จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 402 ช่วยคน
บทที่ 402 ช่วยคน
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังแนวทิวเขาที่ยาวเหยียด ทางเข้ามีอยู่เพียงจุดเดียวเท่านั้น คือเส้นทางเล็ก ๆ ใกล้กับเหว
ทางเข้าออกของประตูวิญญาณสลายมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น พวกมันอาจวางกำลังเวรยามไว้เป็นระยะ ๆ ก็เป็นไปได้
“พวกนายลงไปตามเส้นทางนั้น กำจัดเวรยามของพวกมันให้หมด” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
“ผู้น้อยรับคำบัญชา” พวกของหลงอี้กระโดดลงไปตรงเส้นทางนั้นทันที
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นฟาดตรงไปที่ศีรษะของนกยูงปีศาจอย่างรุนแรง นายน้อยนกยูงสลบเหมือดอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง มันคงหมดสติไปอีกหลายชั่วโมง
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ปีนไปยังอีกฝั่งหนึ่งของปีกนกยูง และกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้โบราณที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะเริ่มไต่ขึ้นไป
ฉู่ชวิ๋นเหยียบเท้าลงบนกิ่งไม้ บังเกิดลำแสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นใต้เท้าของเขา เป็นแรงส่งให้ตัวคนลอยขึ้นไปกลางอากาศ
ในขณะเดียวกันนี้ หน่วยรบมังกรเงินก็เผชิญหน้ากับเวรยามของประตูวิญญาณสลายกลุ่มหนึ่ง ฝ่ายนั้นเป็นจอมยุทธระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น นับว่าอ่อนแอมาก
ลูกศรเพียงสองดอกของหลงอี้ ก็สามารถปลิดชีพพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว
นักรบมังกรเงินคนหนึ่งยิงลูกศรใส่ก้อนหินใหญ่ที่มีลักษณะผิดปกติ ก้อนหินก้อนนั้นระเบิดกระจาย เหล่าชายฉกรรจ์สี่คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน ถูกแรงระเบิดกระแทกกระเด็นตกหน้าผาด้านข้างไปในวินาทีต่อมา
ลูกศรถูกยิงออกไปเหมือนกับสายรุ้ง คนของประตูวิญญาณสลายถูกลูกธนูฆ่าตายราวใบไม้ร่วง
บังเกิดเสียงสัญญาณเตือนภัยดังกึกก้องผืนป่า
ประตูวิญญาณสลายล่วงรู้ถึงการบุกรุกของพวกหลงอี้แล้ว จึงส่งกำลังพลออกมาสกัดกั้น
แต่พวกของหลงอี้มีลูกธนูที่ทรงพลังมาก ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามส่งคนมามากแค่ไหน ก็ถูกพวกมันฆ่าหมดสิ้นในพริบตาเดียว
อีกด้านหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นปีนต้นไม้ขึ้นไปได้สองในสามจากความสูงทั้งหมดแล้ว ภูเขาแห่งความเงียบอยู่ห่างออกไปแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น
ชายหนุ่มดีดตัวกระโดดขึ้นไปเหมือนนกอินทรีถลาลม เขากระโดดขึ้นไปด้วยความสูงเกือบ 1,000 เมตร แล้วเท้าของเขาก็สัมผัสกับยอดเขาแห่งความเงียบในที่สุด
ต้นไม้โบราณเหล่านั้นเป็นเหมือนขั้นบันไดชั้นดี ให้ฉู่ชวิ๋นได้ปีนป่ายขึ้นสู่ภูเขาแห่งความเงียบ
ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตาชำเลืองมองโดยรอบ ห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของปราสาทขนาดใหญ่ เท่าที่เขามองเห็น ด้านหน้าสุดเป็นประตูศิลาที่สลักตัวอักษรคำว่าประตูวิญญาณสลายเอาไว้โดดเด่นเป็นสง่า
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉู่ชวิ๋นค่อย ๆ เต้นระริกอย่างเชื่องช้า แล้วไม่กี่วินาทีต่อมา ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เรียบร้อยแล้วจึงนำเสื้อคลุมสีดำออกมาสวมใส่ ปิดบังพลังลมปราณของตนเอง จากนั้นก็เดินไปที่ประตูของประตูวิญญาณสลายอย่างแช่มช้า
เพียงอึดใจเดียว ประตูทางเข้าของประตูวิญญาณสลายก็อยู่ห่างออกไปไม่มากแล้ว ฉู่ชวิ๋นกระโดดหลบเข้าซ่อนตัวหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
ในขณะนี้ มีสาวกของประตูวิญญาณสลายจำนวนมากพากันวิ่งกรูออกมาจากประตูใหญ่ ดูเหมือนพวกมันจะลงไปหยุดยั้งพวกของหลงอี้ที่กำลังบุกทะลวงขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นสบโอกาสเหมาะ รีบแทรกซึมผ่านประตูสำนักเข้าไปทันที
“เร็วเข้า อย่าให้พวกมันขึ้นมาได้เด็ดขาด” ใครบางคนส่งเสียงตะโกน
“ศัตรูแข็งแกร่งมากเกินไป พวกมันขึ้นมาได้ครึ่งทางแล้ว”
“เจ้าพวกโง่ โยนก้อนหินลงไปสิวะ ทับให้พวกมันตกเหวตายกันไปเลย”
บรรดาสาวกของประตูวิญญาณสลายใช้ท่อนไม้ขนาดใหญ่งัดก้อนหินที่มีน้ำหนักหลายพันกิโลกรัมให้กลิ้งลงไปตามเนินเขา ความมหึมาของหินก้อนนี้ทำให้ภูเขาทั้งลูกถึงกับสะเทือน แล้วก้อนหินยักษ์ก็กลิ้งตรงลงไปพุ่งเข้าหาพวกของหน่วยรบมังกรเงิน
หลงอี้และพรรคพวกน้าวธนูยิงลูกศรเข้าใส่ก้อนหินยักษ์ที่กำลังกลิ้งลงมาหาพวกมัน
ยังมีก้อนหินอีกจำนวนมากทยอยกลิ้งตามลงมาเรื่อยๆ โชคดีที่พวกของหลงอี้อยู่ใกล้กับแนวกำแพงหินตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถใช้เป็นที่กำบังในขณะที่ยิงลูกธนูโต้ตอบกลับไปได้โดยตรง
ในขณะนี้ ฉู่ชวิ๋นแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มสาวกของประตูวิญญาณสลาย เขาแผ่คลื่นพลังจิตออกไปเพื่อสำรวจพื้นที่โดยรวมของปราสาทหลังนี้
ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็พบตำแหน่งที่คุมตัวของหวู่ปู้ซือ
ประตูวิญญาณสลายตกอยู่ภายใต้ความโกลาหล สาวกของพวกมันวิ่งวนไปมาด้วยความชุลมุน
“พวกมันเป็นใครกัน? กล้าดีอย่างไรถึงบุกขึ้นมาที่ฐานของสำนักประตูวิญญาณสลายแบบนี้?” ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มันผู้นี้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ฝีมือน่ากลัวไม่ธรรมดา
“เรียนผู้อาวุโสหลิน ศัตรูมากันแค่เพียง 10 คนเท่านั้น แต่พวกมันเก่งกาจเหลือเกิน คนของเราไม่อาจต้านทานได้เลย” ลูกศิษย์คนหนึ่งของมันรายงาน
“เดี๋ยวฉันลงไปดูเอง” พูดจบร่างของผู้อาวุโสหลินก็หายวับไปจากประตูสำนัก ก่อนมาปรากฏตัวบริเวณริมเนินเขา และจ้องมองไปที่กลุ่มคนซึ่งเป็นผู้บุกรุก
เมื่อเห็นว่าพวกของหลงอี้สามารถใช้ลูกธนูทำลายก้อนหินที่กลิ้งลงไปได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของผู้อาวุโสหลินก็ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นมา
“แจ้งเตือนเหล่าผู้อาวุโสและท่านเจ้าสำนัก บอกพวกเขาว่าศัตรูคราวนี้อันตรายมาก” ผู้อาวุโสหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่หลังจากนิ่งคิดอะไรอยู่เล็กน้อย ก็พูดต่อว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปบอกเองดีกว่า”
ฉู่ชวิ๋นอาศัยจังหวะแห่งความชุลมุนนี้ค้นหาจนพบตำแหน่งที่คุมตัวหวู่ปู้ซือ ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายเย็นชา เบื้องหน้าของเขาเป็นพื้นที่โล่งกว้างซึ่งเจาะเป็นหลุมขนาดใหญ่เติมน้ำลงไปจนเต็ม บริเวณริมกำแพงมีร่างของชายฉกรรจ์หลายคนถูกล่ามโซ่ห้อยเอาไว้อย่างน่าอนาถใจ
“นั่นใครน่ะ?” มีคนของประตูวิญญาณสลายเฝ้าอยู่ที่นี่แค่เพียงไม่กี่คน พวกมันมีพลังขั้นจักรพรรดิ เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามา หนึ่งในกลุ่มคนก็ถามขึ้นทันที
ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจพวกมัน เดินตรงเข้าไปที่สระน้ำ ก้มหน้ามองลงไป ผิวน้ำไหวเป็นระลอกคลื่น บ่งบอกว่าข้างใต้มีน้ำลึกไม่ใช่เล่น
ปรากฏว่าสระน้ำแห่งนี้มีขนาด 100 ลูกบาศก์เมตร นักโทษจะถูกคุมตัวอยู่ในสระน้ำล่ามโซ่ติดกับกำแพง กายท่อนบนอยู่เหนือผิวน้ำ กายท่อนล่างแช่อยู่ใต้ผิวน้ำ ศีรษะของพวกเขาห้อยพับลงมาข้างตัวเหมือนคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ถ้าถูกควบคุมตัวและทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกแบบนี้ แม้มีพลังลมปราณระดับสะเทือนฟ้าสะท้านดินก็ไม่ต่างไปจากปลาที่ขึ้นมาเหนือน้ำ ได้แต่รอคอยให้ผู้คนมาฆ่าทิ้งเท่านั้นเอง
“เจ้าโง่ กล้าดียังไงไม่ตอบคำถามของฉัน?” เวรยามผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิคนหนึ่งคำรามใส่ฉู่ชวิ๋นด้วยความโมโห
เปรี้ยง!
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นซัดลมปราณใส่มันจนร่างแตกกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
เวรยามที่เหลืออยู่อีกหลายคนตื่นกลัวขึ้นมาแล้ว พวกมันชักอาวุธออกมา จ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นเป็นตาเดียว
“แกเป็นใครกันแน่?” หนึ่งในพวกมันถามออกมาด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ยังปิดบังน้ำเสียงที่สั่นเครือเอาไว้ไม่ได้
คนตายเมื่อสักครู่นี้มีพลังถึงขั้นจักรพรรดิระดับ 3 แต่กลับเสียชีวิตภายใต้กระบวนท่าเดียวจากฝ่ายตรงข้าม นับว่าพลังฝีมือน่ากลัวเกินไปแล้ว
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองกลุ่มเวรยามไม่วางตา เขาระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกาย แล้วชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาคนนั้น ก็มีชะตากรรมเดียวกันกับสหายร่วมสำนัก ร่างของมันแตกกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด แม้แต่มีดดาบในมือก็แตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
“ศัตรู…”
หนึ่งในเวรยามรับรู้ว่าไม่ได้การแล้ว จึงรีบตะโกนเตือนคนในสำนักทันที
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ ไม่ทันที่มันจะได้พูดจบประโยค ม่านพลังสายหนึ่งก็กางกั้นรอบบริเวณเอาไว้ ปิดบังเสียงของมันไม่ให้เล็ดรอดออกไป
“เอาตัวพวกเขาขึ้นมาเดี๋ยวนี้” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แก…ไม่ใช่คนของประตูวิญญาณสลายใช่ไหม?”
“หุบปาก!”
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือออกไปข้างหน้า พลังลมปราณพุ่งออกไปอย่างรุนแรง แล้วเวรยามคนที่พูดก็ร่างแตกกระจาย เลือดของมันสาดกระเซ็นเต็มใบหน้าของเพื่อนร่วมสำนักที่ยืนอยู่ข้างกาย สภาพของพวกมันดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันจะไม่พูดซ้ำอีกรอบ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิม
เวรยามที่เฝ้านักโทษมีอยู่ด้วยกัน 6 คน ทุกคนมีพลังขั้นจักรพรรดิ แต่เพียงแค่ฉู่ชวิ๋นยกมือไม่กี่ครั้ง พวกมันก็ตายไปแล้วสาม เหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งสามคนไม่กล้าพูดอะไร พวกมันรีบวิ่งไปที่รอกหมุน เริ่มต้นดึงตัวนักโทษขึ้นมาจากสระน้ำอย่างเร็วไว
เสียงโซ่ดังแกรกกราก รอกหมุนส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดในขณะที่ดึงตัวคนขึ้นมาจากสระน้ำ
คนแรกเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้ง ใบหน้าเขียวคล้ำ เส้นผมยุ่งเหยิง เนื่องจากถูกสายโซ่พันธนาการจุดลมปราณเอาไว้ บนร่างกายจึงมีแต่รอยช้ำเลือดเต็มไปหมด คนผู้นี้ตกอยู่ในอาการโคม่า ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะส่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บ สถานการณ์เลวร้ายมาก ชายคนนี้ถูกทรมานมานานเกินไป ไม่อาจเยียวยาบาดแผลได้ จุดลมปราณเกือบจะแตกสลาย เช่นเดียวกับอวัยวะภายในที่ล้มเหลว ถ้าเป็นคนทั่วไปคงพูดได้อย่างเดียวว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้ทำได้แต่เพียงรอคอยความตายเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นปลดสายโซ่ออกจากร่างกายของชายวัยกลางคน หลังจากนั้นจึงนำหญ้าจิตวิญญาณออกมาให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ดูดซับพลัง เรียบร้อยจึงวางมือลงไปบนบาดแผลของเขา และโคจรพลังลมปราณจำแลงเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ
ในจังหวะที่ฉู่ชวิ๋นทำเรื่องทั้งหมดนี้ นักโทษคนที่สองก็ถูกดึงตัวขึ้นมา เขาเป็นชายชรา อาการเบากว่าคนแรกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก
ฉู่ชวิ๋นทำลายสายโซ่และรักษาอาการบาดเจ็บของเขาทันที
ตอนนั้นเอง นักโทษคนที่สามก็ถูกดึงตัวขึ้นมา ฉู่ชวิ๋นหันหน้ากลับไปมอง แล้วดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ
ชายหนุ่มคนนี้เป็นวัยรุ่น ดวงตาปิดสนิท ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ ผอมหนังหุ้มกระดูก ลักษณะเหมือนคนตายเกือบสมบูรณ์
เปรี้ยง!
เวรยามคนที่ทำหน้าที่ดึงชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมา ถูกพลังลมปราณของฉู่ชวิ๋น ซัดเข้าใส่จนไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก
ฉู่ชวิ๋นรีบรักษาอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มคนนี้ด้วยความร้อนรน เขาใช้หญ้าจิตวิญญาณที่ดีที่สุด ใช้พลังลมปราณจำแลงแบบเต็มอัตราที่สุด ถ่ายเทพลังให้แก่ชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
โชคดีที่พลังลมปราณจำแลงมีอานุภาพในการรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อรวมเข้ากับหญ้าจิตวิญญาณจำนวนมาก นักโทษหนุ่มคนนี้ก็อาการดีขึ้นมาก
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกโกรธแค้นจนดวงตาแดงก่ำ มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเขาโกรธแค้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ฉู่ชวิ๋นเคยช่วยชายหนุ่มคนนี้ตอนไปที่ภูเขาหวูจิน และชายหนุ่มคนนี้ก็คือบุตรชายของหวู่ปู้ซือนั่นเอง
โชคร้ายที่พวกประตูวิญญาณสลายไม่ได้จับตัวมาเพียงแค่หวู่ปู้ซือเท่านั้น แต่ยังจับตัวลูกชายของเขามาด้วย
ตอนนี้เอง หวู่ปู้ซือก็ถูกดึงตัวขึ้นมา ชายชราอยู่ในภาวะหมดสติ ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ
ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บของเขาอย่างรีบร้อน
ต่อมา มีคนอีกหลายคนถูกดึงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มีสองคนที่เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ร่างกายท่อนล่างถึงกับเน่าเปื่อยไม่เหลือชิ้นดี
แต่ถ้าผู้ใดยังคงมีลมหายใจ ฉู่ชวิ๋นก็สามารถช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทั้งหมด
รังสีสังหารแผ่ออกมาจากหัวใจของฉู่ชวิ๋น เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่ระเบิดพลังลมปราณออกมาด้วยความโกรธแค้น
เขาจับตัวเวรยามที่เฝ้าสระน้ำซึ่งเหลืออยู่อีก 2 คน ซัดพลังให้ร่างกายฉีกขาด แล้วนำตัวพวกมันมามัดกับสายโซ่ ตัดตะขอส่วนที่เกี่ยวกับรอกหมุนออกจากนั้นก็ถีบพวกมันลงไปในสระน้ำ
ตะขอเหล็กที่ติดมากับสายโซ่มีน้ำหนักไม่ใช่น้อย เวรยามทั้งสองคนเมื่อตกลงมาในน้ำก็ทำอะไรไม่ถูก พวกมันตื่นตระหนก เลือดไหลออกมาจากบาดแผลบนลำตัวทำให้ผืนน้ำกลายเป็นสีแดง เพียงไม่นาน พวกมันทั้งสองคนก็หมดแรงเกินกว่าจะอยู่บนผิวน้ำได้อีก ตะขอเหล็กและสายโซ่กลายเป็นสิ่งที่ฉุดดึงลงใต้น้ำ ทำให้พวกมันจมน้ำตายทั้งเป็น
ฉู่ชวิ๋นแววตาเย็นชา เขาสร้างม่านพลังขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครจะบุกเข้ามาที่นี่ได้อีก เนื่องจากหวู่ปู้ซือและคนอื่น ๆ ยังอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
ขณะเดียวกันนี้ ผู้อาวุโสหลินก็มาแจ้งเตือนให้ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในสำนักเตรียมตัวหลบหนี รวมถึงหลี่คุน ผู้เป็นเจ้าประตูวิญญาณสลาย
“รู้หรือยังว่าพวกมันเป็นใคร?” หลี่คุนมีดวงตาเครียดคล้ำและแดงก่ำ จ้องมองผู้อาวุโสหลินเขม็ง
“ตอนนี้ยังไม่ทราบครับ แต่พวกมันทั้ง 10 คนแข็งแกร่งมาก พวกมันทุกคนถ้าไม่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ก็เป็นระดับ 9 ทั้งสิ้น ตั้งแต่ตีนเขาขึ้นมา สาวกของเราถูกฆ่าตายเป็นผักปลา ไม่สามารถขัดขวางพวกมันได้เลย”
ฝ่ายตรงข้ามมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 และระดับ 9 นี่คือข้อมูลที่ทำให้บรรดาผู้อาวุโสต้องตกตะลึง
“หรือจะเป็นจอมมารฉู่ชวิ๋น?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกระซิบออกมา
ผู้อาวุโสหลินส่ายหน้าและพูดว่า “ถ้ามีจอมมารฉู่ชวิ๋นมาด้วยฉันก็รู้สิ แต่ในกลุ่มพวกมันไม่มีจอมมารอยู่แน่นอน”
“ถ้าไม่ใช่จอมมารฉู่ชวิ๋นก็แล้วไป” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา
“ทำไม? หรือว่าแกกลัวไอ้ฉู่ชวิ๋น?” หลี่คุนหันไปมองด้วยความไม่พอใจ
ผู้อาวุโสคนนั้นรีบตอบทันทีว่า “ไม่ใช่นะครับ จอมมารฉู่ชวิ๋นไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย ผมรอมันมานานแล้ว ผมอยากจะฆ่ามันเพื่อแก้แค้นให้กับสาวกของเรา ที่ต้องตายภายใต้เงื้อมมือมันเป็นจำนวนมาก”
ดวงตาของหลี่คุนปรากฏความกระหายเลือด มันยิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะพูดออกมาด้วยความพึงพอใจว่า “ไม่ว่าพวกมันเป็นใคร แต่ ถ้ากล้ามาถึงประตูวิญญาณสลาย พวกมันก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่!”
“นายท่านครับ ผมมีบางอย่างจะพูด แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่?” ผู้อาวุโสหลินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ
“พูดมาสิ” หลี่คุนอนุญาต
“ผมอยากให้ท่านเจ้าสำนักรีบหนีไปก่อนครับ”
ดวงตาสีแดงฉานของหลี่คุนจ้องมองผู้อาวุโสหลิน “หมายความว่ายังไง?”
“นายท่านครับ เก้าในสิบคนของพวกมันเป็นจักรพรรดิระดับ 8 ผมแค่อยากให้นายท่านหลบหนีออกไป เพื่อปลอดภัยไว้ก่อนน่ะครับ”
“แกคิดว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันหรือไง?” แววตาของหลี่คุนแข็งกร้าวเขาอยากรู้เหมือนกันว่าผู้อาวุโสหลินมองมันเป็นคนอย่างไร
ผู้อาวุโสหลินไม่กล้าตอบคำใด มันหมายความตามนั้น เนื่องจากหลี่คุนมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 พลังใกล้เคียงกับอีกฝ่ายมากเกินไป ไม่สมควรเข้าไปปะทะหักล้างกันในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาสีแดงก่ำของหลี่คุนเป็นประกายอ่อนโยนลงเล็กน้อย พูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างแปลก ๆ “วางใจเถอะ ตราบใดถ้าพลังของมันยังไม่ก้าวทะลวงผ่านขั้นจักรพรรดิ ฉันไม่มีทางแพ้มันอย่างแน่นอน!”
ผู้อาวุโสหลินและบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ พร้อมใจกันจ้องมองหลี่คุนด้วยความประหลาดใจ
“ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าท่านเลื่อนขั้นกลายเป็นขั้นเซียนแล้ว?” ผู้อาวุโสหลินอุทานออกมา
หลี่คุนส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกายก่อนตอบ “นายคิดว่าการเลื่อนขั้นเป็นขั้นเซียนมันง่ายนักหรือไง? แต่เอาเป็นว่า ถ้าพวกมันไม่ใช่ขั้นเซียน รับรองว่าฉันไม่มีทางแพ้เด็ดขาด!”