จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 129-2 อวี้เฟยเยียนที่มุทะลุ
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 129-2 อวี้เฟยเยียนที่มุทะลุ
อวี้เฟยเยียนเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มในขณะที่ลูบศีรษะของหานจื่อแผ่วเบา เจตนาทำเป็นมองไม่เห็นการมีตัวตนอยู่ของตี้อู่หยวน
“ไม่รู้ว่าท่านนี้ชื่อเรียงเสียงไร?!” อวี้เฟยเยียนได้กลิ่นยาสมุนไพรจากตัวเขา หรือว่าเขาคือผู้เฒ่าแห่งตันขวา?
จู่ๆก็เกิดเรื่อง ทำให้หนานกงอ๋าวรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ทำให้สัตว์เลี้ยงของตี้อู่หยวนจนตาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีแม้คำขอโทษสักคำ นี่มิเท่ากับตบหน้ากันอย่างนั้นหรือ?
‘อีกอย่าง เจ้านี่เป็นสุนัขจริงๆใช่ไหม?’
‘มีสุนัขที่ดุร้ายถึงเพียงนี้เชียว?’
จู่ๆตี้อู่หยวนก็เข้ามาแย่งบท ต้องการให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีตัวตนของของตน ซึ่งนั่นทำให้หนานกงอ๋าวไม่ชอบใจยิ่งนัก บวกกับเกิดเรื่องขึ้นอีก จึงทำให้เขายิ่งอึดอัดไม่น้อย
แต่ทว่า หนานกงอ๋าวก็ยังคงแนะนำตี้อู่หยวนให้กับทุกคนได้รู้จักอยู่ดี
“ท่านนี้คือผู้เฒ่าแห่งตันขวา ตี้อู่หยวน!” ได้ยินดังนั้น ตี้อู่หยวนก็รีบยึดหลังตรงขึ้นมาทันที
หลังจากที่เผ่าตันถูกแบ่งแยก ตันซ้ายหายสาบสูญไป ส่วนตันขวาก็ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดแทนที่ชนเผ่าตันในอดีต
แม้ว่าตันขวาจะวิถีการปฏิบัติตนที่ชั่วช้าสามานย์ไปบ้าง แต่ตระกูลอื่นๆก็ไม่มีใครอยากที่จะล่วงเกินพวกเขาทั้งสิ้น
เพราะว่าการล่วงเกินเผ่าตันนั้นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย
ดังนั้นในตอนนี้ที่หนานกงอ๋าวแนะนำตี้อู่หยวนให้กับทุกคนได้รู้จักนั้น ตี้อู่หยวนยังหลงคิดไปว่าคนสามสี่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้จะให้ความสนใจ เพราะเขาเป็นถึงผู้เฒ่าแห่งตันขวา มีคนมากมายรอคอยที่จะประจบประแจงเขาจนต้องต่อแถวยาวไปถึงนอกเมืองทางเหนือเชียวนะ!
แต่ทว่าผลตอบรับกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะเสิ่นถูเลี่ยร้องขึ้นเพียงแค่ว่า ‘โอ้’เพียงคำเดียว ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็เพียงแต่ยื่นมือไปลูบหัวหานจื่อขณะที่ก้มหน้าก้มตาไปคุยกับอวี้เฟยเยียนไปด้วยเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจตี้อู่หยวนเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ราวกับตบหน้าตี้อู่หยวนฉาดใหญ่
น่า…น่าโมโหที่สุด!
เสิ่นถูเลี่ยยังพอว่า เพราะอย่างไรเสียสกุลเสิ่นถูก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กับตันขวาสักเท่าไหร่
แต่ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
คนทั้งสองไปอยู่ที่หลังเขาลำเนาไพรที่ไหนมา? เหตุใดได้ยินชื่อของเขาแล้วกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย?
ในตอนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของตี้อู่หยวนค่อยๆเจื่อนลงไปนั้น เสิ่นถูเลี่ยก็ยิ้มขึ้นมา
“ประมุขหนานกง เสี่ยวอวี้ก็เป็นหมอคนหนึ่ง ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหนานกงล้มป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย ไม่ทราบว่าพอจะให้นางได้ลองตรวจอาการคุณหนูใหญ่สักหน่อยจะได้ไหม?”
คราวนี้ ในที่สุดตี้อู่หยวนก็เข้าใจ มิน่าเล่า สาวน้อยชุดสีชมพูผู้นี้ถึงได้ตีหน้ายักษ์ใส่เขาตลอดเวลา ที่แท้แล้วก็เป็นคนในวงการเดียวกันนี่เอง!
‘คิดว่าเขารักษาหนานกงจื่อหลิงไม่ได้ ดังนั้นถึงได้ดูถูกเขา?!’
‘คิดจะมาสร้างความวุ่นวายที่นี่อย่างนั้นหรือ?’ เมื่อคิดได้ดังนั้น ตี้อู่หยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา
‘น่าโง่! ไร้เดียงสาเสียจริง! หนานกงจื่อหลิงคือคนที่ตายไปแล้ว ต่อให้เทวดามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่สามารถทำให้นางฟื้นจากความตายขึ้นมาได้’
‘เด็กเมื่อวานซืน หัดรู้จักถ่อมตนเสียบ้าง!’
เมื่อได้ยินว่าสาวน้อยตรงหน้าเป็นหมอ ทำเอาหนานกงอ๋าวถึงกับตระหนกขึ้นมาทันที
คนที่รู้เรื่องของหนานกงจื่อหลิงมีไม่มาก บ่าวไพร่คนรับใช้ในบ้านก็ถูกเขาปิดปากไปเรียบร้อยแล้ว หากอีกฝ่ายพบว่าเรื่องของหนานกงจื่อหลิงเป็นการหลอกลวงละก็ จะทำอย่างไรดี?
เมื่อคิดได้ดังนั้นหนานกงอ๋าวก็อยากจะตบกะโหลกตัวเองแรงๆสักที
เขานี่มันช่างโง่เขลายิ่งนัก!
อีกฝ่ายไม่เคยเจอหนานกงจื่อหลิงเสียหน่อย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ‘นาง’ เป็นตัวปลอม!
คนสองคนนี้เสิ่นถูเลี่ยเป็นผู้แนะนำมา คงจะมีความสามารถอยู่ไม่น้อยเป็นแน่
หากเขาปฏิเสธ ก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินเสิ่นถูเลี่ยนะสิ!
“ดีสิ!”
เมื่อคิดได้ หนานกงอ๋าวจึงร้องขึ้นด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์
“ข้ามีลูกสาวคนนี้เพียงคนเดียว หลังจากที่นางล้มป่วย ข้าก็เป็นห่วงนางเป็นอย่างมาก บอกพวกท่านอย่างไม่ปิดบัง บัดนี้ฮูหยินของข้าก็ล้มป่วยลงเพราะตรอมใจเรื่องของบุตรสาวเช่นกัน เฮ้อ…”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ให้ข้าไปตรวจอาการของฮูหยินก่อนก็ได้!” อวี้เฟยเยียนกระหายอยากจะพบ ‘แม่สามี’ คนนี้ยิ่งนัก ว่าตกลงแล้วนางเป็นคนอย่างไรกันแน่ ถึงได้ลงมือเ**้ยมโหดกับลูกชายของตนเองได้ลงคอ?
“เอ่อ เรื่องนี้…ได้สิ ได้!”
ต่อหน้าก็รับปากไปเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของหนานกงอ๋าวกลับกำลังด่าทออวี้เฟยเยียนชุดใหญ่ เรื่องเยอะจริงๆ! เขาเพียงแต่พูดขึ้นมาลอยๆเท่านั้น แต่นางกลับคิดเป็นจริงไปได้!
ตอนนี้ซย่าจื่ออวี้ถูกหนานกงอ๋าวขังเอาไว้ที่คุกใต้ดิน แต่เมื่อโกหกออกไปแล้ว เขาจึงต้องไปนำนางออกมา
“เช่อเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าดูแลแขกให้ ข้าจะไปหาแม่ของเจ้า เพื่อบอกให้นางเตรียมตัวสักหน่อย!” หนานกงอ๋าวปล่อยให้หนานกงเช่อดูแลคณะของเสิ่นถูเลี่ย ส่วนตัวเองเข้าไปที่คุกใต้ดิน
เมื่อได้พบซย่าจื่ออวี้อีกครั้ง ก็ทำให้หนานกงอ๋าวตกต้องตะลึงไม่น้อย
ซย่าจื่ออวี้ในวันนี้ผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เนื้อตัวมีกลิ่นเหม็นสาบโชยออกมาอย่างรุนแรง ไม่เหลือเค้าของฮูหยินแห่งตระกูลใหญ่ที่งดงามน่าเกรงขามเฉกเช่นแต่ก่อนอยู่เลย หนานกงอ๋าวเดินเข้าไปหาซย่าจื่ออวี้แล้วหยุดที่เบื้องหน้าของนาง เขาเอื้อมมือไปลูบเส้นผมที่ปรกหน้าของนางไปทัดที่ใบหู
เส้นผมดกดำเป็นเงาที่เคยยาวสลวยเหยียดตรงเต็มแผ่นหลัง บัดนี้คลุกฝุ่นจนกลายเป็นสีเทาไปเสียแล้ว
ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยงดงามเชื่อมหวาน บัดนี้ก็กลายเป็นขุ่นมัวไร้แววแสง
ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาตั้งหลายปี เมื่อมาเห็นซย่าจื่ออวี้ตกอยู่สภาพเช่นนี้ หนานกงเช่อจึงรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
“จื่ออวี้! จื่ออวี้!” หนานกงอ๋าวเรียกขานชื่อของนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หนานกง?” ซย่าจื่ออวี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา หยาดน้ำตาไหลเป็นทาง
“ในที่สุดท่านก็ยอมพบข้า? ท่านไม่ต้องการข้าแล้วไม่ใช่หรือ?” ถ้อยคำบาดหัวใจของซย่าจื่ออวี้ บวกกับริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกเนื่องจากอาการตื่นเต้น ทำให้กำแพงในหัวใจของหนานกงอ๋าวพังทลายลง
นางมีสภาพเ**่ยวเฉาโรยรา เข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ เขาจึงคิดว่าให้นางได้ใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตสบายขึ้นอีกสักหน่อย!
“ข้าไม่ได้ไม่ต้องการเจ้า! ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘หาหมอ’ สองคำนี้ ซย่าจื่ออวี้ก็รีบก้มหน้า ยิ้มเยาะด้วยความขมขื่น
‘ขังนางเอาไว้ในคุกใต้ดิน หักนิ้วทั้งหมดของนางจนกระดูกหัก โดยไม่เคยมาเหลียวแล แล้วตอนนี้เป็นอะไรไปเปลี่ยนใจแล้ว? หรือว่าที่ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?’
เมื่อประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซย่าจื่ออวี้ก็ต้องต้องตื่นตระหนก
‘หนานกงอ๋าวคงจะไม่ได้กำลังจะเอานางไปเป็นเหยื่อล่อใช่ไหม! หรือว่าเขามาแล้ว?’
แม้ว่าในใจจะกำลังคิดเช่นนั้น ทว่าซย่าจื่ออวี้ก็ไม่ได้แสดงออกกลับแสดงบทโศกต่อนั้นต่อไป
บุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือศัตรูของนาง! ศัตรูที่นางแค้นจนอยากจะกินเนื้อ ดื่มเลือดของเขาเสีย
เพียงแต่ นางสู้หนานกงอ๋าวไม่ได้ จึงมิอาจให้เขาจับพิรุธได้โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นเขาอาจจะฆ่านางได้ทิ้งได้ง่ายๆ
‘นางจะตายอย่างไร้ค่าอยู่ที่นี่ไม่ได้!’
นางต้องการ ทำให้เขาคลายความระมัดระวังลง แล้วค่อยหาโอกาสที่หนานกงอ๋าวไม่ทันระวังตัวฆ่าเขาเสีย!
บ่าวไพร่นำซย่าจื่อกลับไปยังเรือนที่นางเคยพักอยู่ ทั้งยังปรนนิบัตินางอาบน้ำแต่งตัว กระทั่งถึงช่วงเที่ยง หนานกงอ๋าวถึงได้ให้คนไปเชิญอวี้เฟยเยียนมา
“แม่นางเสี่ยวอวี้ เชิญทางนี้!”
อวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปพลางก็จดจำเส้นทางไปด้วย และเพราะความเป็นห่วงอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้ให้หานจื่อติดตามนางไปด้วย