จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 398 คัดเลือกคน
บทที่ 398 คัดเลือกคน
ฉู่ชวิ๋นลงมือด้วยความอำมหิตเลือดเย็น เมื่อเขาบอกว่าฆ่าก็คือฆ่า
ระหว่างทางมาที่นี่ เสี่ยวฉีถามว่าฉู่ชวิ๋นเคยฆ่าคนมากี่คนแล้ว?
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า มากเกินจำไหว
ในตอนนั้น กลุ่มชายชรากับหลงชิงฉวนไม่เข้าใจว่าคนเราจะลืมได้อย่างไรว่าเคยฆ่าคนมาเท่าไหร่แล้ว แต่บัดนี้ เมื่อเห็นการฆ่าคนอย่างเลือดเย็นของฉู่ชวิ๋น บรรดาชายชราก็เข้าใจแล้วว่ามันคงยากต่อการจดจำจริง ๆ
ตอนที่ชายหนุ่มสังหารพวกของหลงไค ฉู่ชวิ๋นลงมือเหมือนมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หลังจากเก็บศพเรียบร้อย พวกของหลงอี้ก็รวมกลุ่มกันเดินมาหาเขา
ฉู่ชวิ๋นทำเหมือนมองไม่เห็นพวกของหลงอี้ เขายังคงนั่งคุยกับเสี่ยวฉีและผองเพื่อนต่อไป
พวกของหลงอี้ยืนเรียงแถวอยู่ด้านข้างด้วยความอดทน
ฉู่ชวิ๋นปล่อยให้พวกเขายืนรออยู่ประมาณชั่วโมงกว่า จึงได้หันหน้ามาจ้องมอง
“นายรู้สึกผิดหรือเปล่า?”
หลงอี้ค้อมศีรษะ “พวกเราผิดไปแล้ว”
“รู้ไหมว่าพวกนายทำผิดเรื่องอะไร?”
“ไม่รู้ครับ” หลงอี้ตอบ
เปรี้ยง! ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นซัดลมปราณใส่หลงอี้จนร่างของเขาลอยกระเด็นไป
กลุ่มคนหลายสิบคนรีบโคจรลมปราณคุ้มกายห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เพื่อป้องกันเศษพลังลมปราณสีม่วงที่กระเด็นเข้าไปหา แต่ก็ไม่เป็นผล
“ในเมื่อนายไม่รู้ ฉันจะบอกให้ฟังก็แล้วกัน” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชาในขณะที่กล่าวว่า “นายมีสถานะเป็นนักรบมังกรเงิน หลงไคเตรียมก่อการกบฏ นายรู้เรื่องดีแต่กลับไม่ทำอะไรเลย นี่คือความผิดของนาย”
“นายสมควรถูกทำลายวรยุทธ์ทั้งหมด แต่คราวนี้ฉันมาตามหาคนมีฝีมือ ถือว่าความผิดครั้งแรกฉันจะยกเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
พวกของหลงอี้มีสีหน้าตื่นตระหนก พวกเขาถูกคลื่นพลังลมปราณสีม่วงเมื่อสักครู่นี้กระแทกเข้าใส่อย่างแรง รู้สึกว่าเลือดในร่างกายขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ แต่ไม่มีใครกล้ากระอักเลือดออกมาจากปากเลยสักคนเดียว
พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดของฉู่ชวิ๋นอีกแล้ว ปีศาจร้ายที่ฆ่าคนได้ตาไม่กระพริบ สามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ แน่นอนว่าพวกของหลงอี้เชื่อมั่นหมดหัวใจว่าฉู่ชวิ๋นมีความสามารถมากพอที่จะทำลายวรยุทธ์ของพวกเขา สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าชายหนุ่มเลือกที่จะทำหรือไม่เท่านั้นเอง
หน่วยรบมังกรเงินค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นมา ค้อมศีรษะด้วยความเคารพ
ฉู่ชวิ๋นมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ พูดว่า “พวกนายอยากออกไปเห็นโลกภายนอกใช่ไหม? เดี๋ยวฉันจะพาไปเอง”
สุดท้าย ฉู่ชวิ๋นก็คัดเลือกมือดีมาได้ทั้งหมด 10 คน
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากมีปัญหาในการเรียกชื่อ ดังนั้นเขาจึงเลือกหลงอี้ (มังกรหมายเลข 1) เป็นคนแรก และชายหนุ่มที่ชื่อว่าหลงสือ (มังกรหมายเลข 10) เป็นคนสุดท้าย
