จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 425 สำรวจหุบเขาอเวจียามดึก
บทที่ 425 สำรวจหุบเขาอเวจียามดึก
ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
“คุณกำลังจะบอกว่าที่พันธนาการแห่งท้องฟ้ามันหาผมเจอได้ ก็เพราะคุณคนเดียวเลยสินะ”
อ๋าวฮวงนิ่งเงียบ ก่อนจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาเหยียดหยาม “นี่เจ้ายังไม่สำนึกบุญคุณอีกเหรอ? ถ้าไม่เป็นเพราะข้า ป่านนี้เจ้าคงมีพันธนาการแห่งท้องฟ้าเส้นใหญ่กว่านี้ไปแล้ว”
“เหลวไหล ผมอยู่ที่ดินแดนเซียนมา 3,000 ปี ไม่เห็นรู้เรื่องพันธนาการแห่งท้องฟ้าอะไรเลย แถมผมก็กลับมาอยู่โลกมนุษย์ตั้งหลายปีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามาพบเจอตัวซวยอย่างคุณ พันธนาการแห่งท้องฟ้ามันจะหาผมเจอได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความฉุนเฉียว
“เพราะว่าเจ้ามันโชคดียังไงละ พันธนาการแห่งท้องฟ้าที่อยู่ในร่างเจ้าบางยิ่งกว่าเส้นผมเสียอีก ถ้าเจ้าเจอเส้นใหญ่มากกว่านี้ มีหวังได้มุดกลับไปอยู่ในท้องแม่แล้ว”
“โชคดีบ้าบออะไรกัน ทีนี้ผมก็ไม่ต่างจากพวกสัตว์เลี้ยงในฟาร์มปศุสัตว์ที่รอวันโดนเชือด”
“เจ้ารู้อะไรไหม? โซ่ของเจ้าไม่เหมือนโซ่ของข้า ตอนนี้เบื้องบนรับรู้ว่าแล้วเจ้ามีพันธนาการแห่งท้องฟ้าอยู่ในร่างกาย พวกเขาเลยไม่สนใจอะไรเจ้าอีก ไม่งั้นเจ้าคิดหรือว่า การที่กลับมาอยู่บนโลกมนุษย์เพียงแค่ 20 กว่าปี ก็เลื่อนระดับพลังมาอยู่ขั้นแก่นแท้ลมปราณช่วงกลางแล้ว ถ้าเบื้องบนรู้เรื่องนี้เข้าคิดหรือว่าพวกมันจะปล่อยเจ้าไป? ถ้าพวกมันรู้คงได้เตรียมพันธนาการแห่งท้องฟ้าเส้นใหญ่ ๆ เอาไว้ให้เจ้าแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อให้เจ้าฝึกแทบตาย ก็ไม่มีทางคืบหน้าไปไหนได้หรอกนะ”
“อย่าบอกนะว่าพันธนาการแห่งท้องฟ้าแบ่งแยกความแข็งแกร่งและอ่อนแอ จากความหนาของสายโซ่?”
“ถามอะไรโง่ ๆ ท่อน้ำขนาดใหญ่ ย่อมสามารถลำเลียงน้ำได้เร็วกว่าท่อน้ำขนาดเล็กอยู่แล้ว? เรื่องนี้แม้แต่คนปัญญาอ่อนยังเข้าใจ”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบ คิดดูแล้วนั่นก็เป็นความจริง
แต่ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังยิ้มมุมปาก
“ช่างเถอะ ยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้าที่จะมาพูดคุยเรื่องนี้ ห่วงเรื่องที่จะต้องไปบุกหุบเขาอเวจีก่อนดีกว่า”
“เร็วเกินไปอะไรล่ะ ผมอุตส่าห์ฝันหวานว่าถ้าได้เลื่อนพลังถึงขั้นสร้างกายทิพย์เมื่อไหร่ จะได้เข้าใกล้ความเป็นเซียนแล้วกลับสู่ขั้นนิรันดร์ แต่ตอนนี้ทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว”
“คนที่จะกลับเป็นขั้นนิรันดร์ได้น่ะ มันข้าต่างหาก ไม่ใช่เจ้า”
“อะไร จะมาอวดกันงั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ
“เหอะ เจ้าหนู โซ่ที่อยู่ในตัวเข้า มันน่ากลัวมากกว่าของเจ้ามากนัก แต่ข้าก็ไม่เคยหวั่นเกรง แล้วเจ้าจะเป็นกังวลไปทำไม? บางทีตอนที่เจ้าเลื่อนระดับถึงขั้นสร้างกายทิพย์ ข้าอาจค้นพบวิธีแก้ไขแล้วก็ได้”
“งั้นก็รีบหาวิธีแก้ให้เจอเร็ว ๆ เลย ผมไม่อยากติดอยู่ในขั้นสร้างกายทิพย์ตลอดกาลแถมยังต้องหดหัวอยู่แต่ในคฤหาสน์ทั้งวันทั้งคืน ออกไปไหนก็ไม่ได้”
อ๋าวฮวงขึงตามอง พูดว่า “เจ้าหนู เจ้ากำลังเหน็บแนมใครอยู่หรือเปล่า?”
“ก็แค่พูดลอย ๆ ต่างหาก!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มด้วยความสะใจ
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นยังยิ้มได้ จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มไม่เป็นไร ฉู่ชวิ๋นนับว่ามีจิตใจที่แข็งแกร่ง คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว
แต่จริง ๆ แล้วฉู่ชวิ๋นกังวลไม่น้อย เขาเลือกที่จะไม่แสดงออกมาเท่านั้นไม่ว่าใครต่างก็ต้องกลัวความตาย แม้แต่ฉู่ชวิ๋นก็ไม่มีข้อยกเว้น
อ๋าวฮวงถูกจองจำอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว แต่ก็ยังคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาเรื่องพันธนาการแห่งท้องฟ้าไม่ได้ มันเป็นปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็ญไม่ต้องบอกเขาก็รู้ดี
ถ้าบรรดาเซียนหรือเทพที่อยู่เบื้องบนสั่งการให้พันธนาการแห่งท้องฟ้าคอยขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้เขาเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ แล้วเขาจะทำยังไง?
ฉู่ชวิ๋นหัวใจกระตุกวูบ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงไม่มีทางกลับไปอยู่ขั้นนิรันดร์เหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว
พันธนาการแห่งท้องฟ้ามันเป็นปัญหาที่ไร้ทางแก้จริง ๆ
อ๋าวฮวงไม่ใช่ตัวโง่งม ฉู่ชวิ๋นมองชายชราที่นั่งอยู่โดดเดี่ยวด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็รู้ดีว่าจิตใจของอ๋าวฮวงยากที่จะสงบนิ่งได้
ถ้าหากวันพรุ่งนี้เขาต้องตาย จะมีใครมาเป็นเพื่อนอ๋าวฮวงอีก?
เดิมทีการฝึกวิชาสายเซียนก็เป็นเรื่องที่ฝืนชะตาฟ้าลิขิตอยู่แล้ว มนุษย์เกิดมาเพื่อเกิดแก่เจ็บตาย แต่การฝึกวิชาสายเซียนจะนำมาซึ่งการมีชีวิตอมตะ ไร้ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์จากมนุษย์โลก แถมยังเดินทางข้ามมิติได้ตามใจชอบ
แต่เมื่อมีพันธนาการแห่งท้องฟ้าคอยตัดกำลัง ทันทีที่ฉู่ชวิ๋นได้ก้าวสู่ขั้นสร้างกายทิพย์ นั่นก็คงเป็นจุดสิ้นสุดของหนทางฝึกวิชา ซึ่งคงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมรับได้
“ไอ้หนู ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้วนะ” อ๋าวฮวงอดพูดออกมาไม่ได้
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองแล้วฝืนยิ้ม “จริงอยู่ที่ตอนนี้ผมมีพลังแค่ระดับแก่นแท้ลมปราณ หนทางสู่ขั้นนิรันดร์ยังคงอีกยาวไกล ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้จริงๆ”
“ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น” อ๋าวฮวงว่า “อย่าลืมสิว่าพันธนาการแห่งท้องฟ้าไม่สามารถดูดซับลมปราณจำแลงได้ ตอนนี้เจ้าก็ใช้ลมปราณจำแลงอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ลมปราณจำแลง” ฉู่ชวิ๋นมีแววตาสดใสขึ้นมาแล้ว
อ๋าวฮวงพยักหน้า “ใช่ ถ้าเจ้าใช้ลมปราณจำแลงในการฝึกฝน พันธนาการแห่งท้องฟ้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ จริงไหม?”
“จริงด้วย!” ฉู่ชวิ๋นยกมือกุมหน้าอก ดวงตาเป็นประกายสว่างไสว “ถ้าผมใช้ลมปราณแบบเดิม พันธนาการแห่งท้องฟ้าก็จะดูดลมปราณไปจนหมด แต่ถ้าใช้ลมปราณจำแลง พันธนาการแห่งท้องฟ้าก็ทำอะไรผมไม่ได้แล้ว”
“ถูกต้อง” อ๋าวฮวงเองก็พูดออกมาอย่างมีความหวังเช่นกัน “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาถูกทางแล้ว”
เมื่อรู้อย่างนี้ ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาก
จิงหงยิ้มออกมาเบา ๆ เรื่องที่ฉู่ชวิ๋นมีพันธนาการแห่งท้องฟ้าอยู่ในร่างกายเธอรู้แล้ว แต่จิงหงไม่ใช่หญิงสาวทั่วไป เธอเลือกที่จะเก็บความกังวลใจไว้กับตัวเอง
ในขณะนี้ แม้แต่เธอก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้
“ตาเฒ่า ผมสัญญาว่าถ้ากลับสู่ขั้นนิรันดร์เมื่อไหร่ สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คือเอาพันธนาการแห่งท้องฟ้าออกจากตัวคุณซะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยแววตามุ่งมั่น มีเป้าหมายคือการท้าทายสวรรค์ จะเซียนหรือเทพก็ไม่สมควรทำแบบนี้!
ครืน!
ทันใดนั้นเอง ที่พักของอ๋าวฮวงพลันสั่นสะเทือน
ต้องใช้เวลาอีกสักครู่ใหญ่กว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้จะทำให้อ๋าวฮวงมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปไม่น้อย
“ไอ้หนู เก็บเรื่องนี้ไว้พูดทีหลังเถอะ!”
ฉู่ชวิ๋นรู้แล้วว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน จึงรีบพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน
นับจากวันนี้ไป เขาจะปิดตาสวรรค์ด้วยการใช้พลังลมปราณจำแลง และใช้มันปูทางไปสู่หนทางแห่งการท้าทายสวรรค์
สักวัน เขาจะเปลี่ยนร่างจากปลาคาร์ฟในบ่อน้ำ กลายเป็นพญามังกร!
ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พลังลมปราณจำแลงเป็นเพียงทางออกเดียวเท่านั้น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันสู้ต่อไป
เมื่อคิดไปคิดมา ชายหนุ่มก็อดสงสารจักรพรรดิอ๋าวฮวงขึ้นมา ชายชราต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้มาหลายพันปี เนื่องจากมีฝีมือเก่งกาจมากเกินไปจึงถูกสวรรค์หมายหัว ถ้าจักรพรรดิอ๋าวฮวงฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ออกมาต่อสู้ การลงทัณฑ์ที่ตามมาจากสวรรค์ก็คือ ภูเขาและแม่น้ำจะถูกทำลาย เมืองหลวงของประเทศจีนก็จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
อ๋าวฮวงต้องทุกข์ทรมานใจมากกว่าตัวเขาเองหลายเท่านัก
ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เรื่องพันธนาการแห่งท้องฟ้าคงต้องพักเอาไว้ก่อน ปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้ คือการเดินทางไปยังหุบเขาอเวจีต่างหาก
แล้วทั้งสามคนก็ปรึกษาหารือกันอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นอีกแล้ว หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ออกเดินทางมาอย่างรวดเร็ว
จิงหงแวะกลับไปที่วังมังกรเพลิง รวบรวมนักรบมังกรเงินสี่คน แล้วนำตัวไปส่งที่สำนักภูผาทมิฬ
ทางฉู่ชวิ๋นเดินทางมาส่งหลงอี้กับหลงเอ้อร์ เพื่อทำหน้าที่อารักขาหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง
หัวหน้าหมายเลขหนึ่ง ทราบเรื่องที่ฉู่ชวิ๋นต้องเดินทางไปยังหุบเขาอเวจีแล้ว
พวกเขาพูดคุยกันเพียงพอเป็นพิธี หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ร่ำลาหลงอี้กับหลงเอ้อร์ ก่อนเดินทางจากมา
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ฉู่ชวิ๋นจึงได้เริ่มออกเดินทางไปยังหุบเขาอเวจี
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้เดินทางมาพร้อมกับจิงหง เขากับเธอใช้เส้นทางคนละสาย
จิงหงมีภารกิจคอยสังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ หุบเขาอเวจี
ฉู่ชวิ๋นเดินทางโดยการแปลงโฉมตัวเองกลายเป็นชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง
ตลอดทาง ฉู่ชวิ๋นพบเจอจอมยุทธ์จำนวนมากกำลังรีบรุดเดินทางไปยังหุบเขาอเวจี
นัดชุมนุมล่าปีศาจ
นับเป็นเหตุการณ์ที่หายากในรอบ 100 ปี ย่อมดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นธรรมดา
ฉู่ชวิ๋นมาถึงที่หมายในเวลา 1 วัน
ไม่ไกลจากหุบเขาอเวจีเท่าไหร่นัก เป็นที่ตั้งของเมืองร้างแห่งหนึ่ง แต่เมืองร้างแห่งนั้นในขณะนี้มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นปรากฏตัวในเมืองด้วยรูปลักษณ์ของชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา ไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้ใด
ที่นี่ห่างจากหุบเขาอเวจีหลายสิบกิโลเมตร สองในสามของทางเข้า ต้องผ่านบึงน้ำที่เต็มไปด้วยหมอกควันพิษ
ฉู่ชวิ๋นใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเก็บข้อมูลจากบรรดาผู้คนที่อยู่รอบตัว
เมื่อถึงยามดึก ฉู่ชวิ๋นก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวจหุบเขาอเวจี
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนนึงได้หายตัวไป
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เข้าสู่อาณาเขตของบึงน้ำ
ยามราตรีมีหมอกลอยตัวหนา ผืนป่าปกคลุมไปด้วยม่านควันสีเขียวครึ้ม ถ้าสูดหายใจเข้าไปจะทำให้มองเห็นภาพหลอนและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
นอกจากนั้น ในบึงน้ำแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษหลายชนิด รวมถึงบรรดามดและแมลงด้วยเช่นกัน
และในจังหวะที่ฉู่ชวิ๋นกำลังจะเหยียบเท้าลงไปในบึงน้ำนั้นเอง จระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีความยาวมากกว่า 10 เมตร ก็อ้าปากกว้าง โผพุ่งเข้ามาหมายจะกัดเขาให้ตายคาที่
ถ้าเป็นผู้คนธรรมดา คงต้องลงไปอยู่ในท้องจระเข้เรียบร้อยแล้ว
แต่ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือซัดลมปราณออกไป เลือดสาดกระจายออกมาจากตัวของจระเข้
ฉู่ชวิ๋นเดินหน้าต่อไป แต่เดินมาได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อหันไปมองหนังหัวก็ชายิบ ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความขนหัวลุก
จระเข้ยักษ์ที่ตายไปเมื่อสักครู่นี้ บัดนี้กำลังถูกกลุ่มมดที่มีขนาดตัวเท่ากับนิ้วหัวแม่มือรุมกัดกิน เพียงพริบตาเดียว จระเข้ยักษ์ที่มีขนาดลำตัวกว่า 10 เมตร ก็เหลือเพียงแต่โครงกระดูกเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากมีปัญหาอีก จึงรีบเดินหนีออกมา
แต่ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็เหยียบเท้าลงไปบนต้นไม้ที่โค่นล้มลงมาต้นหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นงูเหลือมขนาดยักษ์ มีลำตัวเท่ากับถังน้ำหนึ่งใบ แต่ที่น่าขนลุกที่สุดก็คือเขี้ยวทั้งสองข้างที่งอกออกมาจากปาก ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นหลงเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นเพียงต้นไม้ที่ล้มลงมา เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นงูตัวหนึ่งก็ตอนนี้เอง
งูเหลือมยักษ์ขดตัวแล้วสะบัดหางฟาดใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นกระโดดตีลังกาหนีมาตั้งหลักไกล 100 เมตร
หางของงูยักษ์ฟาดเข้าใส่ต้นไม้โบราณที่อยู่ข้างทาง ต้นไม้ต้นนั้นมีลำต้นหนาเท่ากับเอวของฉู่ชวิ๋น เมื่อถูกหางงูฟาดเข้าไป ก็โค่นล้มลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยง
เห็นได้ชัดว่างูยักษ์ตัวนี้มีพละกำลังมหาศาล
มันเห็นฉู่ชวิ๋นถอยหนีไปตั้งไกล ก็ยกตัวสูงขึ้น แล้วพ่นสิ่งที่เหมือนน้ำพิษออกมาจากปาก
ฉู่ชวิ๋นกระโดดหนีด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง
น้ำพิษราดรดลงไปบนก้อนหินใหญ่ แล้วหินก้อนนั้นก็ถูกกัดกร่อนจนละลายหายไปในทันที
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้น ตวัดลมปราณที่เป็นรูปทรงดาบออกไป
ควับ!
