จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 119-2 คืนเข้าหอที่แสนตลกขบขัน
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 119-2 คืนเข้าหอที่แสนตลกขบขัน
คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้พอใจ
“พี่ก็คิดถึงเจ้า! แม้กระทั่งในฝันก็คิดถึง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มอย่างอ่อนโยน
เขาไม่เพียงแต่ฝันถึงนาง ในฝันเขายังได้กระทำเรื่องที่อบอุ่นเร่าร้อนกับนางอีกด้วย เมื่อตื่นขึ้นมายังทำให้ผ้าปูที่นอนสกปรก ซึ่งแน่นอนว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอวี้เฟยเยียน เพราะเกรงว่านางจะหัวเราะเยาะเอา
“ข้าก็เช่นกัน!”
อวี้เฟยเยียนเอ่ยตอบขึ้นพร้อมกับท่าทางขวยเขินเอียงอาย
“เราสองคนใจสื่อถึงใจ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตที่หน้าผากของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบาโดยที่มีผ้าคลุมหน้าขวางกั้นอยู่
เจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวออกมาจากห้องนอน นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยพบเคยเห็นมาก่อน
ว่าตามขนบธรรมเนียมแล้ว เจ้าสาวออกจากห้องนอน เท้าห้ามสัมผัสพื้น ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มอวี้เฟยเยียนมาส่งถึงที่ข้างกายอวี้จิงเหลย
“ขอให้ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างราบรื่นมีความสุข!”
อวี้จิงเหลยน้ำตาซึม
มาถึงขั้นนี้ เขาก็ขี้เกียจจะไปถือสาการกระทำของซย่าโหวฉิงเทียนในวันนี้ว่าเหลวไหลเพียงใดอีกแล้ว
ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้ก็เป็นวันมงคลของอวี้เฟยเยียน!
แล้วเขาก็มีหลานสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจคนนี้เพียงคนเดียว…
“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้ามอบเสี่ยวเยียนให้กับท่านแล้ว!”
อวี้จิงเหลยเอ่ยนามของซย่าโหวฉิงเทียนออกมาโดยตรง ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ท่านจะต้องดีกับนางให้มาก! ไม่เช่นนั้นข้าไม่เอาท่านไว้แน่น!”
“ท่านปู่โปรดวางใจ…”
ซย่าโหวฉิงเทียนทำความเคารพ เอ่ยลาอวี้จิงเหลย
ที่ด้านนอกจวนพระยาภักดี คลาคล่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่เช้าตรู่
ฉากก่อนหน้าที่แสนตลกขบขันทุกคนประจักษ์แก่สายตา หลินเจียงอ๋องมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร แม้กระทั่งแต่งงานยังไม่เหมือนกับคนอื่นเลย ทำให้พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่โดยแท้
บัดนี้เมื่อเห็นเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวออกจากประตูมา เหล่าประชาชนต่างก็กู่ร้องแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า
เอาเถอะ…
พวกเขาเห็นภาพที่คนทั้งสองแสดงความรักต่อกันจนดวงตาพร่าเลือนไปหมดแล้ว
‘ใต้เท้าซย่าโหว ท่านต้องรักใต้เท้าอวี้หลัวมากเพียงไหนกัน แม้กระทั่งเพียงสักครู่ท่านก็รอไม่ไหวเลยหรือ’
ยิ่งคนที่แต่งงานแล้ว ถึงกับยกมือป้องปากแอบหัวเราะออกมาเบาๆ
‘ความสุขในวันแต่งงานอันล้ำค่าและแสนสั้น!’
ตลอดเวลาที่ผ่านมาใต้เท้าซย่าโหวปราศจากหญิงใดเคียงข้างกาย ไร้ซึ่งข่าวเสียหายใดๆ
เห็นที…ท่านอ๋องวัยหนุ่มฉกรรจ์ปลายๆ อยากจะร่วมหอเต็มแก่แล้วกระมัง!
ทันใดนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนในสายตาคนทั่วไปมิใช่ท่านอ๋องผู้เย็นชาโหดร้ายอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เลือดพล่านที่คะนึงหาแต่เจ้าสาวคนงามนั่นเอง
‘สมถะดีนักแล เข้าถึงได้ง่าย!’
ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เลยว่าหลินเจียงอ๋องจะน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้
ซย่าโหวฉิงเทียนอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นรถม้าด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึก หลังจากนั้นเขาจึงโบกมือเป็นสัญญาณ
“ไปได้!”
ชิงหงที่อยู่นอกรถม้า เมื่อเห็นเจ้าบ่าวหนุ่มนั่งหลังตรงอกผายไหล่ผึ่งเป็นหลักที่แสนมั่นคงอยู่ในรถม้า สองมืออุ้มพระชายาเอาไว้แนบอกแล้ว ก็รู้สึกว่าวันนี้เขาขายหน้าไปถึงวงศ์ตระกูลเลยทีเดียว
“ท่านอ๋อง เจ้าสาวนั่งรถม้า เจ้าบ่าวขี่ม้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ในตอนนี้เขารู้สึกถึงได้อย่างชัดเจนถึงสายตาโดยรอบที่กำลังจับจ้องมาที่รถม้า
ในระยะนี้ ผ้าปูที่นอนของท่านอ๋องใช้ถึงชนิดที่ว่าสิ้นเปลืองอย่างที่สุด ในฐานะที่เป็นผู้ชายด้วยกัน ชิงหงก็สามารถคาดเดาได้หลายส่วนแล้วว่ามาจากสาเหตุใด
ท่านอ๋องทรงเป็นชายหนุ่มแท้จริงเสียที เรื่องนี้น่ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง
อย่างไรเสีย จวนอ๋องก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน จึงไม่จำเป็นต้องสนใจผ้าปูที่นอนเหล่านั้นอยู่แล้ว
และชิงหงยังหวังลึกๆ ในใจให้พระชายาแต่งเข้าจวนอ๋องในเร็ววัน เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาทางกายภาพในวัยนี้ของท่านอ๋องให้จงได้โดยเร็ว
แต่ว่า…ท่านอ๋อง ทรงอย่าได้ตลกขบขันไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้ได้ไหม
พวกเราเลิกตลกสักครู่หนึ่ง จะได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ!
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดก็มีคนอดรนทนไม่ไหว มือกุมท้องหัวเราะ ‘ฮ่าๆ ’ ออกมาเสียงดังลั่น
“โอ๊ย แม่เจ้า ขำจะตายอยู่แล้ว!”
เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มหัวเราะ คนที่เหลือที่กลั้นเอาไว้ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน สุดท้ายถนนทั้งเส้นจึงมีเสียงหัวเราะดังระงม ตั้งแต่ต้นทางจนสุดสาย
อวี้เฟยเยียนได้ยินเสียงหัวเราะเหล่านั้น ก็จัดการบิดเนื้อหน้าอกของซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเขินอาย
“ท่านลงไปนะ!”
เสียงของนางเง้างอนแต่ก็อ่อนหวานนุ่มนวลราวกับขนนกก็ไม่ปาน ได้ยินแล้วทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับโหวงเหวงในใจ
ในเมื่อเจ้าสาวก็เอ่ยปากแล้ว ต่อให้ซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่อยากลุกออกไป แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ลงจากรถม้าอย่างอ้อยอิ่งอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะลงไป เขายังคว้ามือของอวี้เฟยเยียนมาจุมพิตอีกครั้ง
“หากคิดถึงพี่ ให้ร้องเรียก พี่จะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าทันที!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกำชับ
‘หวานจนจะเลี่ยนตายอยู่แล้ว!’
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินนายท่านของตนเองพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลเช่นนี้ ทำเอาชิงหงถึงกับขนลุกซู่ทั่วร่าง
นี่คือนายท่านผู้โหดเ**้ยมเย่อหยิ่ง เด็ดขาดของเขาจริงหรือ
เห็นทีว่าความรักสามารถเปลี่ยนแปลงนายท่านของเขาได้จริงๆ เสียแล้ว! สามารถทำให้นายท่านเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ พระชายามีผลงานไม่น้อยทีเดียว!
“ใครคิดถึงท่านกัน น่ารำคาญ รีบลงไปเลยนะ!”
รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนออกไป อวี้เฟยเยียนที่นั่งอยู่ในรถม้าเพียงลำพังก็เอาแต่คิดถึงชายชุดแดงที่อยู่ข้างกายเมื่อครู่ไม่เสื่อมคลาย
“คนหน้าตาหล่อเหลา ใส่อะไรก็ย่อมดูดีไปเสียหมด!”
“ยิ่งไม่ใส่อะไรเลย ก็ยิ่งดูดี!”
ที่แท้ ตัวนางก็เป็นพวกถูกมอมเมาด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ที่มองคนที่หน้าตาและรูปร่าง
ยิ่งเมื่อคิดไปว่าชุดแดงเมื่อครู่ห่อหุ้มกล้ามเนื้อเรือนร่างที่กำยำเอาไว้ อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับน้ำลายไหล
“ตอนร่วมหอ นางจะโผเข้าหาเขาดีไหมนะ”
“เป็นปัญหาอยู่นี่แหละ!”
เมื่อรับเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวแล้ว ขบวนของเจ้าบ่าวก็เริ่มตีฆ้องร้องป่าว ร้องรำทำเพลงด้วยความยินดีปรีดา ซย่าโหวฉิงเทียนขี่ม้าอยู่ตรงกลาง ถัดมาคือรถม้าของอวี้เฟยเยียน หลังจากนั้นคือขบวนทรัพย์สินเดิมของอวี้เฟยเยียน
สินสอดที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ อวี้จิงเหลยไม่ได้แตะต้องทั้งยังส่งมอบคืน ขณะเดียวกันก็ได้ตระเตรียมทรัพย์สินส่วนตัวอย่างสมน้ำสมเนื้อสมบูรณ์พูนพร้อมให้กับหลานสาวอีกด้วย
เมื่อทรัพย์สินเดิมชุดแรกของเจ้าสาวถูกห้ามเข้าสู่ประตูจวนอ๋อง ที่จวนพระยาภักดีก็ยังคงมีทรัพย์สินติดตัวเจ้าสาวอีกหลายรายการที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายออกมาบ้านด้วยซ้ำ!
“นี่สินะที่เขาเรียกว่าทรัพย์สินเดิมของเจ้าสาวที่ยาวเป็นสิบลี้!”
ชาวบ้านต่างก็พากันพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างออกรส
ในอดีตมักจะเคยได้ยินเพียงแค่ในนิยายเท่านั้นที่เมื่อเจ้าสาวแต่งงานออกเรือน ทางบ้านของเจ้าสาวจะใจคอกว้างขวางให้ทรัพย์สินไปมากมายยาวกว่าสิบลี้ นึกไม่ถึงว่าในวันนี้พวกเขากลับได้เห็นกับตาตนเองในความเป็นจริง
เห็นได้ชัดเจนว่า ประมุขอวี้ให้ความสำคัญกับอวี้เฟยเยียนสำคัญมากเพียงใด
ซย่าโหวจวินอวี่รอคอยอยู่ที่จวนอ๋องด้วยความร้อนใจ ส่วนเซี่ยงจิ้นก็เอาแต่วิ่งกลับไปกลับมาระหว่างหน้าจวนกับในจวนไม่หยุด เพื่อรายงานข่าวจากฉู่อินให้กับซย่าโหวจิวนอวี่ได้รับทราบ
เมื่อรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนบุกเข้าไปในจวนพระยาภักดี ตรงเข้าไปอุ้มเจ้าสาวด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่ยอมลงจากเกี้ยว ฮ่องเต้ก็ทรงปาดเหงื่อครั้งใหญ่
นับว่าวันนี้ชื่อเสียงของลูกชายของเขาป่นปี้ย่อยยับไม่เหลือแล้ว!
สภาพจิตใจของซย่าโหวจวินอวี่ในตอนนี้ คำว่าปวดหัวไม่สามารถบรรยายได้อีกต่อไป นี่มันคือหัวแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว!
ซย่าโหวจวินอวี่ยกมือกุมที่หน้าอกหายใจถี่ปลอบใจตนเองไปพลางๆ
“เป็นเช่นนี้ก็ดี!”
“สมถะ ใกล้ชิดกับประชาชน!”
ประชาชนจะไม่หวาดกลัวเขาเฉกเช่นที่แล้วมาอีกต่อไป นี่เป็นเรื่องดี
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ยังทรงเป็นกังวลไม่น้อยว่าชื่อเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนออกจะโหดเ**้ยมเกินไป หากมอบราชบัลลังก์ให้กับเขา ก็เป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะให้การยอมรับจากหัวใจ
ถึงตอนนี้ เขาสามารถวางใจได้แล้ว
“พวกเขาถึงไหนกันแล้ว เหตุใดยังไม่มากันอีก”
ซย่าโหวอวี่จวินเริ่มร้อนใจขึ้นมา
วันนี้ลูกชายแต่งงาน ก็ทำเรื่องน่าขบขันออกมามากมายอยู่แล้ว เขาละกลัวจริงๆ ว่าระหว่างทางที่มาซย่าโหวฉิงเทียนจะทำเรื่องอะไรแผลงๆ ออกมาอีก
เพราะวันนี้จิตใจของเขากระทบกระเทือนเสียจนแทบจะทนไม่ไหว มันแทบจะไม่ใช่หัวใจอีกต่อไป!
“ฝ่าบาท ทรงพระทัยเย็นหน่อยเถอะ พ่ะย่ะค่ะ…”
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว ทว่าเซี่ยงจิ้นกลับเหงื่อออกจนชุ่มศีรษะ ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเอาแต่วิ่งไปวิ่งมา โดยไม่ได้พัก อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพลอยตื่นเต้นไปกับฮ่องเต้ด้วย
เกิดเรื่องสนุกสนานมากมาย แต่เขากลับไม่ได้ไปร่วมวงด้วยไม่พอ ยังไม่มีโอกาสได้เห็นกับตาอีก น่าเสียดายจริงๆ เชียว!
เซี่ยงจิ้นเสียใจยิ่งนัก เหตุใดในอดีตเขาถึงได้ยอมตอนแล้วเข้าวังนะ
หากเป็นเหมือนฉู่อิน เรียนวรยุทธ์จนเก่งกล้า ดีจะตายไป!
ทั้งยังได้รับชมความสนุกสนานที่สถานที่จริงอีกด้วย…
ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่บนหลังม้า คอยเอาแต่หันกลับไปมองที่ด้านหลังตลอดเวลา ด้วยหวังว่าจะได้เห็นหน้าอวี้เฟยเยียนผ่านผ้าแพรคลุมหน้านั้นบ้าง แต่น่าเสียดาย ที่มองเห็นเพียงแค่เค้าโครงใบหน้าเท่านั้น
แต่ทว่า ถึงแม้จะมองไม่เห็นชัดเจน แต่เขาก็ยังดีใจในใจกครุ่นคิด
“เหตุใดถนนสายนี้ ถึงได้ยาวนานนักนะ”
ซย่าโหวฉิงเทียนเหลือบมองไปที่ขบวนเจ้าบ่าวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาไม่พึงพอใจ
หากไม่ใช่พวกเขาขวางทางอยู่ด้านหน้าละก็ เขาคงจะพาแมวน้อยไปถึงจวนอ๋องตั้งนานแล้ว