก ผมแค่อยากจะบอกไอ้สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์พวกนั้นว่า โลกนี้เป็นของมนุษย์ พวกแกเป็นแค่กาฝากที่มาอาศัยอยู่ จงเจียมตัวเอาไว้บ้างเมื่อเข้ามาอยู่ในดินแดนของมนุษย์ ฉันได้ยินมาว่าสำนักนกยูงปีศาจฆ่าคนตายไปครึ่งเมือง เรื่องนี้ฉันต้องไปคิดบัญชีแน่นอน หลังจากนั้น ก็จะถึงคิวของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า พวกแกฆ่าคนไปหลายพันคนเพื่อที่จะได้ยึดครองเมืองเป็นรังของตัวเอง พวกแกรอฉันคนนี้ได้เลย!”