หลงอี้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ส่วนคนที่เหลือมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 หลงอี้จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยรบมังกรเงินทันที
ชาวหมู่บ้านมังกรเงินล่าสัตว์มาตั้งแต่เด็ก จึงมีทักษะในการใช้ธนูและลูกดอกอย่างชำนาญมาก
เมื่อมองสภาพของพวกหลงอี้ที่ถือคันธนูยาว 3 เมตรและหิ้วกระบอกใส่ลูกศรพะรุงพะรังแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นยังดีที่พกสิ่งของติดตัวมาบ้าง เขามอบแหวนมิติให้พวกของหลงอี้คนละวงใช้เก็บคันธนูและลูกศรของพวกเขา
ส่วนคนที่ไม่ได้ต่างจ้องมองด้วยความรู้สึกอิจฉา
“ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ฉันยังต้องการคนฝีมือดีอีกมาก ถ้าคราวหน้าฉันมาที่นี่แล้วพวกนายมีพลังถึงขั้นจักรพรรดิระดับ 8 เมื่อไหร่ ฉันจะพานายออกไปสู้กับคนเลวร้ายที่โลกภายนอก แล้วของวิเศษแบบนี้จะเป็นของพวกนายเหมือนกัน”
ฉู่ชวิ๋นบอกชัดเจนว่าถ้าผู้ใดสามารถบรรลุพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ได้สำเร็จ ก็มีคุณสมบัติที่จะได้ออกไปโลกภายนอกเช่นเดียวกับพวกหลงอี้
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็สอนวิธีการยิงลูกศรแบบใหม่ให้พวกเขาดู
ฉู่ชวิ๋นไม่จำเป็นต้องปิดบังฝีมือที่แท้จริง เขาได้สอนพวกของหลงชิงฉวนด้วยเช่นกัน รวมถึงวิธีการฝึกจิตวิญญาณที่ฉู่ชวิ๋นเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง ซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับบรรดาจอมยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง
หลงอี้ถือได้ว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เขาน้าวคันธนูและยิงลูกศรสีขาวออกไป
เปรี้ยง!
ก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายพันกิโลกรัมแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อถูกลูกศรพุ่งเข้าใส่
สมาชิกของหน่วยรบคนอื่น ๆ ก็สามารถทำได้สำเร็จเช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นพักอยู่ที่หมู่บ้านมังกรเงินประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อทุกคนสามารถใช้ธนูวิธีใหม่ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เขาก็ทิ้งของที่จำเป็นสำหรับการใช้ฝึกวิชาเอาไว้จำนวนมาก เรียบร้อยก็พาพวกของหลงอี้ออกเดินทางไกล
ก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงว่าหลงอี้เป็นคนมีพรสวรรค์นั้นไม่ได้เกินจริงเลย บัดนี้เขาสามารถยิงลูกศรพร้อมกันได้ถึงสองดอกแล้ว
หากฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ อีกไม่นานเขาจะสามารถยิงลูกศรได้ครั้งละ 9 ดอกเลยทีเดียว
ฉู่ชวิ๋นพาพวกของหลงอี้เดินทางออกจากหมู่บ้านมังกรเงิน ออกจากดินแดนที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่มาหลายชั่วอายุคน
……
……
ฉู่ชวิ๋นนำพวกของหลงอี้กลับมาถึงวังมังกรเพลิง
“นายท่านครับ คนพวกนี้เป็นใครกัน?”
เหยียนชง เหลยเป้า และหลงอ๋าวทำตัวเป็นเหมือนเด็กน้อยขี้สงสัย จ้องมองผู้มาใหม่ไม่วางตา
เนื่องจากพวกของหลงอี้แต่งกายแปลกประหลาดเหมือนคนป่า มีพวกเขาถึงสองคนที่สวมใส่ผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ เปลือยร่างกายท่อนบนเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันบึกบึน
ชายชราทั้งสามคนหันมองหน้ากัน หรือว่าคนพวกนี้จะทะลุมิติมาจากยุคโบราณ?
หลงอี้และเพื่อนพ้องเพิ่งจะเคยออกมาสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก แต่พวกเขาก็พอจะสังเกตเห็นว่าการแต่งกายของตนเองแตกต่างจากทุกคน จึงก่อให้เกิดความรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อย
“มองกันพอหรือยัง?” ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ชายชราทั้งสามคนนี้ไม่รู้จักเก็บอาการกันเลยจริง ๆ
“นายท่าน สภาพแบบนี้จะใช้งานพวกเขาได้หรือ?” หลงอ๋าวอดถามออกมาไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับไปด้วยความเหนื่อยใจ “ถ้าวัดกันเรื่องพลังฝีมือ พวกนายต่างหากที่เรียกว่าใช้งานไม่ได้”
“เจ้าพวกนี้ฝีมือสูงส่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เหยียนชงพูดด้วยความสงสัย เนื่องจากสภาพของพวกหลงอี้ไม่ได้เหมือนคนที่มีพลังระดับสูงเลยแม้แต่น้อย แถมยังไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยว่ามีพลังอยู่ในระดับไหน
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าการฝึกวิทยายุทธ์ที่จักรพรรดิอ่าวหวงฝึกสอนให้แก่คนของหมู่บ้านมังกรเงิน เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้ไม่มีใครสามารถตรวจจับได้ว่าพวกเขามีพลังฝีมือระดับไหน ดังนั้นถ้าจะเทียบกันจริง ๆ แล้ว ระดับพลังของหลงอ๋าวต่ำกว่าพวกเขามาก
“ถ้าพวกนายสามคนสามารถเอาชนะสมาชิกในกลุ่มนี้ได้เพียงคนเดียว ฉันจะมอบหญ้าจิตวิญญาณให้พวกนายเลย 500 กำ” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ
ดวงตาของชายชราทั้งสามคนเป็นประกายระยิบระยับทันที
“นายท่านไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?” เหยียนชงถามให้แน่ใจ
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าว่าพูดจริง
ชายชราทั้งสามคนยิ้มกริ่มและหันหน้าไปปรึกษากัน
“นายท่านครับ เราขอเลือกเจ้าหมอนี่” เหยียนชงชี้มือไปที่หลงสือ
หลงสือถูกเลือกให้มาต่อสู้เนื่องจากยืนอยู่ท้ายแถวที่สุด และมีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนักรบมังกรเงิน
“หลงสือ”
หลงสือมีร่างสันทัด แต่กำยำบึกบึน ผิวหนังกร้านแดด มีลักษณะเหมือนชาวไร่ชาวนาอยู่หลายส่วน แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายแจ่มใส เขาขยับออกมาข้างหน้าและถามว่า “นายท่านฉู่ชวิ๋นอยากให้ฉันทำอะไรบ้าง?”
“เอาชนะ แต่ห้ามทำร้ายคน” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
“ผู้น้อยรับคำบัญชา” หลงสือพยักหน้า
เหยียนชงตะโกนด้วยความไม่พอใจว่า “นายท่าน แบบนี้ไม่ดูถูกพวกผมเกินไปหน่อยเหรอ?”
ฉู่ชวิ๋นได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะไม่ตอบรับคำใด
“น้องชาย นายอายุเท่าไหร่แล้ว?” เหยียนชงหันหน้ามาถามหลงสือ
หลงสือหันไปมองหน้าฉู่ชวิ๋น เมื่อเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายพยักหน้า มันถึงได้หันมาตอบว่า “ปีนี้ฉันก็อายุ 100 ปีแล้ว”
เหยียนชงตกตะลึงไปไม่น้อย ฝ่ายตรงข้ามอายุน้อยกว่าพวกเขาถึงครึ่งหนึ่ง
“น้องชาย ยังไม่สายเกินไปที่จะขอยอมแพ้หรอกนะ” เหลยเป้าพูดเสียงดังปานฟ้าผ่า “ถ้าเราชนะ อย่าหาว่าผู้ใหญ่รังแกเด็กก็แล้วกัน”
“ถ้านายชนะได้จริง ๆ ค่อยโม้ทีหลังก็ไม่สาย” ฉู่ชวิ๋นขัดจังหวะและนำทุกคนเดินเข้าสู่ลานประลอง ก่อนที่จะออกคำสั่งเรียกรวมตัวลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงให้มารับชมการต่อสู้
ลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงมีอยู่ด้วยกันหลายร้อยคน ทุกคนต่างก็จ้องมองพวกของหลงอี้ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“เข้ามาเลย!”
เหยียนชงคำรามใส่ชายหนุ่มผู้เป็นคู่ต่อสู้
“ช้าก่อน” ฉู่ชวิ๋นกล่าวแทรกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับทอดสายตามองไปยังชายชราทั้งสามคน “ถ้าพวกนายแพ้จะทำยังไงล่ะ?”
“ถ้าพวกเราแพ้ ก็ทำเหมือนครั้งที่แล้วครับ เราจะทำความสะอาดวังมังกรเพลิงทั้งหมดเอง” เหลยเป้าตอบรับกลับมาโดยไม่ต้องคิด
เหยียนชงรีบจับแขนผู้เป็นสหายเอาไว้ทันที แล้วฝืนยิ้มว่า “นายท่านครับ เดี๋ยวก่อนนะครับ”
ล้อเล่นหรือไง? ถ้าครั้งที่แล้วไม่มีฝนตกหนักลงมาช่วย พวกเขาคงได้เหนื่อยตายกันไปหมดแล้ว
เมื่อชายชราทั้งสามคนปรึกษากันเรียบร้อย เหยียนชงก็กล่าวว่า “นายท่าน เราตกลงกันแล้ว ถ้าเราแพ้ เราจะมอบหญ้าจิตวิญญาณที่มีอยู่ติดตัวให้กับพวกเขาทั้งหมด”
“ตกลง” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มการต่อสู้ได้เลยนะครับ” เหยียนชงสอบถาม
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าอีกครั้ง
“น้องชาย เชิญลงมือได้เลย” เหยียนชงหันไปพูดกับหลงสือ
หลงสือพยักหน้า พลิกฝ่ามือหนึ่งครั้ง คันธนูก็ปรากฏอยู่ในมือแล้ว
เหยียนชงคำรามเสียงดังในขณะที่พุ่งเข้าใส่
หลงสือประทับลูกศรและยิงออกไป
ฟ้าว!
ลูกศรสีขาวพุ่งแหวกอากาศตรงเข้าใส่เหยียนชงด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด
เหยียนชงตกตะลึงไปไม่น้อย ความเร็วของลูกศรดอกนี้รวดเร็วมากเกินไป ต้องรีบโคจรลมปราณคุ้มกายถึงสี่ชั้น ในขณะเดียวกัน ก็ยกมือปล่อยพลังลมปราณเข้าใส่ลูกศรที่พุ่งเข้ามา
เปรี้ยง!
เกิดการระเบิดขึ้นกลางอากาศ พลังลมปราณของเหยียนชงปะทะเข้ากับลูกศรสีขาว แต่ความเร็วของลูกศรไม่ได้ลดลงเลย ลมปราณคุ้มกายสี่ชั้นที่ห่อหุ้มร่างกายของชายชราอยู่ไร้ความหมาย ลูกศรสามารถพุ่งทะลุทะลวงเข้าไปได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน
“อ๊าก…” เหยียนชงร้องโหยหวนในขณะที่ตัวคนลอยกระเด็นไปตกกระแทกพื้นห่างไกลหลายร้อยเมตร
“เฒ่าเหยียน”
เหลยเป้ากับหลงอ๋าวรีบวิ่งเข้าไปดูอาการ เหยียนชงถูกลูกศรยิงเข้าไปแบบนั้น ผู้เป็นสหายทั้งสองคนตื่นตกใจมากแล้ว
“เฒ่าเหยียน เป็นยังไงบ้าง?”
ชายชราทั้งสองคนถามในขณะที่ประคองเหยียนชงลุกขึ้นยืน
แต่กลับปรากฏว่าเหยียนชงเพียงแค่ใบหน้าแดงก่ำเท่านั้น สามารถลุกขึ้นยืนและตบหน้าอกพร้อมกับตะโกนด้วยความโกรธแค้นว่า “ไม่เป็นไร แค่เผลอไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่ลูกศรดอกนี้ไม่มีความน่ากลัวอะไรเลย แค่รู้สึกคัน ๆ ทำให้ผิวหนังของฉันเป็นแผลไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เหลยเป้ากับหลงอ๋าวโล่งอกแล้ว ถ้าอีกฝ่ายสามารถยิงเหยียนชงจนได้รับบาดเจ็บด้วยธนูดอกเดียว เห็นทีพวกเขาคงต้องเป็นฝ่ายขอยอมแพ้เสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าเหยียนชงไม่เป็นไร เหลยเป้ากับหลงอ๋าวจึงเชื่อในสิ่งที่สหายพูดออกมา และรู้สึกว่าลูกศรของหลงสือไม่ได้มีความน่ากลัวแม้แต่น้อย เมื่อสักครู่นี้เหยียนชงเพียงแค่ประมาทไปหน่อยเท่านั้นเอง
ฉู่ชวิ๋นยิ้มเย้ยหยัน มองออกว่าเหยียนชงพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าลูกศรของหลงสือจะไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บใด ๆ แต่แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อยแน่นอน
ทันใดนั้นเอง กระต่ายหยกก็วิ่งเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น และส่งยิ้มให้เขาจนตาหยี ก่อนที่จะตะโกนเรียกเสียงหวานมาตั้งแต่ไกลว่า “พี่ฉู่”
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองหูกระต่ายปลอมที่อยู่บนศีรษะของกระต่ายหยก แล้วก็อดตะลึงลานไปไม่ได้ เด็กสาวตัวเล็กที่เขารู้จักมายาวนานกว่า 20 ปี ในขณะนี้เติบใหญ่กลายเป็นสาวสะพรั่งแล้ว
“นั่งลงสิ!”
กระต่ายหยกกระโดดมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของฉู่ชวิ๋น ดวงตาสดใสของเธอเป็นประกายระยิบระยับด้วยความสงสัยใคร่รู้ ยามที่จ้องมองกลุ่มหน่วยรบมังกรเงินที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
“พี่ฉู่ คนพวกนี้เป็นใครกันคะ?” กระต่ายหยกถามด้วยความอยากรู้
ฉู่ชวิ๋นพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ “กระต่ายหยก เธอช่วยฉันทำอะไรหน่อยได้ไหม”
กระต่ายหยกพยักหน้ายิ้มแย้มยินดี หูกระต่ายปลอมของเธอสั่นไหวอย่างน่ารักน่าชัง
“เธอช่วยหาเสื้อผ้าให้คนกลุ่มนี้ใส่หน่อยได้ไหม เอาแบบที่ใส่แล้วดูดีสุด ๆ ไปเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นพูด คิดว่าเรื่องแบบนี้ให้ผู้หญิงจัดการจะดีที่สุด
“ไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง!” กระต่ายหยกยกมือตบหน้าอก ถึงแม้ว่าเธอจะมีบุคลิกน่ารักสดใสเหมือนเด็กน้อย แต่หน้าอกหน้าใจไม่ได้เด็กน้อยตามไปด้วย และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงมากมายอิจฉาเธอจนแทบอกแตกตายแล้ว
“เดี๋ยวพวกนายบอกฉันด้วยนะว่าใส่เสื้อผ้าไซส์อะไร” กระต่ายหยกพูดกับหลงอี้
แต่ผลที่ได้ก็คือ หลงอี้กับเพื่อนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
“ไซส์เสื้อผ้าคืออะไร?” หลงอี้ตัดสินใจถามออกมาหลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน
ดวงตากลมโตของกระต่ายหยกเบิกกว้าง ในขณะที่จ้องมองพวกของหลงอี้เหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาว
ฉู่ชวิ๋นจึงต้องอธิบายให้ฟังว่าหมู่บ้านมังกรเงินดำรงชีวิตด้วยระบบพึ่งพาตัวเอง สวมใส่แต่เสื้อผ้าแบบเรียบง่าย ไม่มีไซส์เสื้อผ้าที่ขนาดพอดีตัว
“กระต่ายหยก เดี๋ยวเธอพาพวกเขาไปตัดชุดก็แล้วกันนะ” ฉู่ชวิ๋นพูด
กระต่ายหยกพยักหน้า แต่ก็อดมองกลับไปทางพวกของหลงอี้อีกครั้งไม่ได้ สายตาของเธอมีแต่เพียงความสงสัยอยากรู้ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น
ในขณะนี้ พวกของเหยียนชงกำลังส่งเสียงคำรามในลำคอขณะพร้อมใจกันพุ่งเข้าใส่หลงสือ
หลงสือไม่ได้ตื่นกลัว มันประทับลูกศรเข้ากับคันธนูแล้วยิงออกไป
ฟ้าว!
ลูกธนูยิงออกไปด้วยความรุนแรง มีเป้าหมายอยู่ที่เหลยเป้า
เหยียนชงครั้งนี้ระวังตัวไว้อยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงลูกธนูแหวกอากาศเข้ามา ก็รีบหยุดชะงักทันที
ฟ้าว! ฟ้าว!
หลงสือยิงลูกศรออกมาอีกสองดอกติด ๆ กัน คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่หลงอ๋าวกับเหยียนชงบ้าง