จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 108-2
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 108-2 ใต้เท้าซย่าโหว เด็ดขาด เกรียงไกร!
เมื่อกินดื่มจนอิ่มหมีพีมันแล้ว หมอเทวดาฮั่วก็เอนกายพิงเก้าอี้สีหน้าสงบสุขอิ่มอกอิ่มใจ!
ในชีวิตนี้เขาชื่นชอบอยู่เพียงสองสิ่ง สิ่งหนึ่งคือวิชาแพทย์ อีกสิ่งก็คืออาหารรสเลิศ
สองสิ่งที่เขาชื่นชอบนี้ มีเพียงอวี้เฟยเยียนที่เพียงคนเดียวสามารถสนองเขาได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เห็นทีว่าแม่นางน้อยอวี้คงจะเป็นนางฟ้าน้อยที่สวรรค์ส่งมาเป็นแน่!
“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว…”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมกลับไปเสียที ซย่าโหวฉิงเทียนจึงออกคำสั่งไล่แขกทันที
ถึงแม้ว่าการที่อวี้เฟยเยียนเป็นที่นิยมชมชอบจะนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็กำลังเบียดเบียนช่วงเวลาที่มีค่าที่เขาจะได้อยู่กับนางตามลำพังสองต่อสองอย่างร้ายแรง ทำให้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเช่นเดียวกัน
“เจ้าหนุ่มนี่ไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม!”
หมอเทวดาฮั่วสบถออกมาด้วยความไม่พอใจนัก
แต่ทว่าเขาก็เคยเป็นหนุ่มมาก่อน จึงรู้ดีว่าในตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกำลังอยู่ในสถานะคนรักกัน จึงไม่สะดวกที่จะรบกวน
ดังนั้นหมอเทวดาฮั่วและเซวียจื่ออี๋จึงขอลา ส่วนเหลียนจิ่นและมั่วซ่างก็ตามกลับไปด้วยกัน
ก่อนจะไป เหลียนจิ่นแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยบางประโยคกับซย่าโหวฉิงเทียน
“ช่วงนี้อากาศไม่เลวทีเดียว เหมาะสมยิ่งนักกับการออกท่องเที่ยว เหตุใดท่านไม่พานางออกไปท่องเที่ยวบ้าง!”
คำพูดเจ้าไม้เท้าเทพ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเก็บไปคิดไตร่ตรองได้
เพราะว่าเหลียนจิ่นป็นพวกแปลกประหลาด ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องครุ่นคิดทุกครั้งไป
สัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของเหลียนจิ่น ซึ่งสิ่งที่เขากล่าวตรงกับสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังคิดที่จะทำพอดี เขาจึงพยักหน้าแผ่วเบา
“เที่ยวให้สนุกนะ!”
เหลียนจิ่นฉีกยิ้ม คิ้วเขาราวกับภาพวาด ให้อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ทว่าในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน เขากลับรู้สึกว่าเจ้าไม้เท้าเทพแลดูมีลับลมคมใน
“เจ้ายิ้มได้เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายจริงๆ! “
ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยกล่าวออกไปตรงๆ
“หากมีเจตนาร้าย ก็จะพบแต่ความชั่วร้าย หากในใจชั่วร้าย ก็จะมองเห็นแต่เพียงสิ่งชั่วร้าย!”
เหลียนจิ่นโต้กลับเสียงเรียบ
“ในเมื่อท่านวิพากษ์วิจารณ์ข้าว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องนับข้าเพิ่มเข้าไปในการท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ด้วย มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ชั่วร้าย’ ของท่านเอาได้!”
“ไสหัวไป…”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวลอดไรฟัน
หากมิใช่เห็นแกว่าร่างกายของเหลียนจิ่นอ่อนแอยิ่งนัก ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะจับเขาโยนออกไปแล้ว
“หึๆ…”
เหลียนจิ่นหัวเราะแล้วจากไป รอกระทั่งเขาออกไป หนานกงจื่อหลิงก็เดินเข้ามาหาซย่าโหวฉิงเทียน
“พี่ใหญ่ เขาเป็นใครกัน!”
“ไม้เท้าเทพอันหนึ่ง!”
ด้วยเกรงว่าน้องสาวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะถูกเหลียนจิ่นมอมเมา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงกล่าวกับหนานกงจื่อ หลิงด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจังว่า
“เขาไม่ใช่คนดี!
“คิก…”
ได้ยินเช่นนั้นหนานกงจื่อหลิงก็หัวเราะออกมา
“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไปหรือไม่ ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้นเอง! ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเขาเหมือนกับพี่ใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาไม่เลว! แต่นอกเหนือจากนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะ!”
เพราะหนานกงจื่อหลิงรู้ดีว่า เรื่องการแต่งงานของนางเองนั้นนางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรได้
การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของตระกูลทั้งแปดเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน
แล้วนางในฐานะที่เป็นบุตรสาวคนเดียวแห่งตระกูลหนานกง การแต่งงานของนางจึงถูกหนานกงเอ๋ากำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อเห็นรอยยิ้มไร้ซึ่งทางเลือกของหนานกงจื่อหลิง ซย่าโหวฉิงเทียนเงียบลงไป
“หากพวกเขาบงการให้เจ้าแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบละก็ ถอนตัวเสีย! พี่ใหญ่คนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง ไม่ต้องกลัว!”
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้หนานกงจื่อหลิงรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก
หากเปรียบเทียบกัน ระหว่างหนานกงเช่อที่เอาแต่ห้ามปรามตักเตือนนางว่า นางในฐานะคนของตระกูลหนานกง จะต้องทำเพื่อตระกูลหนานกง บ้านนี้ให้กำเนิดเลี้ยงดูนางมาตั้งหลายปี นางจึงมิควรเนรคุณ
เหอะ…
พี่รองมักเอาแต่ถามนาง ว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้ดีกับนางยิ่งนัก นั่นก็เพราะว่าพี่ใหญ่เห็นนางเป็นน้องสาวอย่างไรเล่า!
ทุกคนย่อมมีเลือดเนื้อมีหัวใจ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา พี่ใหญ่รักแหละหวังดีกับนางด้วยใจจริง แน่นอนว่านางย่อมต้องดีกับพี่ใหญ่อยู่แล้ว!
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่!”
หนานกงจื่อหลิงพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
“พี่สมกับเป็นพี่ชายของน้องจริงๆ!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าเสมอ!”
เมื่อเห็นว่าความเศร้าหมองบนใบหน้าของหนานกงจื่อหลิงมลายหายไป กลายเป็นรอยยิ้มที่สดใสเข้ามาแทนที่ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้วางใจ
“การแต่งงานเกี่ยวกับความสุขชั่วชีวิต จึงต้องตามหาคนที่ชอบพอและคนคนนั้นก็ชอบเจ้าเช่นกัน เจ้าเป็นน้องสาวของพี่ อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ไม่ว่าจะอย่างไรพี่ชายก็ยังอยู่ตรงนี้!”
ความตรงไปตรงมาของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้หนานกงจื่อหลิงยิ่งนับถือมากขึ้นไปอีก
มีพี่ชายเช่นนี้คอยสนับสนุน ช่างดีเหลือเกิน!
ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกไว้ว่าสองวันให้หลังพาอวี้เฟยเยียนออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีผู้ที่ติดตามมาด้วยก็คือเชียนเยี่ยเสวี่ยและหนานกงจื่อหลิง
หลังจากที่ตี้อู่เฮ่ออีไปที่หอคืนชีพในวันนั้น ก็มิได้กลับมาอีกเลย
เขาและหมอเทวดาฮั่วเพียงได้พบหน้าก็ราวกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มที่ต่างก็คลั่งไคล้ในการแพทย์เช่นเดียวกันพากันอภิปรายปัญหาเกี่ยวกับการแพทย์ด้วยความสนุกสนาน ตี้อู่เฮ่ออีจึงปักหลักอยู่ที่นี่เสียเลยแล้วละทิ้งโอกาสในการไปท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิไป
และเมื่ออวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขอร้อง ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยินยอมตอบตกลงที่จะพาฮันจื่อไปด้วย
อึดอัดมาหลายเดือน ในที่สุดก็ได้รับอิสรเสรีเสียทีทำให้ฮันจื่อรู้สึกดีใจเป็นที่สุด
รถม้าสองคันแล่นออกจากเมือง โดยมีฮันจื่อวิ่งนำหน้าด้วยอาการร่าเริงสุดๆ
เมื่อมาถึงที่ประตูเมืองพวกเขาก็ได้พบเข้ากับกองทัพทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ซึ่งทุกคนในกองทัพเดินเชิดหน้าขึ้น แลดูสง่างามยิ่งนัก
“หลีกไป! คนชั้นต่ำ อย่ามาแตะต้องรถม้าองค์หญิงของเรา!”
“รีบไสหัวไป! สกปรกที่สุด อย่ามาแตะต้องเสื้อผ้าของข้าเด็ดขาด!”
เมื่อเห็นว่าทหารแห่งกองทัพที่เกรียงไกรกลับถืออาวุธขับไล่ประชาชนด้วยท่าที่หยาบช้า ฮันจื่อก็ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก จึงกระโดดถลาเข้าไปที่เบื้องหน้าขบวนรถม้านั้น มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงดัง
“โฮ่ง…บรู๊ว…”
ทันใดนั้น ม้าทั้งหมดก็ค่อยๆ คุกเข่าลงทันที
ซึ่งมีม้าบางตัวที่ขี้ตกใจมากหน่อยจึงคุกเข่าพรวดลงอย่างรวดเร็วจนเทกระจาดคนในรถม้ากระเด็นออกมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
เมื่อขบวนรถม้าที่โอ่อ่าได้ได้รับการกระทบกระเทือน น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งเข้มงวดก็ดังออกมาจากในรถม้านั้น
“ทูลองค์หญิง จู่ๆ ก็มีเดรัจฉานปรากฏตัวทำให้ม้าตื่นพ่ะย่ะค่ะ…”
พวกเจ้าต่างหากเดรัจฉาน พวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละคือเดรัจฉาน!
คนเลว!
ข้าไม่ได้กินเนื้อคนมาตั้งนานแล้ว วันนี้จะเอาเนื้อของพวกเจ้าแกล้มสุราเสียเลย!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฮันจื่อจึงกระโจนเข้าใช้กรงเล็บของมันฟาดทหารผู้หนึ่งจนล้มลงที่พื้น หลังจากนั้นก็อ้าปากกว้างกัดเข้าไปที่ศีรษะของคนผู้นั้นทันที
“ใต้เท้าหลัว!”
ทหารเหล่านั้นไหนเลยจะเคยพบสุนัขตัวใหญ่กินคนเช่นนี้มาก่อน
กว่าที่พวกเขาจะได้สติ ทหารคนที่ร้องเรียกใต้เท้าหลัวเมื่อครู่ก็เหลือเพียงเศษเสื้อผ้าเสียแล้ว
“โฮ่ง…บรู๊ว…”
ฮันจื่อเลียลิ้นแผล็บๆ ด้วยความลำพองใจ
เนื้อมนุษย์ช่างเอร็ดอร่อยที่สุดจริงๆ ด้วย มันรสชาติหอมหวานยิ่งนัก!
แม่นางน้อย คราวหน้าเจ้าช่วยย่างมนุษย์เซ่นไหว้ข้าทุกต้นเดือนได้หรือไม่
“เจ้าเดรัจฉานตัวนี้สังหารใต้เท้าหลัว พวกเราฆ่ามันแก้แค้นให้กับใต้เท้าหลัว!”
ใต้เท้าหลัวถูกสุนัขกินเข้าไป เป็นการกระตุ้นคนเหล่านั้น ว่าแล้วพวกเขาก็ชักดาบออกมาฟันฉับไปทางฮันจื่อ
บังอาจ!
ฟังไม่เข้าใจภาษาสัตว์หรืออย่างไรกัน
ก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่ใช่เดรัจฉาน!
แล้วยังรนหาที่ตายอีกหรือ!
ฮันจื่อโกรธเคืองเป็นอย่างมาก และผลของความโกรธนั้นก็คืออุ้งเท้ามันฟาดเข้าไปที่คนเมื่อครู่ที่เรียกมันว่าเดรัจฉานจนลอยกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร แล้วกระแทกเข้ากำแพงจนตายคาที่
พวกบัดซบ พวกเจ้าเป็นถึงทหารรังแกชาวบ้านตาดำๆ เช่นนี้ต่างหากถึงเรียกว่าเป็นเดรัจฉาน!
ไม่สิ พวกเจ้ายังสู้เดรัจฉานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
ทหารที่ล้อมกรอบฮันจื่อเอาไว้มีทั้งหมดยี่สิบสามสิบคน หนึ่งในนั้นมีบางส่วนที่สำเร็จขั้นหลอมรวม
แต่ฮันจื่อก็ไม่มีมีความกดดันใดๆ เลยแม้แต่น้อย
มองดูภายนอกอาจจะคิดว่ามันโง่เขลางุ่มง่าม แต่แท้ที่จริงแล้วมันเฉลียวฉลาดเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก
กรงเล็บใหญ่ของมันตะปบลงไป ศีรษะคู่ต่อสู้แต่ละคนก็แตกกระจาย มันสมองมนุษย์สีขาวขุ่นสาดกระเซ็นออกมา มันสะบัดหางหนึ่งครั้ง หางมันก็ไปพันคอของคนหนึ่งในฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แน่น ไม่กี่วินาทีคนผู้นั้นก็หมดลมหายใจ มันก็นั่งลงไปกดทับคนเบื้องล่างจนแบนราบราวกับเนื้อแผ่น
สรุปก็คือ พลังในการทำลายล้างสูงลิบ ทั้งยังแข็งแกร่งอย่างที่สุด!
ไม่นาน เหล่าคนที่เมื่อสักครู่เรียกร้องร่ำๆ ให้เด็ดหัวฮันจื่อ มีทั้งบาดเจ็บมีทั้งล้มตาย
ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าสุนัขสีดำตัวใหญ่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ต่างก็พากันหลบซ่อนตัวกันไปหมด
เฮอะ! รนหาที่ตาย!
ฮันจื่อชายตามองทหารที่นอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นด้วยสายตาดูแคลน ปากก็ยังคาบแขนที่ขนาดกำลังดีของใครบางคนอยู่คาปาก แล้วบดเคี้ยวโดยไร้ซึ่งความปรานี
“กร๊อบๆ กร๊วบ!”
ฉับพลันรอบกายก็เงียบงัน มีเพียงเสียงฟันใหญ่อันแหลมคมกำลังบดเคี้ยวกระดูกมนุษย์ดังกังวาน ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนถึงกระดูก