จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 112-1
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 112-1 คนที่ทำให้เขาเจ็บ สับมันเป็นชิ้นๆ
อีกทั้งในตอนนี้โรคยังระบาดอยู่ในวงแคบ ยังไม่แพร่กระจายออกไป
หากฮ่องเต้ไปจากเมืองหลวงในตอนนี้ จะต้องสร้างความโกรธแค้นหวาดกลัวให้กับประชาชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนยิ่งแตกตื่นส่งผลกระทบในด้านมากยิ่งขึ้น มันจะได้ไม่คุ้มเสียนะสิ!
ซย่าโหวจวินอวี่ตระหนักผลดีผลเสียในเรื่องนี้ดี ดังนั้นจึงปฏิเสธคำขอให้หลบหลีกไปจากเมืองหลวงทันที
ฮ่องเต้ครุ่นคิดการณ์ไกล แต่ก็ยังมีขุนนางบางส่วนที่ขี้ขลาดรักตัวกลัวตาย มาคุกเข่าโขกศีรษะจนพลีชีพต่อหน้าพระพักตร์ ใช้ตนเองเป็นแบบอย่างของขุนนางผู้จงรักภักดีบังหน้า แต่แท้ที่จริงตนเองกำลังวางหมากในกระดานของตนเอง
เมื่อเห็นว่าขุนนางน้อยใหญ่เริ่มเอะอะโวยวายเสียงดัง อวี้เฟยเยียนก็ทนไม่ไหวร้องตะโกนขึ้น
“หุบปากให้หมด!”
ฉับพลัน ขุนนางที่กำลังส่งเสียงรบกวนที่ข้างหูขอให้ฮ่องเต้ทรงลี้ภัยไปจากเมืองหลวงชั่วคราวเหล่านั้นก็ตกใจจนเงียบปากลงในที่สุด
อวี้หลัวซ่าเป็นคนนุ่มนวลอ่อนหวานยิ่งนัก ปกตินางจะพูดจาไพเราะน่าฟัง ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความสุภาพ
ถึงแม้ว่านางเป็นถึงปรมาจารย์ แต่ทุกคนก็ให้ความเคารพยำเกรงนางเสียยิ่งกว่าจอมเทวาในอดีตอย่างโจวเลี่ยเสียอีก
อีกทั้ง การแสดงออกในเวลาปกติของอวี้หลัวซ่าบ่งออกได้อย่างชัดเจนว่านางเป็นคนอารมณ์ดีคนหนึ่ง
เปิดหอคืนชีพขึ้นมา ช่วยชีวิตคนที่ใกล้จะตายรักษาคนที่เจ็บป่วย โดยไม่สนใจผลประโยชน์ ในสายตาของผู้คนทั่วไป อวี้หลัวซ่าจึงเป็นคนดีที่มีจิตใจดีงามคนหนึ่ง
ในตอนนี้อวี้หลัวซ่าถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่า
ที่แท้แล้วอวี้หลัวซ่าก็โกรธโมโหเป็นเช่นกัน
ในเวลาที่บ้านเมืองวิกฤตเช่นนี้แล้ว คนพวกนี้ยังเอาแต่เอะอะโวยวายไม่หยุดหย่อน ทำให้ความอดทนของอวี้หลัวซ่าขาดสะบั้นลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง นางจึงเลือกผู้ที่ตั้งตนร้องขอให้ซย่าโหวจวินอวี่ให้ไปจากเมืองหลวงหนักข้อที่สุดขึ้นมาเอ่ยถาม
“ท่านหมายความว่าอย่างไร หาว่าข้ามิสามารถรักษากาฬโรคนี้ได้ อย่างนั้นหรือ”
“ไม่…ข้าน้อยมิได้มีเจตนาสงสัยในความรู้ความสามารถท่านเลย ข้าน้อยเพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท!”
เฮอะ!
อวี้เฟยเยียนแค่นยิ้มออกมา
“ประชาชนเลี้ยงดูพวกท่านมาตั้งหลายปี มาตอนนี้ ข้อแรกสองพวกท่านกลับมิได้ช่วยแบ่งเบาภาระราชกิจของฝ่าบาท ข้อสองมิได้ช่วยขจัดทุกข์ภัยบำรุงสุขให้กับประชาชน ในหัวของพวกท่านคิดเพียงแต่จะหลบหนีเท่านั้น…”
“หากใครยังร่ำร้องที่จะหลบหนีอีกละก็ เท่ากับสงสัยในความสามารถของข้า จงใจเป็นปฏิปักษ์กับข้า พวกท่านลองไตร่ตรองดูก็แล้วกันว่าศีรษะของพวกท่านหนักเท่าไหร่กัน เพียงพอให้ข้าเหยียบให้จมธรณีไหม!”
กล่าวจบ อวี้เฟยเยียนก็กระทืบเท้าขวาเบาๆ
ทันใดนั้น แสงเรืองรองขนาดใหญ่แผ่ขยายออกไปบนพื้นหินอ่อนอันแข็งแกร่ง ฉับพลันพื้นหินอ่อนภายในท้องพระโรงก็แยกออกเป็นส่วนๆ
ยอด…เยี่ยมยิ่งนัก
หากว่าเท้านั้นเหยียบลงบนศีรษะของมนุษย์ละก็ มันสมองก็คงจะแตกกระจายกระเด็นไปทุกทิศทางเป็นแน่
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ขุนนางราชสำนัก!”
คนผู้นั้นคิดว่าอวี้เฟยเยียนเพียงแค่ต้องการข่มขู่ให้หวาดกลัวเท่านั้น จึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่กลัวตาย เมื่อกล่าวจบซย่าโหวฉิงเทียนก็เหาะทะยานมาจากด้านหลังเท้ายันที่ยอดอกของเขาร่างกระแทกพื้น ตายคาที่
“ผู้ใดทำให้ประชาชนหวั่นวิตก ประหาร!”
ซย่าโหวฉิงเทียนคุ้มกันเต็มที่
เมื่อเห็นว่ามีผู้ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกำแหงขึ้นมา เข้าจึงแสดงแสนยานุภาพให้เห็นทันที
แมวน้อยของข้า ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แล้วเจ้าเศษมนุษย์นี่กลับไม่ดูตาม้าตาเรือ บังอาจมาตะโกนใส่หน้านาง
มันผู้นี้กินดีหมีหัวใจเสือเข้าไปหรืออย่างไร
ในเมื่อเจ้าเบื่อชีวิตของเจ้านัก ข้าก็จะสงเคราะห์ให้
พริบตานั้น เสียงอื้ออึงในท้องพระโรงพลันเงียบสนิท
อวี้หลัวซ่าที่แข็งแกร่ง ซย่าโหวฉิงเทียนผู้เ**้ยมโหด คนทั้งสองน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ทำได้ยอดเยี่ยม! ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับยกนิ้วให้ซย่าโหวฉิงเทียน ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้สิ คอยปกป้องคุ้มครองผู้หญิงตนเองไม่ว่าในเวลาใด ถึงสมกับเป็นลูกผู้ชาย
“เจ้ามาพอดีเลย! ดูนี่สิ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนนำหนูออกมาจากในถุง
“เมื่อครู่ราชครูแห่งแคว้นเสวี่ยปล่อยหนูตัวนี้ออกมา ถูกพี่จับเอาไว้ได้!”
“ทิ้งถุงนั่นเดี๋ยวนี้!”
อวี้เฟยเยียนปัดถุงในมือของซย่าโหวฉิงเทียนให้หลุดออกจากมือของเขา แล้วให้ทุกคนถอยออกไป
อวี้เฟยเยียนสวมถุงมือ แล้วใช้ไม้ยาวๆเขี่ยหนูตัวนั้นสองสามที เห็นทีว่าหนูตัวนี้นี่แหละที่เป็นสาเหตุของกาฬโรคจากหนูที่ระบาดอยู่ในตอนนี้
“ฝ่าบาท โรคจากหนูที่ระบาดในครั้งนี้เป็นการกระทำของมนุษย์ และเกี่ยวข้องกับแคว้นเสวี่ยอย่างแน่นอน! ก่อนที่คณะทูตของแคว้นเสวี่ยจะเดินทางมาถึงที่นี่เมืองหลวงเป็นปกติสุขดีทุกอย่าง ทว่าหลังจากคณะของแคว้นเสวี่ยมาถึงที่นี่เพียงไม่กี่วันก็เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้น”
“มาตอนนี้ ราชครูแคว้นเสวี่ยยังปล่อยหนูซึ่งมีพิษในวังหลวงอีก ดังนั้นจึงเพียงพอที่แน่ใจได้ว่ากาฬโรคจากหนูนี้เป็นฝีมือของพวกเขาสร้างขึ้น เพคะ!”
“อะไรนะ…”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เท่านั้นที่ตกตะลึง เหล่าขุนนางเองก็เช่นกัน
เมื่อครู่ องค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยยังแสร้งทำว่าจะมาช่วยจัดการกาฬโรคที่กำลังระบาดอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าโรคที่ระบาดอยู่ในขณะนี้จะเป็นพวกเขานั่นเองที่ก่อไว้!
น่าโมโหที่สุดเลย! ชั่วช้าสามานย์จริงๆเลย!
ซย่าโหวจวินอวี่โมโหโกรธาจนลุกยืนขึ้น
“ฉู่อิน เจ้านำกำลังองครักษ์เสื้อแพรไปจับกุมชาวเสวี่ยทั้งหมดเอาไว้”
“ช้าก่อน!”
อวี้เฟยเยียนห้ามฉู่อินเอาไว้
“ฝ่าบาท บัดนี้ยังมิอาจแน่ใจได้ว่าชาวเสวี่ยมีใครที่ติดโรคนี้หรือไม่ หากว่ามี การที่ไปสัมผัสถูกร่างกายของพวกเขาจะทำให้ทหารของเราติดโรคไปด้วยนะเพคะ”
“ดังนั้น พวกเราทำได้แค่เพียงกักขังล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้ อย่าให้ใครเข้าออก หากใครไม่ปฏิบัติตามให้ปลิดชีพพวกมันด้วยธนู! จำเอาไว้ว่าห้ามไปสัมผัสเลือดของคนตายเด็ดขาด!”
“อีกทั้งต้องรีบเผาทำลายศพของผู้ที่ตายไปแล้วในทันที เพื่อป้องกันมิให้โรคแพร่ระบาดออกไป!”
อวี้เฟยเยียนมอบบันทึกวิธีการป้องกันโรคและป้องกันไม่ให้โรคระบาดออกที่นางเรียบเรียงขึ้นให้กับซย่าโหวจวินอวี่
“ขอฝ่าบาทสั่งการให้คนคัดลอกและเผยแพร่ให้ทั่ว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะให้ดีที่สุดคือให้ทุกบ้านได้รับ สำหรับเรื่องยารักษา ขอฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตเปิดท้องพระคลังยา อีกทั้ง จะต้องให้คนที่ไว้ใจได้ออกไปซื้อยามาจากข้างนอกอีกทางหนึ่ง!”
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่สำคัญที่สุด จึงจำเป็นจะต้องใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด!
“และขอให้ฝ่าบาททรงมีคำสั่ง หากมีผู้ใดใช้โอกาสขึ้นราคายารักษารักษาละก็ ประหารไม่ละเว้นด้วยเถิดเพคะ!”
ภายในระยะเวลาสั้นๆ อวี้เฟยเยียนได้กล่าวรายงานวิธีการปฏิบัติตัวรับมือกับโรคระบาดนี้ออกมาได้ครบถ้วนทั้งหมด
รวมทั้งยังกำหนดเขตพื้นที่เป็นของเขตระบาดในเมืองหลวง เพื่อแยกผู้ที่ติดเชื้อกับคนปกติออกจากกัน
รักษาสุขอนามัยแต่ละบ้าน กำจัดหนูและเห็บเหา
ใช้ทั้งกำลังพลและพลเรือนทางการแพทย์ทั้งหมดที่มีเข้าต่อสู้กับการระบาดของกาฬโรคในครั้งนี้ จะต้องตรวจสอบค้นหาทีละบ้าน…
อวี้เฟยเยียนได้กล่าวอธิบายแต่ละข้อไว้โดยละเอียด ทำให้หัวใจที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนของเหล่าขุนนางค่อยๆผ่อนคลายลง
ต้องทำอะไรบ้าง ทำอย่างไร อวี้หลัวซ่าบอกเอาไว้อย่างชัดเจน พวกเขารอคอยเพียงแค่คำสั่งแบ่งงานจากฝ่าบาทเพื่อแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้นเอง
จากท่าทีเมื่อครู่ที่เอะอะโวยวายด้วยความร้อนรนแปรเปลี่ยนกลายเป็นมีพลังใจเต็มเปี่ยม มั่นอกมั่นใจเต็มที่
โชคดีนักที่มีใต้เท้าอวี้หลัวซ่าอยู่!
ใต้เท้าอวี้หลัวซ่าคือดาวผู้ช่วยเหลือต้าโจวโดยแท้!