จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 415 ยิ่งแก่ยิ่งสกปรก
บทที่ 415 ยิ่งแก่ยิ่งสกปรก
จังหยวนจื่อพูดเอาคืนว่าหยานกุยล๋ายชอบแอบย่องหาผู้หญิงตอนกลางคืน แก้แค้นที่พวกของตนเองโดนเรียกว่าสุนัขเร่ร่อนก่อนหน้านี้ และทำให้หยานกุยล๋ายต้องตอบโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน
ผู้อาวุโสทั้งสองคนพยายามเหน็บแนมกันด้วยวาจา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการตะโกนฉีกหน้ากันและกันเสียอย่างนั้น
“หัวหน้าตระกูลจัง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังกล้ามาดูถูกตระกูลหยาน ไม่กลัวผู้อื่นจะเลาะฟันสุนัขออกจากปากบ้างหรือไง” หยานกุยล๋ายคำรามด้วยความฉุนเฉียว
“หยานกุยล๋าย แกมันหมดน้ำยาแล้ว คืนนี้แหละฉันจะทำลายพวกแกไปพร้อมกับหอกระจกนิรันดร์ด้วยซะเลย” จังหยวนจื่อตะโกนสวนกลับมา
ว่ากันตามความจริง จังหยวนจื่อฝีมือพอ ๆ กับหยานกุยล๋าย ปกติไม่น่าจะพูดจาไม่เกรงใจกับแบบนี้
“จังหยวนจื่อ ฝีมือของแกยังย่ำอยู่กับที่ กล้าอวดดีแบบนี้ได้ยังไง เหอะ จะทำลายตระกูลหยานไปพร้อมกับหอกระจกนิรันดร์ แกไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน?” หยานกุยล๋ายพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
“หยานกุยล๋าย ฉันรู้ว่าแกไม่เชื่อ แต่เดี๋ยวแกกำลังจะได้รู้ว่าตัวเองโง่มากขนาดไหน” จังหยวนจื่อหัวเราะเยาะ
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่” หยานกุยล๋ายระเบิดเสียงหัวเราะเช่นกัน
จังหยวนจื่อพ่นลมผ่านจมูกอย่างดูถูก ก่อนจะหันไปมองหอกระจกนิรันดร์ แล้วพูด “เจ้าสำนักปี๋ ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง จะยอมมอบตัวกับพวกเราแต่โดยดีหรือไม่?”
“ฝันไปเถอะ!” ปี๋เค่อหยุนตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
“ดี!” จังหยวนจื่อยิ้มกริ่ม “แล้วคุณจะต้องเสียใจ”
“มันดูมั่นใจแปลก ๆ แฮะ” หยานกุยล๋ายพึมพำออกมา
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้า
“ไอ้หัวหน้าตระกูลจังรู้ว่านายอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่พูดถึงคุณเลยสักคำ ไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือไง?” หยานกุยล๋ายว่า
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ “เพราะเขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผม”
“หมายความว่ายังไง?” จังหยวนจื่อทำหน้าไม่เข้าใจ
“ตระกูลจังมาที่นี่คราวนี้ ได้พาผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งมาด้วย” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“ผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่ง?” หยานกุยล๋ายสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หันกลับไปจ้องมองที่กลุ่มคนตระกูลจัง แต่ก็มองไม่เห็นผู้มีฝีมือที่ฉู่ชวิ๋นเอ่ยถึง จึงต้องรำพึงออกมาว่า “อย่าบอกนะว่ามันเอาบรรพบุรุษประจำตระกูลมาด้วย?”
ฉู่ชวิ๋นสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มฝืด “อาจเป็นไปได้”
“จริงเหรอ?” หยานกุยล๋ายตกตะลึงไปแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราคงมีปัญหาใหญ่ ตระกูลจังดำรงอยู่มาหลายพันปี มีบรรพบุรุษประจำตระกูลเป็นเหมือนไพ่ตายในเวลาเกิดเหตุการณ์คับขันเท่านั้น จังหยวนจื่อเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรถึงได้เรียกบรรพบุรุษประจำตระกูลออกมาเพราะเรื่องแค่นี้”
ฉู่ชวิ๋นมองหน้าชายชรา พูดว่า “ตระกูลหยานไม่มี บรรพบุรุษประจำตระกูลบ้างเหรอ?”
หยานกุยล๋ายมึนงงแต่ก็ตอบโดยไม่ปิดบัง “มีสิ แต่มันเป็นไพ่ตายที่เอาไว้ใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าไม่เดือดร้อนถึงขั้นสิ้นตระกูลจริงๆ ห้ามรบกวนบรรพบุรุษเด็ดขาด”
“คุณรู้จักตาแก่คนนั้นหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นยกมือชี้ไปยังชายชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนตระกูลจัง มันผู้นั้นเป็นชายชราผมขาว ร่างกายซูบผอมจนหนังหุ้มกระดูก
หยานกุยล๋ายมองตามนิ้วมือของฉู่ชวิ๋น เพ่งมองอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ส่ายหน้าตอบว่า “หรือนั่นจะเป็นบรรพบุรุษของพวกมัน?”
ฉู่ชวิ๋นผงกศีรษะ เขาให้ความสนใจที่ชายชราคนนี้มานานแล้ว
“ทำไมฉันมองไม่ออกเลยละ” หยานกุยล๋ายพูดหลังจากจ้องมองชายชราปริศนาอีกพักใหญ่
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมองไม่ออก” ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาได้เพียงแค่เท่านี้จริง ๆ
“แกจะไปรู้อะไร ถ้าเป็นบรรพบุรุษประจำตระกูลจังจริง ๆ นะ ก็น่ากลัวแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าตาแก่คนนี้มีอายุกี่พันปีแล้ว นี่ฉันพูดจริงจังนะไม่ได้พูดเล่น” หยานกุยล๋ายมีสีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
หยานกุยล๋ายคิดอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ ก็หันมาพูดกับฉู่ชวิ๋นว่า “แกพอจะสู้กับมันได้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาหน้าตาเฉย
“ไม่ได้การ เดี๋ยวฉันกลับไปที่บ้านตระกูลหยาน แล้วเชิญบรรพบุรุษออกมาบ้างดีกว่า” หยานกุยล๋ายพูดอย่างร้อนใจ
ฉู่ชวิ๋นยกมือห้ามเอาไว้ “แบบนั้นคงไม่ทันการณ์แล้ว”
“มองออกไหมว่าเขามีพลังระดับไหน?” หยานกุยล๋ายถามอย่างสงสัย
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “เขาปิดบังพลังลมปราณเอาไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าสามารถฆ่าคุณได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”
หยานกุยล๋ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงรำคาญใจว่า “หากตาแก่นั้นเป็นบรรพบุรุษประจำตระกูลจังจริง ๆ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเขามีอายุเท่าไหร่แล้ว ถ้าฉันที่มีอายุหลายร้อยปียังสู้ไม่ได้ ก็คงต้องสู้กับพวกบรรพบุรุษด้วยกันเท่านั้น”
ฉู่ชวิ๋นหันกลับมามองหน้าหยานกุยล๋ายด้วยสายตาแปลกใจ
“มีอะไร? ที่ฉันพูดมันเป็นความจริงใช่ไหมล่ะ” หยานกุยล๋ายสงสัยท่าทางฉู่ชวิ๋น
“เขาได้ยินที่คุณพูดหมดแล้ว” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
หยานกุยล๋ายหันหน้ามองกลับไปยังชายชราโดยไม่รู้ตัวและพบว่าชายชราคนนั้นกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทำให้หยานกุยล๋ายถึงกับตัวสั่นเทา
“มันต้องเป็นบรรพบุรุษสกุลจังแน่นอน คราวนี้พวกเรามีปัญหาแล้ว เขาเหมือนเป็นเทพเซียนเลยนะ” หยานกุยล๋ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณลุงหยาน อย่าลืมสิ เขาได้ยินที่เราพูดกันอยู่” ฉู่ชวิ๋นอดหยอกเย้าไม่ได้
หยานกุยล๋ายแอบหันไปมองแวบหนึ่ง ก่อนที่จะหันหน้ากลับมาโดยเร็ว ถึงจะสบตาชายชราฝ่ายตรงข้ามแค่เพียงชั่วครู่เดียว หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองหน้าชายชราปริศนาด้วยความตลกขบขัน ชายชราคนนั้นก็จ้องมองกลับมาด้วยแววตาไร้อารมณ์ หยานกุยล๋ายรู้สึกเหมือนอากาศรอบกายจะจับตัวเป็นกลุ่มก้อน บรรยากาศระหว่างฉู่ชวิ๋นกับชายชราลึกลับเริ่มก่อตัวขึ้น
“พี่จิน ลูกศิษย์ของหอกระจกนิรันดร์ทั้งหมด ขอยกให้เป็นหน้าที่ของพี่แล้ว” จังหยวนจื่อพูดกับจินเว่ยและจินเฉิง
“วางใจได้” จินเว่ยเลียริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความวิปริต
“หลงอี้ หลงเอ้อร์ คอยดูแลพวกเธอด้วย” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่งทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของจังหยวนจื่อ
จังหยวนจื่อกับหลงเอ้อร์กระโดดออกไปวูบหนึ่ง ก็มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้ากลุ่มลูกศิษย์ของหอกระจกนิรันดร์ น้าวธนูพร้อมยิงตลอดเวลา
“เรียนท่านบรรพบุรุษ ไอ้หมอนั่นแหละขอรับคือจอมมารฉู่ชวิ๋น!” จังหยวนจื่อพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
บรรพบุรุษตระกูลจังยังมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกมันก็คือชายชราที่มีอายุไล่เลี่ยกับจังหยวนจื่อ แต่ความเป็นจริงแล้วบรรพบุรุษตระกูลจังมีอายุนับพันปี แม้แต่ภูตผีก็ยังต้องคร่ำครวญให้กับความยืนยาวของอายุมัน
บรรพบุรุษตระกูลจังพยักหน้าเล็กน้อย
จังหยวนจื่อหันกลับมาจ้องมองทางหยานกุยล๋าย แล้วพูด “หยานกุยล๋าย ในเมื่อเรามีเรื่องบาดหมางกันมานานหลายปี? ใช้โอกาสในวันนี้ ตัดสินกันไปเลยว่า ใครควรอยู่ใครควรไป”
“เอาสิ เข้ามา! เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนแกเอง” หยานกุยล๋ายตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
จังหยวนจื่อมีดวงตาเป็นประกายเย็นชา ยกมือขึ้นสูงก่อนตวัดลงมาพร้อมกับออกคำสั่ง
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
คำว่าฆ่าถูกพูดออกไป จินเว่ยกับจินเฉิงก็ทยานเข้าใส่กลุ่มลูกศิษย์สาวของหอกระจกนิรันดร์ พร้อมด้วยบริวารตระกูลจังทันที
ฟ้าว! ฟ้าว!
ลูกศรสีขาวพุ่งวาบผ่านท้องฟ้ายามราตรี ส่งเสียงแหวกอากาศน่าขนลุก ลูกศรทั้งสองดอกนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่พวกของจินเว่ย
สีหน้าของมนุษย์คิงคองทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไปทันที พลังลมปราณสีขาวแผ่ออกมารอบร่างกาย ในเวลาเดียวกับที่ลูกธนูพุ่งเข้ามาถึงตัว
ตู้ม!
คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่ออกไป บรรดาคนของตระกูลจังที่ล่วงหน้ามาก่อนหน้านี้ ได้รับลูกหลงโดนแรงกระแทกเข้าไปจนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
จินเว่ยกับจินเฉิงตกตะลึงไปไม่น้อย ดวงตาของพวกมันเบิกค้างเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8 และระดับ 9
“จินเว่ย ระวังตัวด้วย ไอ้คุณชายจังมันปิดบังเรื่องนี้ไม่บอกเรา” จินเฉิงมีสีหน้าเย็นชา จังหยวนจื่อไม่เคยพูดถึงการมีอยู่ของหลงอี้กับหลงเอ้อร์ให้พวกมันฟังเลยสักคำ
จังหยวนจื่อได้ยินคำพูดนั้นก็หันขวับไปมองทันที สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย สิ่งที่เคยสงสัยอยู่ในใจพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา บุตรชายของมันปิดบังบางอย่างเอาไว้จริง ๆ ด้วย แต่ตอนนี้นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว มันอัญเชิญบรรพบุรุษตระกูลจังออกมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกต่อไป จังหยวนจื่อส่งเสียงคำรามว่า “พวกเราฆ่าพวกตระกูลหยานให้หมด”
“พวกเรามาฆ่าหมาเร่ร่อนพวกนี้่ซะ!” หยานกุยล๋ายตะโกนเสียงดัง
“ฆ่าพวกมันซะ!” นี่คือเสียงตะโกนจากปี๋เค่อหยุน
ในพริบตานั้นเอง พื้นดินก็สั่นสะเทือน บริวารปะทะบริวาร ผู้อาวุโสสู้กับผู้อาวุโส เจ้าสำนักสู้กับเจ้าสำนัก ทุกคนมีฝีมือในระดับไล่เลี่ยกัน
ไม่นานหลังจากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ก็เริ่มบังเกิดเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง เลือดสีแดงสดสาดกระจาย แขนขาคนปลิวกระจายในอากาศ
เปรี้ยง!
คนของตระกูลจังหลายคนเห็นว่าฉู่ชวิ๋นยังคงยืนอยู่นิ่งเฉย พวกมันไม่รู้จักฉู่ชวิ๋น แต่ก็รับรู้ได้ว่าบุรุษหนุ่มคนนี้มีพลังแข็งแกร่ง ผู้ใดที่ใจกล้าหน่อยก็ควงมีดดาบเข้าไปหา แต่สุดท้ายก็ต้องชะตาขาดเมื่อฉู่ชวิ๋นสะบัดมือซัดลมปราณใส่แล้วร่างของมันผู้นั้นก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
“เจ้าคือจอมมารฉู่ชวิ๋นใช่หรือไม่?” บรรพบุรุษตระกูลจังถามขึ้น เสียงของมันไม่ได้ดัง แต่กลับได้ยินไปทั่วลานที่กำลังเกิดการต่อสู้
จอมมารฉู่ชวิ๋น?
ผู้อาวุโสและลูกศิษย์ที่กำลังจะพุ่งเข้าไปหาฉู่ชวิ๋นทางด้านหลัง รีบถอยหนีกลับมาทันที
หลังจากนั้น สีหน้าของพวกมันก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก รู้สึกดีใจที่เมื่อสักครู่นี้ตนเองไม่ได้ลงมือรวดเร็วเกินไป
พวกมันรู้สึกราวกับว่าเพิ่งกลับออกมาจากประตูนรกก็ไม่ปาน
ฉู่ชวิ๋นมองหน้าบรรพบุรุษตระกูลจังด้วยแววตาขี้เล่น “ฉันมีคำถาม”
“ว่ามา” บรรพบุรุษตระกูลจังมีสีหน้าภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
“คนเราเมื่อแก่ตัวลง ผมก็ยิ่งยาวมากขึ้นใช่หรือไม่?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาด้วยความสงสัยจากใจจริง เขาเคยเห็นจอมยุทธ์ที่แก่ชรามามากมาย และส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผมเผ้ารุงรังทั้งนั้น
“ใช่!” บรรพบุรุษตระกูลจังมีสีหน้างุนงง
ความจริงแล้ว ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันงงไปหมด จนต้องหยุดการต่อสู้ชั่วคราว เนื่องจากไม่มีใครคิดเลยว่าในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ฉู่ชวิ๋นกลับสามารถถามคำถามไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้
“เจ้าถามทำไม?” บรรพบุรุษสกุลจังถามกลับมาด้วยความสงสัย
“อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ผมแค่คิดว่า ไม่ว่าคุณจะแก่เกินไปหรือเสียเวลาอยู่กับการฝึกตนมากเกินไป แต่อย่างน้อยก็สมควรใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์หน่อยสิ เล่นปล่อยให้หนวดเครารุงรังผมเผ้ายุ่งเหยิงแบบนี้ ผมยิ่งเป็นโรครักความสะอาดอยู่ด้วย เวลาต่อสู้กันในระยะประชิด ขยะแขยงตายชัก”
คำพูดเหล่านี้ทำเอาบรรดาเหล่าผู้อาวุโสที่มีหนวดเครายาวเฟื้อย มีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมาแล้ว
“เจ้าเด็กน้อย พวกเราคือจอมยุทธ์ เวลาฝึกตนแต่ละครั้งต้องเก็บตัวนานเป็น 10 ปี 100 ปี ผมเผ้าย่อมยาวรุงรังเป็นเรื่องธรรมดา” บรรพบุรุษตระกูลจังตอบ
“เป็นแบบนี้นี่เอง” ฉู่ชวิ๋นทำท่าเหมือนเข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน “ไอ้ผมก็หลงเข้าใจว่าคนเรายิ่งแก่ตัวไปก็ยิ่งสกปรกโสโครกมากขึ้น แต่แบบนี้มันก็ลำบากหน่อยนะครับ จะกินอะไรก็เลอะเทอะแย่เลย โดยเฉพาะพวกข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว คราวหลังเวลาเก็บตัวฝึกตน พกมีดโกนเอาไว้โกนหนวดบ้างก็ดีนะครับ”
นี่มันคือบทสนทนาที่ไร้สาระอะไรกันนี่? มีใครบ้างที่เมื่อเก็บตัวฝึกวิชา จะมาห่วงเรื่องการโกนหนวดอีก?
“เจ้าหนูน้อย ข้าขอถามอะไรเจ้าบ้างได้หรือไม่?”
“เชิญ” ฉู่ชวิ๋นว่า
“ได้ยินว่าเจ้ามีคัมภีร์ความลับฟ้าอยู่ในการครอบครอง ข้าไม่สนใจต่อสู้กับเจ้าหรอก เจ้าช่วยมอบตำราเล่มนั้นมาให้ข้าได้หรือไม่”
ฉู่ชวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ความจริงประเด็นนี้เองที่เป็นตัวจุดชนวนทำให้ทุกคนอยากจะฆ่าเขานักหนาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน
“ถ้าผมบอกว่าผมไม่มี คุณจะเชื่อผมไหม” ฉู่ชวิ๋นตอบ
บรรพบุรุษตระกูลจังหัวเราะในลำคอ “หากเจ้ามอบตำรามาให้ข้า ข้าก็ยินดีไว้ชีวิตเจ้า”
“ท่านบรรพบุรุษขอรับ จอมมารฉู่ชวิ๋นจะให้รอดไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นได้เกิดปัญหาไม่รู้จบแน่” จังหยวนจื่อโพล่งออกมาด้วยความร้อนใจ
บรรพบุรุษตระกูลจังหันมาตอบสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ข้าต้องคอยรับคำสั่งจากเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หยานกุยล๋ายเห็นว่าหลังจากที่จังหยวนจื่อปะทะคารมกับตนเองอยู่หลายยก ก็โดนบรรพบุรุษประจำตระกูลดุด่าเข้าอย่างนั้น ก็รู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่ง พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างคึกคัก
“หัวหน้าตระกูลจัง แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าสั่งสอนบรรพบุรุษแบบนั้น?”
“หุบปากเดี๋ยวนี้ แกรอรับความตายให้ดี เดี๋ยววันนี้ฉันจะขืนใจพวกหอกระจกนิรันดร์ต่อหน้าแกเอง”
“คนตายจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง” หยานกุยล๋ายคำรามด้วยความเดือดดาล ซัดพลังลมปราณออกไปด้วยความรุนแรง หัวหน้าตะกูลจังตั้งรับอยู่หลายกระบวนท่า ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสู้ไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นหันหน้ามาพูดกับบรรพบุรุษตระกูลจังว่า “ผมยังมีเรื่องสงสัยอีกนะครับ ผู้สูงอายุอย่างคุณเนี่ย ทำไมต้องคอยมาแก้ปัญหาให้ลูกหลานด้วย ยุคนี้สมัยนี้ไม่มีใครเขาทำกันแล้วนะ ทำไมคนแก่ไม่อยู่ส่วนของคนแก่ไปล่ะ?”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากเจอข้าเหลือเกินนะ” บรรพบุรุษตระกูลจังพูดออกมา
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ตัวคนกระโดดวูบ เพียงก้าวเดียวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าบรรพบุรุษตระกูลจัง พลัน ชายหนุ่มต่อยหมัดออกไปรัว ๆ จนไม่อาจมองด้วยตาเปล่าได้ทัน