จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 111-4
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 111-4 องค์หญิงผู้เซ่อซ่า
ที่นางสามารถยกตนจนกลายเป็นจักรพรรดิโอสถได้ในเวลาอันสั้นนี้ และความสำเร็จของอวี้หลัวซ่าจะเกี่ยวข้องกับชาวตันซ้าย
ด้วยยังไม่เคยได้เห็นวิชาแพทย์ของอวี้หลัวซ่า ตี้อู่เฉินจึงมิอาจตัดสินได้
แต่ว่า เขาก็มีแผนการแรกเอาไว้ในใจอยู่แล้ว
หากว่า ระหว่างอวี้หลัวซ่าและเผ่าตานซ้ายความมีความลับอะไรที่ไม่สามารถบอกให้คนอื่นรู้ได้จริง กระทั่งว่าเป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิด เขาจะต้องคิดหาวิธีจับอวี้หลัวซ่ามาให้ได้
มีตี้อู่เฮ่ออีและอวี้หลัวซ่าอยู่ในมือ ชาวตันขวาก็มิต้องกลัวว่าเจ้าพวกตันซ้ายพวกนั้นจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!
ในขณะที่ตี้อู่เฉินกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง อูลู่ลู่ก็คลานขึ้นมาจากพื้นได้สำเร็จ
สีหน้าของนางย่ำแย่อย่างหนัก เครื่องสำอางบนใบหน้าไหลเยิ้มเพราะหยาดน้ำตาและเหงื่อไคล ไม่มีเค้าขององค์หญิงแห่งอาณาจักรผู้สูงส่งที่เห็นในตอนแรกหลงเหลืออยู่เลย
ถึงแม้อูลู่ลู่จะไม่องค์หญิงที่อูเค่อตงโปรดปรานที่สุด แต่ในบรรดาองค์หญิงแห่งอาณาจักรเสวี่ย นางมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามที่สุด ดังนั้นอูเค่อตงจึงได้ส่งนางมาแต่งงานที่นี่
ใครจะคาดคิดว่าในวันนั้นนางจะต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยามครั้งใหญ่ถึงเพียงนี้ได้!
มาให้เขาดูหมิ่นโดยแท้!
“ท่านคือซย่าโหวฉิงเทียน”
อูลู่ลู่จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาแค้นเคือง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างชัดเจนถนัดตาขึ้นมาเท่านั้น ความโกรธแค้นในใจของอูลู่ลู่ก็ค่อยๆ เบาบางลงในทันที
เหตุใดถึงได้หล่อเหลาถึงเพียงนี้นะ
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ถึงแม้ว่าเดิมทีอูลู่ลู่จะพุ่งเป้าไปที่ซย่าโหวจวินอวี่เพื่อเป็นฮองเฮาแห่งต้าโจว แต่วินาทีนี้ นางรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาทันที
นางต้องการแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียน เป็นผู้หญิงของเขา!
“ข้ามีนามว่าอูลู่ลู่!”
อูลู่ลู่ละทิ้งเรื่องราวที่เมื่อครู่ซย่าโหวฉิงเทียนลบหลู่ดูหมิ่นของตนเองเอาไว้เบื้องหลัง
ปรมาจารย์ ท่านอ๋อง ทั้งยังรูปงามถึงเพียงนี้…
ราวกับถูกวิญญาณของหญิงสาวผู้ที่รอคอยและคาดหวังว่าจะได้สารภาพรักกับเจ้าชายขี่ม้าขาวประทับร่าง
นาง เสียใจภายหลังยิ่งนัก!
แววตาที่ลุ่มหลงของอูลู่ลู่ ไปสะกิดจุดเดือดซย่าโหวฉิงเทียนเข้าอย่างจัง
ถูกหญิงอื่นมองด้วยสายตาปรารถนา ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก!
“ยัยอัปลักษณ์ ไสหัวไปซะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยกเท้าขึ้นมาถีบอูลู่ลู่จนกระเด็นร่างลอยละลิ่วออกไปกระแทกกับเสาของท้องพระโรง
“อั๊ก——”
อูลู่ลู่กระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วหมดสติไปทันที
“หลินเจียงอ๋องท่านทำเกินไปแล้ว!”
ตอนนี้ ไม่เพียงตี้อู่เฉิน แม้แต่เหล่าคณะทูตที่ติดตามก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
“องค์หญิง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่ว่าจะอย่างไรตี้อู่เฉินก็อยู่ในฐานะราชครูอาณาจักรเสวี่ย ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปหาอูลู่ลู่เพื่อตรวจดูอาการของนาง
ชั่วช้ายิ่งนัก!
เมื่อได้ตรวจอาการของนาง หัวใจของตี้อู่เฉินก็บีบรัดแน่น
กระดูกทั่วร่างแหลกเหลว ต่อไปอูลู่ลู่ก็จะเป็นเพียงคนพิการที่ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเท่านั้น
“ซย่าโหวจวินอวี่ ท่านปล่อยปละละเลยให้ซย่าโหวฉิงเทียนกระทำการอันทารุณโหดร้ายป่าเถื่อน ท่านต้องการจะเป็นปรปักษ์กับอาณาจักรเสวี่ยของเราใช่หรือไม่”
โล่กำบังของตนเองถูกซย่าโหวฉิงเทียนกำจัดไปเช่นนี้ ทำให้ตี้อู่เฉินเจ็บแค้นยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับซย่าโหวฉิงเทียนโดยตรง จึงได้เบนเข็มไปที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวซย่าโหวจวินอวี่แทน
“ข้ากลับรู้สึกว่า อาณาจักรเสวี่ยของเจ้าต่างหากที่ไร้ซึ่งความจริงใจ! ถึงได้ส่งองค์หญิงที่ไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี เท่ากับเป็นการดูหมิ่นต้าโจวของเราโดยตรง! ชิงเทียน ทำได้ยอดเยี่ยม! สิ่งสกปรกน่ารังเกียจเช่นนี้ยังกล้าที่มาเสนอตัวให้หลินเจียงอ๋อง นางคู่ควร!”
ในตอนที่อูลู่ลู่จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาอยากครอบครองเสียประดานั้น นั่นก็ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
นางเป็นใครกัน ไสหัวไปไกลๆ !
ข้ามีลูกสะใภ้ที่แสนดีเพียบพร้อมอยู่แล้ว!
ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยอวี้เฟยเยียนอย่างที่สุด แล้วจะหาเรื่องให้ลูกสะใภ้ไม่สบายใจได้อย่างไรกัน!
แต่ทว่า ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวจวินอวี่ลงมือ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลงมือสั่งสอนอูลู่ลู่ให้แทนเสร็จสรรพ ช่างทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้วพอพระทัยยิ่งนัก
สำหรับการกระทำของบุตรชาย แน่นอนว่าซย่าโหวจวินอวี่ย่อมสนับสนุนเต็มที่!
มีราชาโอสถเป็นที่พึ่งแล้วแน่อย่างนั้นหรือ
ลูกสะใภ้ของข้าอายุเพิ่งจะสิบห้า ใช้ความสามารถของตนประสบความสำเร็จได้ไกลกว่านี้เสียอีก!
“ท่านราชครู ต้าโจวของเราไม่ต้อนรับพวกท่าน! หากว่าฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเสวี่ยทรงไม่พอพระทัย เราก็ไปตัดสินแพ้ชนะกันในสนามรบ! เซี่ยงจิ้น ส่งแขก!”
ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับมีคำสั่งให้ส่งแขก ตี้อู่เฉินจึงมิอาจหน้าด้านอยู่ที่นี่ต่อไปได้
ก่อนจะออกไป ตี้อู่เฉินจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตาแค้นเคืองอย่างรุนแรง
คนผู้นี้ทะนงตนยิ่งนัก หากไม่กำจัดเสียก็ยากที่จะดับไฟแค้นในใจของเขาลงได้
เมื่อเดินไปถึงประตูด้านนอก ตี้อู่เฉินอาศัยโอกาสที่ไม่มีใครทันสังเกต ปล่อยหนูตัวหนึ่งออกมา
“ไป!”
เมื่อเห็นว่าเจ้าหนูตัวนั้นวิ่งหายเข้าไปในกำแพงอย่างไร้ร่องรอย ตี้อู่เฉินก็ยิ้มร้าย
อีกไม่นาน ที่นี่ก็จะกลายเป็นเมืองแห่งซากศพ
นี่เป็นจุดจบที่พวกเจ้าล่วงเกินชาวตาน!
โดยที่ตี้อู่เฉินหารู้ไม่ว่า ในตนที่เขาเดินออกไปนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนได้ให้ดวงจิตติดตามเขาออกไปด้วย เมื่อเห็นตี้อู่เฉินมีท่าทีลับๆ ล่อๆ ปล่อยหนูตัวหนึ่งออกมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ติดตามไปจับมันเอาไว้ได้
เจ้าหนูตัวนี้มีความลับอะไรกันแน่นะ
ด้วยความระมัดระวังตัว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมิได้จับหนูด้วยมือเปล่า แต่ทำมันให้ตายก่อนแล้วจึงจับใส่ไว้ในถุง และในตอนที่เขาเตรียมจะกลับไปที่หอคืนชีพนั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็เข้าวังมาพอดี
ตรวจรักษาคนป่วยที่หอคืนชีพมาหลายราย อวี้เฟยเยียนจึงแน่ใจว่านี่คือโรคกาฬโรค หรือที่เรียกขานในหมู่คนทั่วไปว่า โรคห่าหนูนั่นเอง
ในยุคนี้ที่เทคโนโลยียังล้าสมัย เครื่องไม้เครื่องยังล้าหลัง โรคห่าหนูจัดว่าเป็นหายนะทีเดียว
ไม่ว่าปัจจัยที่ทำให้ก่อโรคจะเป็นคนหรือเป็นฟ้า ก็ล้วนแต่ต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น
ในตอนนี้อวี้เฟยเยียนจึงเขียนใบสั่งยาที่สามารถป้องกันโรคห่าหนูได้ มอบให้กับบรรดาหมอของหอคืนชีพเพื่อให้ทุกคนช่วยกันทำงาน ไปที่ร้านยานำยาจีนเหล่านี้มาต้มเป็นให้เป็นน้ำ
ส่วนที่เหลือ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากราชสำนัก ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงได้รีบเข้าวัง
“ใต้เท้าหลัวซ่ามาแล้ว!”
ยังไม่ทันเลิกประชุมเช้า ดังนั้นขุนนางทุกคนจึงอยู่ครบ
อวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปในท้องพระโรง แล้วทำความเคารพซย่าโหวจวินอวี่
เมื่อครู่ตี้อู่เฉินมาก่อเรื่องเอาไว้ ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นไหว
หากว่าเป็นโรคห่าจริง ก็น่าหวาดกลัวยิ่งนักเชียว!
“ใต้เท้าอวี้หลัวซ่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเจ้ามียาดีเพื่อหยุดยั้งเจ้าโรคประหลาดนี่หรือไม่”
ซย่าโหวจวินอวี่เป็นกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ยิ่งนัก
“ทูลฝ่าบาท นี่คือโรคห่าหนูเพคะ!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวจบ ในท้องพระโรงราวกับตลาดแตกก็ไม่ปาน
ราชครูแห่งอาณาจักรเสวี่ยกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด เป็นโรคห่าจริงๆ หรือนี่! จะทำเช่นไรดี โรคนี้ทำให้คนถึงตายทีเดียวนะ!
เสียงเอะอะโวยวายของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ดังระงม หลายคนเริ่มคุกเข่าอ้อนวอนให้ซย่าโหวจวินอวี่หลบหลีกไปจากเมืองหลวงสักพัก ฝ่าบาทประทับอยู่ที่เมืองหลวงต่อไปมันอันตรายเกินไป!
“ข้าไม่ไป!”
ซย่าโหวจวินอวี่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยเสียงหนักแน่น
ประชาชนกำลังได้รับความเดือดร้อน กษัตริย์กลับไม่ช่วยเหลือจัดการ รักตัวกลัวตายกระทั่งหลบหนีไปให้ไกล จะต้องทำให้จิตใจของประชาชนสั่นคลอน!
หัวใจของประชาชน คือรากฐานของแคว้น!