จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 392 ขูดเลือดขูดเนื้อ
บทที่ 392 ขูดเลือดขูดเนื้อ
สำนักนกยูงปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าสังหารมนุษย์ไปหลายพันคนเพื่อเข้ายึดครองที่อยู่อาศัย
มีคนเคยถ่ายคลิปวีดีโอและนำมาโพสต์ลงโลกออนไลน์มากมาย
นกยูงปีศาจสยายปีกกว้าง ปกคลุมท้องฟ้าและดวงตะวัน ปากของมันเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด คนกว่าครึ่งเมืองหลายพันคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กและผู้หญิง ถูกพวกมันจับกินด้วยความอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง
“มนุษย์ผอมแห้งแบบนี้ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที” นี่คือสิ่งที่นกยูงปีศาจพูดออกมาหลังจากกินคนไปหลายคน
ฝ่ายเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าก็สังหารคนไปทั้งเมือง
“ข้าเกลียดมนุษย์ โลกนี้จะต้องเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าเท่านั้น”
ทั่วเมืองอาบไปด้วยเลือดสีแดงสด ราชามนุษย์หมาป่าพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์พวกนี้แข็งแกร่งมาก บรรดาจอมยุทธ์ทำได้เพียงก่นด่าพวกมันในโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นได้ยินความชั่วร้ายของพวกมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องการส่งคำเตือนให้พวกมันเตรียมตัวรับชะตากรรมเอาไว้
ในโลกยุคปัจจุบัน เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์กำเริบเหิมเกริม ไม่เคยหลบหนีผู้ใด คงจะมีเพียงแค่ฉู่ชวิ๋นเท่านั้นที่จะกล้าพูดออกมาแบบนี้
“สำนักนกยูงมรณะ เผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า รีบไสหัวออกไปจากเขตแดนของมนุษย์เดี๋ยวนี้ อย่าบีบบังคับให้ฉันต้องทำลงมือ” ฉู่ชวิ๋นเตือนพวกมันอีกครั้ง
ในเมื่อเขารับปากกับจักรพรรดิอ๋าวฮวงไว้แล้วว่าจะปกป้องโลกใบนี้ ฉู่ชวิ๋น ก็จะต้องทำอย่างสุดความสามารถ ซึ่งเป็นความคิดที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเขาเสมอมา อีกอย่าง ฉู่ชวิ๋นไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้ ฉายาจักรพรรดิผู้บ้าเลือดของเขาไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน มีเมืองโบราณที่ชื่อว่าหยุนเฉิง ที่นี่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่อีกต่อไป มันกลายเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว
บนท้องถนนเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวแหลมคมเต็มปาก นี่คือเมืองที่ตกเป็นรังของมนุษย์หมาป่า ซึ่งกลายเป็นสรวงสวรรค์สำหรับสัตว์ประหลาดทั้งหลาย
ณ วังที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ มนุษย์หมาป่าซึ่งมีรัศมีสีน้ำเงินแผ่ออกมาจากร่างกายตลอดเวลา ใช้ดวงตาสีแดงก่ำของมันจ้องมองไปที่จอโทรทัศน์ ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการพูดบนเวทีของฉู่ชวิ๋นอยู่ในขณะนี้
เปรี้ยง!
พลังลมปราณสีน้ำเงินพุ่งออกไปทำลายหน้าจอโทรทัศน์แตกกระจาย
“จอมมารฉู่ชวิ๋น มันโอหังเกินไปแล้ว”
ในสถานที่ที่คล้ายคลึงกัน แต่เป็นทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ในวังที่หรูหรา ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งกำลังหัวเราะเยาะใส่หน้าจอโทรทัศน์
“จอมมารฉู่ชวิ๋น แค่จัดการพวกมนุษย์ปักษาได้หน่อยเดียว ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้วหรือไง?” ดวงตาของมันเป็นประกายเย็นชา ปราศจากความรู้สึกใดทั้งสิ้น
เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์อื่น ๆ ก็ตอบรับต่อคำพูดของฉู่ชวิ๋นในลักษณะเดียวกันนี้ พวกมันเชื่อมั่นมาเสมอว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด นับตั้งแต่โลกยุคโบราณถือกำเนิดขึ้นมา ดังนั้น จึงไม่มีทางเลยที่จะหวาดกลัวคำเตือนของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอในสายตาของพวกมัน
บังเกิดเสียงตบมือดังเกรียวกราวในห้องโถงใหญ่
ฉู่ชวิ๋น นายพลฉู่ชวิ๋น เขาคือจิตวิญญาณแห่งประเทศจีน
ชายหนุ่มประกาศคำเตือนออกไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
ฉู่ชวิ๋นยังคงมีท่าทางสบาย ๆ ดวงตาเป็นประกายสดใส ชายหนุ่มกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่และกล่าวต่อ “ผมจะขอพูดคำสุดท้ายแก่ทหารชาวจีนทุกท่าน โปรดยึดมั่นในเจตนาแรกเริ่มและภารกิจของทุกคน สัตว์ประหลาดพวกนี้แข็งแกร่งก็จริง แต่พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอ ผลลัพธ์มีได้เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าพวกมันกล้ามากำแหงกับพวกเรา ไอ้สัตว์ประหลาดพวกนี้จะต้องตายให้หมด!”
“เสียชีพไม่เสียสัตย์ จงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิด! พูดได้ดีมาก” ชายชราท่าทางใจดีคนหนึ่งลุกขึ้นยืนปรบมือเป็นคนแรก
นายทหารชาวจีนที่เหลืออยู่จิตใจฮึกเหิม พร้อมใจกันตบมือเสียงดังกระหึ่ม
หลังจากนั้น ชายชราท่าทางใจดีก็นำเหรียญรางวัลจากกองทัพมามอบให้แก่พวกของเจี่ยงเทา นี่คือเหรียญรางวัลที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ มีตัวอักษรคำว่าผู้พิทักษ์สลักเอาไว้ด้านบนอย่างสวยงาม
“นี่คือเหรียญที่ถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ มีแต่ชายชาติทหารตัวจริงเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง” ชายชราพูด
เมืองจีนไม่เคยมีเหรียญรางวัลพิเศษแบบนี้มาก่อน นี่จึงถือเป็นเกียรติสำหรับนายทหารกลุ่มนี้อย่างยิ่ง
ในขณะนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าบรรดานายทหารที่อยู่ในห้องโถงใหญ่จะรู้สึกปลื้มปิติขนาดไหน แม้แต่นายทหารที่รับชมการถ่ายทอดสดอยู่ ก็ยังร้องตะโกนออกมาด้วยความฮึกเหิม และตั้งใจว่าสักวันหนึ่งตนเองจะได้ครอบครองเหรียญทองเช่นนี้บ้าง
ฉู่ชวิ๋นมีความสามารถในการให้แรงบันดาลใจและปลุกใจผู้คนอยู่แล้ว แต่ชายชราท่าทางใจดีผู้นั้นก็มีความสามารถทางด้านนี้ไม่แพ้เขาเลย
เหรียญทองทำให้ทหารชาวจีนมีความมุ่งมั่น อยากจะหยิบจับอาวุธปืนออกไปเข่นฆ่าบรรดาสัตว์ประหลาดเสียเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
พิธีมอบเหรียญรางวัลจัดขึ้นอย่างรวบรัด แต่ยิ่งใหญ่สมเกียรติ
เมื่อพิธีมอบเหรียญผ่านพ้นไปแล้ว ฉู่ชวิ๋นเดิมทีตั้งใจจะแอบหนีกลับ แต่ชายชราท่าทางใจดีกลับเดินมาประกบตัวเขาเอาไว้
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ชายชราคนนั้นหันไปส่งสายตาให้จงเหริน
“คุณฉู่ครับ เรื่องของเรื่องก็คือ วันนั้นคุณมอบกระสุนให้กับพวกของเจี่ยงเทา พวกเขาถึงสามารถฆ่ามนุษย์ปักษาเหล่านั้นได้ เราจึงอยากรู้ว่ากระสุนพวกนั้นมันเป็นอะไรกันแน่ครับ? และพอมีหนทางใดบ้างที่ประเทศเราจะผลิตกระสุนแบบนี้ขึ้นมาอีกในจำนวนมหาศาล เพื่อเอาไว้ใช้เวลาที่ปะทะกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นอีกน่ะครับ” จงเหรินอธิบาย
ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง ฉู่ชวิ๋นคิดเอาไว้อยู่แล้ว
“ขอตอบตามตรง กระสุนพวกนั้นบรรจุพลังลมปราณของผมเอาไว้ครับ” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“คุณฉู่ เราสามารถผลิตกระสุนแบบนี้ในจำนวนมากได้ไหม?” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงมีความหวัง
ฉู่ชวิ๋นรีบส่ายหน้าตอบกลับไปทันทีว่า “ถ้าคุณอยากจะให้ผมรับหน้าที่ผลิตกระสุนพวกนั้น ชีวิตนี้ผมก็คงก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นอีกแล้ว”
แต่ในทันใดนั้นเอง ฉู่ชวิ๋นก็เหมือนกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย ตราบใดที่ยังสามารถใช้เขตแดนได้อยู่
“หรือว่าคุณคิดหาทางแก้ได้แล้ว?” ชายชราเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฉู่ชวิ๋นก็ถามออกมา
“ใช่แล้วครับ” ฉู่ชวิ๋นดูเหมือนจะเก้อกระดากเล็กน้อย “แต่วังมังกรเพลิงเพิ่งจะได้รับการซ่อมแซมไปชุดใหญ่ ตอนนี้พวกเราไม่มีเงิน ผมคงต้องคิดวิธีหาเงินให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก”
ชายชราท่าทางใจดีกับจงเหรินกลอกตามองบน พวกเขาเข้าใจได้ว่าการซ่อมแซมวังแบบนี้ อาจทำให้ใครหลายคนล้มละลายได้เลยด้วยซ้ำ แต่คำว่าความยากจนไม่มีทางเข้ามาย่ามกรายฉู่ชวิ๋นได้อย่างแน่นอน
พวกเขาทราบดีว่าฉู่ชวิ๋นมีเจตนาขูดเลือดขูดเนื้องบประมาณจากกองทัพต่างหาก
“เชิญพวกคุณคุยกันไปตามสบายนะครับ ผมขอไปนั่งคิดวิธีหาเงินก่อน สงสัยป่านนี้เจ้าหนี้มาออกันอยู่เต็มหน้าวังมังกรเพลิงหมดแล้วมั้งเนี่ย” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็หันหลังเดินออกไป
ชายชราท่าทางใจดีกับจงเหรินใบหน้ากระตุก นี่มันคือการข่มขู่กันซึ่งหน้าชัด ๆ เมื่อจอมมารฉู่ชวิ๋นบอกมาว่าอยากได้เงิน มีใครบ้างที่กล้าปฏิเสธ?
“พ่อหนุ่มรอฉันก่อน” ชายชราท่าทางใจดีพูดออกไปในที่สุด
ฉู่ชวิ๋นชะงักกึก หันหน้ากลับมา พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “กองทัพมีกฎระเบียบห้ามนำงบประมาณมาใช้จ่ายกับเรื่องแบบนี้ นี่คือกฎที่พวกคุณเป็นคนออกกันเอง ไม่ต้องแหกกฎเพื่อผมก็ได้ครับ ผมเป็นประชาชนคนดีที่พร้อมทำตามกฎหมายเสมอ”
ชายชราจ้องมองฉู่ชวิ๋นและอยากจะเข้าไปต่อยหน้าชายหนุ่มคนนี้ใจจะขาด ข่มขู่กันแบบนี้ยังมีหน้ามาพูดถึงเรื่องกฎหมายอยู่อีกหรือ…ชายหนุ่มคนนี้เข้าใจว่าตนเองเป็นคนที่ใครก็แตะต้องไม่ได้หรือไง?
“เอาเถอะ เดี๋ยวฉันจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมวังมังกรเพลิงทั้งหมดเอง” ชายชราท่าทางใจดีพูดออกมาด้วยความจำใจ
“ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้ครับ” ฉู่ชวิ๋นว่า
“ทำไมอีกล่ะ?” ชายชราถามด้วยความไม่เข้าใจ
ฉู่ชวิ๋นให้คำตอบว่า “ผมกลับไปช่วยพวกเขาช้าเกินไป พวกมนุษย์ปักษามันก็เลยขโมยหญ้าจิตวิญญาณในวังมังกรเพลิงไปหมดแล้ว คนของผมเมื่อไม่มีหญ้าจิตวิญญาณ ก็ไม่สามารถฝึกวิชาได้ ของอย่างนี้ต่อให้มีเงินก็ไม่เพียงพอ ผมอยากได้หญ้าจิตวิญญาณหมื่นกำ พร้อมกับสมุนไพรรักษาโรค และยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บด้วยครับ”
ชายชราท่าทางใจดีไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน สีหน้าของเขาถึงกับเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว
“วังมังกรเพลิงของคุณมีคนอยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน จะเอาของพวกนั้นไปทำไมตั้งเยอะแยะ? เอาไปขนาดนั้นจะกินกันหมดหรือ?”
“นอกจากวังมังกรเพลิงแล้ว ก็ยังมีสำนักภูผาทมิฬ สำนักเทียนหวู่ และภูเขาเฉียนหลง ไม่ว่าที่ไหนต่างก็ขาดแคลนทรัพยากรกันหมดครับ” ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นนับนิ้วสิ่งที่ขาดแคลนอีกหลายอย่าง ก่อนที่จะบ่นว่า “คุณเคยพูดไว้เองนะครับว่า เราไม่สามารถดูแลคนได้ทั้งโลก เราจำเป็นต้องดูแลคนของเราให้ดีที่สุดก่อน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายจริง ๆ”
ชายชราท่าทางใจดีกับจงเหรินหันมองหน้ากัน ฉู่ชวิ๋นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“บอกมานะ พ่อหนุ่มรู้เรื่องนี้มานานหรือยัง?” ชายชราสอบถาม
“รู้เรื่องอะไรครับ?” ฉู่ชวิ๋นทำหน้าไม่เข้าใจ
เมื่อพบว่าฉู่ชวิ๋นกำลังแกล้งทำไขสือ ชายชราก็รู้สึกปวดหัวตึบ เขาได้คำตอบแล้วว่าฉู่ชวิ๋นคงทราบเรื่องนี้มานานแล้ว
“ก็ได้ ฉันขอยอมรับว่ากองทัพแอบกักตุนทรัพยากรเหล่านี้เอาไว้” ชายชราท่าทางใจดีพูด
“อ้าว?” ฉู่ชวิ๋นยังคงทำหน้าประหลาดใจในขณะที่กล่าว “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับเนี่ย?”
“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลยน่า” ชายชราตวาดเสียงเขียว
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ความจริงเขาเพิ่งทราบเรื่องนี้ได้ไม่นาน ตอนที่กองทัพประดับยศนายพลให้แก่เขา ฉู่ชวิ๋นก็ได้ควบคุมกองทหารที่มีนามว่าหน่วยรบมังกรเหล็ก ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมอบให้เขาดูแลโดยตรง แต่ด้วยเรื่องราวหลายอย่างที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่เคยได้พบหน่วยรบมังกรเหล็กของตนเองเลยสักครั้ง
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หน่วยรบมังกรเหล็กไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ยิ่งตอนที่เขาได้ประดับยศนายพล กองทัพคงไม่ใจดีให้เขาดูแลหน่วยรบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้น ฉู่ชวิ๋นจึงเข้าใจว่าคงจะมีหน่วยรบที่แข็งแกร่งมากกว่าหน่วยรบมังกรเหล็กอยู่อีกแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ฉู่ชวิ๋นลองมาคิดทบทวนดูแล้ว ก็นึกได้ว่ากองทัพคงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง จะต้องมีคนที่ชำนาญเรื่องการฝึกวิทยายุทธ์คอยหนุนหลังอยู่ และคนผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากจักรพรรดิอ๋าวฮวง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงมาจากเผ่าพันธุ์พญามังกร ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์แผ่นดินมายาวนานหลายร้อยล้านปี ด้วยความสามารถอันกว้างขวางของจักรพรรดิอ๋าวฮวง มีหรือที่เขาจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติตามหน้าที่ของตนเองบ้าง?
เพราะฉะนั้น ฉู่ชวิ๋นจึงแน่ใจว่ากองทัพคงมีหน่วยรบที่เป็นจอมยุทธ์อยู่ในสังกัดอยู่บ้างพอสมควร เพียงแต่เขายังไม่เคยพบเจอเท่านั้นเอง
“หน่วยรบมังกรเหล็ก” ฉู่ชวิ๋นพลันพูดออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังชายชราท่าทางใจดี
แน่นอนว่าสีหน้าของชายชราก็แปรเปลี่ยนไปทันที แต่ในพริบตาเดียว เขาก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง
“คิดอยู่แล้วว่าคงปิดบังเรื่องนี้จากคุณไม่ได้” ชายชรายิ้มออกมาฝืดฝืน
“ถ้าอย่างนั้น…ก็ยังมีหน่วยรบมังกรเงิน…แล้วก็หน่วยรบมังกรทองคำอยู่อีกใช่ไหมครับ?”
สีหน้าของชายชราแข็งกระด้างไปทันที
ฉู่ชวิ๋นยิ้มกว้าง เป็นไปตามที่คิดจริง ๆ ด้วย เขาแค่ลองพูดชื่อของมังกรเงินกับมังกรทองออกไปเพื่อหยั่งเชิงชายชราดูเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าจะมีหน่วยรบสองชื่อนี้อยู่จริง ๆ เสียด้วย
จงเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้างุนงงสับสน ไม่รู้เลยว่าสองคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่? อะไรคือหน่วยรบมังกรเงิน อะไรคือหน่วยรบมังกรทองคำ? ตัวเขารู้จักแต่เพียงหน่วยรบมังกรเหล็ก ส่วนอีกสองหน่วยนั้นจงเหรินไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
“กลับเข้าไปคุยข้างในกันก่อนดีกว่า” ชายชราท่าทางใจดีเปลี่ยนมามีท่าทางจริงจังขึ้นในพริบตา
“ไม่เป็นไรครับ ผมกั้นม่านพลังเอาไว้แล้ว ไม่มีใครได้ยินที่เราพูดคุยกันแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นว่า
“อาจารย์ เชิญไปก่อนได้เลย ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับฉู่ชวิ๋น” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
จงเหรินชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าและล่าถอยออกไป
หลังจากที่จงเหรินออกไปแล้ว ชายชราท่าทางใจดีก็หันมาจ้องมองฉู่ชวิ๋น “พญามังกรทองคำบอกอะไรคุณบ้าง?”
ฉู่ชวิ๋นรู้ดีว่าพญามังกรทองคำก็คือจักรพรรดิอ๋าวฮวง ชายหนุ่มส่ายศีรษะตอบว่า “ผมเดาเอาเองน่ะ แค่ลองพูดชื่อของหน่วยรบมังกรเงินกับมังกรทองคำออกไป ผมก็ได้คำตอบจากปฏิกิริยาของคุณแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่ผมคิดอยู่ มันจะถูกต้องจริง ๆ สินะ”
ชายชรารู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่ตนเองถูกฉู่ชวิ๋นหลอกล่อได้สำเร็จ
“อันที่จริง ในเมื่อคุณมีความสัมพันธ์อันดีกับพญามังกรทองคำ ฉันก็ไม่ได้มีเจตนาปกปิดเรื่องนี้กับคุณอยู่แล้ว”
ฉู่ชวิ๋นทำปากยื่น ถ้าเขาไม่ได้ปะติดปะต่อเรื่องราวเอาได้เอง จะมีใครรู้บ้างว่าเรื่องนี้จะถูกปิดบังจากเขาอีกนานแค่ไหน
“เรื่องนี้อย่าโกรธฉันเลยนะ พญามังกรทองคำสั่งเอาไว้ไม่ให้บอกคุณ” ชายชรารีบออกตัว
“ตาเฒ่าเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไอ้แก่นั้น ทำไมเขาต้องสั่งให้ปิดบังผมด้วยล่ะ?”
ชายชราปากกระตุกไปทันที ถ้าจะมีใครสักคนในโลกนี้ที่กล้าเรียกจักรพรรดิอ๋าวฮวงด้วยถ้อยคำหยาบคาย ก็คงจะมีแต่เพียงฉู่ชวิ๋นคนเดียวเท่านั้น
ชายชราส่ายศีรษะตอบว่า “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“หน่วยรบทั้งสามหน่วยนี้มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง บอกให้ผมรู้หน่อย”
“ความจริงฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากมาย กองทัพสามารถสั่งงานได้แต่เพียงหน่วยรบมังกรเหล็ก ส่วนหน่วยรบมังกรเงินกับหน่วยรบมังกรทองคำอยู่ที่ไหน คงมีแต่พญามังกรทองคำเท่านั้นที่รู้คำตอบ”
“ไอ้เฒ่านั้น ปิดบังความลับเก่งจริง ๆ เลยนะ” ฉู่ชวิ๋นเดือดปุด เขาต้องออกมาผจญภัยที่โลกภายนอก เสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่จักรพรรดิอ๋าวฮวงมีหน่วยรบที่แข็งแกร่งอยู่ในมือถึงสองหน่วย แต่ตาเฒ่านั่นกลับไม่เคยบอกเขาเลย
“แต่ในเมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ แล้วทำไมหน่วยรบมังกรเหล็กถึงยังไม่ออกมาปรากฏตัวอีกล่ะครับ?” นี่คือสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจมากที่สุด ถ้าหากพวกเขาเป็นกองกำลังที่มีพลังแข็งแกร่งจริง ๆ คงจะต้องโดดเด่นสะดุดตาผู้คนบ้างไม่มากก็น้อย
“หน่วยรบมังกรเหล็กมีเพียงขั้นจักรพรรดิระดับต่ำ พญามังกรทองคำไม่อนุญาตให้พวกเขาออกมาสู้รบ พวกเขาจึงมีหน้าที่คอยตะเวนเก็บทรัพยากร เพื่อนำมาป้อนให้กองทัพใช้เป็นเสบียงให้แก่หน่วยรบมังกรเงินกับหน่วยรบมังกรทองคำเท่านั้น” ชายชราให้คำตอบ
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายระยิบระยับ มุมปากของเขายกตัวเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ผมมีเรื่องต้องไปทำก่อนสักหน่อย เดี๋ยวจะกลับมาหา”
“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอ? แล้วเรื่องผลิตกระสุนล่ะ?”
“เดี๋ยวผมกลับมาจัดการให้” แล้วร่างของฉู่ชวิ๋นก็หายวับไปในพริบตา หลงเหลือแต่เพียงเสียงของเขาที่พูดประโยคส่งท้ายกังวานในอากาศว่า “ผมต้องไปคิดบัญชีกับตาเฒ่าก่อน”