ประกายไฟสาดกระจาย เกล็ดที่อยู่บนลำตัวงูเหลือมยักษ์ตัวนี้แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า แต่ก็ไม่อาจต้านทานดาบลมปราณของฉู่ชวิ๋นได้ หางของงูยักษ์จึงถูกตัดขาด
งูยักษ์ส่งเสียงร้องคำรามในขณะที่ดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดและบ้าคลั่ง ต้นไม้โบราณและก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่รายรอบกระจัดกระจายจากแรงฟาดของมัน
ฉู่ชวิ๋นตวัดดาบลมปราณตัดไปที่หัวงู อย่างไม่ลังเล
หลังฆ่างูยักษ์ ชายหนุ่มก็ถอยไปสังเกตการณ์จากระยะไกลหลายร้อยเมตร
แต่ตำแหน่งที่เขาถอยมายืนอยู่ตอนนี้ กลับเป็นที่ตั้งของรังแมงมุมดำตัวหนึ่ง แมงมุมตัวนี้มีขนาดใหญ่ยักษ์ กำลังห้อยตัวลงมาจากกลางอากาศ
แมงมุมเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะประมาทไม่ได้เลยสักนิดเดียว มันมักจะเลือกจังหวะโจมตีได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา แมงมุมยักษ์ตัวนี้คงได้เขมือบหัวฉู่ชวิ๋นไปแล้ว
แต่แมงมุมยักษ์ตัวนี้มีสติปัญญา เมื่อไตร่ตรองดูแล้วคิดว่าไม่น่าจะล่าเหยื่อได้สำเร็จ มันก็รีบดึงใยแมงมุมกลับแล้วรอดูท่าทางของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นดีดนิ้วมือหนึ่งครั้ง เส้นไหมสีขาวก็พุ่งออกไปตัดใยแมงมุมเข้าพอดี
โครม!
แมงมุมยักษ์ร่วงลงมาจากกลางอากาศ กระแทกพื้นดินกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
แมงมุมยักษ์มีขาอยู่ทั้งหมดแปดข้าง ในขณะนี้ขาหักไปสองข้าง แต่มันก็ยังสามารถใช้ขาอีกหกข้างที่เหลืออยู่ วิ่งหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
ฉู่ชวิ๋นอดยิ้มออกมาไม่ได้ เจ้าแมงมุมตัวนี้ฉลาดเกินไปแล้ว
ตลอดเส้นทาง ฉู่ชวิ๋นไม่รู้เลยว่าตนเองเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดไปกี่ชนิดและฆ่าพวกมันตายไปกี่ตัว แม้แต่ไส้เดือนที่อยู่ใต้พื้นดินก็มีขนาดเท่ากับขาคน มันยังมีกะจิตกะใจพุ่งขึ้นมาเล่นงานเขา ไม่ต่างจากงูที่รอคอยจังหวะโจมตีเหยื่อเลยสักนิด
แต่ในที่สุด ฉู่ชวิ๋นก็มาถึงหุบเขาอเวจีได้อย่างปลอดภัย เขาเงยหน้ามองความสูงของยอดเขา รู้สึกเหมือนกับว่าหุบเขาแห่งนี้เป็นเหมือนอสูรร้ายที่รอให้เหยื่อเดินเข้าไปติดกับดัก
เมื่อปล่อยคลื่นพลังจิตออกไปสำรวจ ฉู่ชวิ๋นจึงได้พบว่าหุบเขาแห่งนี้วางกำลังเวรยามไว้อย่างแน่นหนา
แต่เวรยามเหล่านั้นก็หยุดเขาไม่ได้หรอก เนื่องจากหุบเขาแห่งนี้กว้างใหญ่มากเกินไป การจะพบเจอคนผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
ฉู่ชวิ๋นค้นหาเส้นทางไปต่อแล้วแต่จะมันเรียกว่าถนนก็กระดากปาก ที่เขาพบเป็นเพียงแท่นวางเท้าที่ฝังติดอยู่กับกำแพงหิน ฉู่ชวิ๋นล้วงตะขอเกี่ยวสำหรับปีนหน้าผาออกมา และเริ่มต้นปีนป่ายหน้าผาหินขึ้นไปด้วยความว่องไว
หน้าผาหินมีลักษณะเรียบลื่น ไม่เป็นผลดีกับฉู่ชวิ๋นสักเท่าไหร่ เขาใช้มันเป็นเพียงจุดส่งแรงเท่านั้น ชายหนุ่มทิ้งน้ำหนักลงไปที่ปลายเท้าแล้วตัวคนก็ทะยานขึ้นสูงไปหลายสิบเมตรในครั้งเดียว ก่อนที่เท้าของเขาจะสัมผัสลงบนขั้นวางเท้าอีกจุดหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นก้มหน้าก้มตาปีนป่ายขึ้นไปสู่ยอดเขา โดยเลิกนับไปแล้วว่ายังเหลือเส้นทางอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงยอด