จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 138-4 ทหารไล่ล่ามาอีกครั้ง ศึกนองเลือดริมแม่น้ำ
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 138-4 ทหารไล่ล่ามาอีกครั้ง ศึกนองเลือดริมแม่น้ำ
“สุ่ยเจ๋อซีโจรชั่วใจทราม หากว่าเจ้ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วแสดงพิรุธอะไรออกมาให้เขาเห็น เขาจะต้องรับรู้ถึงความผิดปกติอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วแม่จะกล้าบอกความจริงกับเจ้าได้อย่างไรกัน! แม่กลัวว่าเขาจะทำร้ายเจ้านะสิ!”
“วรยุทธ์ของแม่อ่อนด้อย มิอาจแก้แค้นให้กับสามีได้ ทั้งยังเกรงกลัวว่าสุ่ยเจ๋อซีจะเอาความโกรธแค้นทั้งหมดไปลงที่ลูก จึงทำได้เพียงแค่หลบหลีกจากโลกภายนอกไปบวนเป็นชี เพื่อหลีกหนีคำพูดสบประมาทดูแคลนของสุ่ยเจ๋อซีเท่านั้น”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสะกิดบาดแผลในใจขึ้นมา ซือไท่ก็ถึงกับน้ำตานองหน้า
“หมีเยว่ เจ้าคือลูกสาวของสกุลหมี! หากว่าเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะแก้แค้นได้ ก็จงหลบหนีไปให้ไกล อย่าให้สุ่ยเจ๋อซีทำร้ายเจ้าได้ รอให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นในวันใด จงอย่าลืมหนี้แค้นของสกุลหมี!”
“แค้นที่ฆ่าพ่อแม่ มิอาจอยู่ร่วมฟ้ากันได้ เยว่เอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมเด็ดขาด! เจ้าจะลืมไม่ได้เด็ดขาด!”
ขณะที่ทุกคนไม่ทันได้สังเกตนั่นเอง ซือไท่ก็ชักมีดเล่มเล็กออกมา มือทั้งสองข้างจับที่ด้ามของมีดแล้วจวงแทงเข้าไปที่หัวใจของตนเอง
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง
เห็นมารดาค่อยๆล้มลงพร้อมกับรอยยิ้มที่บางเบา สุ่ยเยว่เอ๋อร์ก็ร้องเรียกมารดาอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านแม่! ท่านแม่——”
อวี้เฟยเยียนนึกไม่ถึงเลยว่ามารดาของสุ่ยเยว่เอ๋อร์จะใจเด็ดถึงเพียงนี้ อวี้เฟยเยียนรีบรุดเข้าช่วยเหลือด้วยการสกัดจุดบนร่างของซือไท่เพื่อช่วยชีวิตของนางเอาไว้ ทว่ากลับถูกซือไท่ห้ามเอาไว้
“เยว่เอ๋อร์…แม่ต้องไปพบพ่อของเจ้าแล้ว…แม่ดีใจยิ่งนัก!”
เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากปากของซือไท่ นางทอดมองไปบนท้องฟ้า แววตาเลื่อนลอย รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านพี่ ข้ามาแล้ว…”
“ท่านแม่!”
สุ่ยเยว่เอ๋อร์โผลเขาหาร่างของมารดา ร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจ
ความมืดค่อยเข้าปกคลุม ริมแม่น้ำฮาซือถู ไฟกองใหญ่กำลังลุกโชนอย่างโชติช่วง ร่างไร้วิญญาณของซือไท่นอนราบอยู่บนกองฟืน
ร่างของหญิงที่น่าสงสารคนหนึ่งกำลังจะถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางความมืดมิดที่แสนเดียวดายนี้
“ท่านแม่! เยว่เอ๋อร์จะจดจำคำของท่านเอาไว้!”
เสียงของสุ่ยเยว่เอ๋อร์แหบพร่าจนแทบพูดไม่ออก นางทำได้เพียงแค่สื่อสารกับมารดาอยู่ในใจ
นางพร่ำอะไรบางอย่างแผ่วเบาในขณะที่นำเถ้ากระดูกของมารดาใส่ลงในโถอย่างระมัดระวัง
สุ่ยเยว่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าสกุลหมีอยู่ที่ไหน และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลุมฝังศพของบิดาอยู่ที่ใด นางจึงจะนำอัฐิของมารดาเก็บเอาไว้ข้างกาย รอจนกว่าความจริงจะกระจ่าง แก้แค้นหนี้เลือดของบิดามารดาให้สำเร็จ ตามหาหลุมฝังศพของท่านพ่อจนเจอแล้ว ค่อยฝังท่านทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน
“อาซ้อ ดื่มน้ำเสียหน่อยเถอะ!” มองดูใบหน้าที่เศร้าสร้อยอ่อนระโหยโรยแรงของสุ่ยเยว่เอ๋อร์ อวี้เฟยเยียนจึงนำยาเม็ดละลายกับน้ำส่งให้กับสุ่ยเยว่เอ๋อร์
“ขอบคุณนะ” สุ่ยเยว่เอ๋อร์ดื่มน้ำ ‘เอื๊อกๆ’ ลงไปหลายอึก แล้วจึงลุกยืนขึ้น
“นับตั้งแต่วันนี้ไป บนโลกนี้จะไม่มีสุ่ยเยว่เอ๋อร์อีกต่อไป ข้าคือหมีเยว่!” สุ่ยเยว่เอ๋อร์มองมายังอวี้เฟยเยียน ด้วยแววตาแน่วแน่
“น้องเยียนเอ๋อร์ การแก้แค้นสกุลสุ่ยนับข้ารวมเข้าไปด้วยอีกคน! ข้าจะแก้แค้นให้กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า!”
ตอนนี้ในหัวใจของสุ่ยเยว่เอ๋อร์อัดแน่นไปด้วยความแค้น นางไม่มีวันลืมเลือนภาพที่ท่านแม่ฆ่าตัวตายนั่นได้
มารดาของนางใช้วิธีนี้ ก็เพื่อให้นางไม่หลงลืมหนี้แค้นของนางกับสกุลสุ่ย
แค้นนี้ นางต้องชำระให้จงได้!
“ข้าต้องแก้แค้น! ต้องแก้แค้น!”
หมีเยว่กล่าวจบ ฉับพลันนางก็เป็นลมล้มพับไปทันที
“เยว่เอ๋อร์!”
อวี้ซิงฉงที่คอยจับตาดูหมีเยว่มาโดยตลอด เมื่อเห็นว่านางเป็นลมล้มพับไป ก็รีบเข้ามารับร่างของนางเอาไว้ทันที
“พี่ใหญ่ สภาพจิตใจของอาซ้ออ่อนล้าเป็นอย่างมาก จิตใจของนางกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต้องพักผ่อนให้มากๆ——”
หลังจากที่จับชีพจรตรวจอาการของหมีเยว่แล้ว อวี้เฟยเยียนจึงหันไปบอกกับอวี้ซิงฉง
เดิมทีอวี้เฟยเยียนยังคิดว่าคราวนี้จะจัดการสกุลสุ่ยให้พินาศย่อยยับ แต่ตอนนี้อวี้ซิงฉงบาดเจ็บ สุ่ยเยว่เอ๋อร์ก็มาล้มป่วยลงอีก สภาพจิตใจของตี้อู่เฮ่ออี้ก็ยังไม่แน่นอน
นางจึงรู้ดีว่า ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการล้างแค้น
“เยียนเอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์ทางนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว!”
อวี้ซิงฉงรู้ดีว่า หากวันนี้อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนไม่มาถึงได้ทันเวลาละก็ คนที่ตายจะต้องเป็นพวกของตนเองอย่างแน่นอน
หากว่าตามไปแก้แค้นสกุลสุ่ยในตอนนี้ พวกเขาทั้งสามคนจะต้องเป็นภาระของอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนเป็นแน่ ดังนั้นตอนนี้ยังคงไม่ใช่เวลาที่สมควรจะไปแก้แค้น
เมื่อเห็นว่าอวี้ซิงฉงเข้าใจเจตนาของนางแล้ว อวี้เฟยเยียนก็เผยรอยยิ้มบางๆออกมาในที่สุด
“ลูกผู้ชาย สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย พี่ใหญ่ พี่เฮ่ออี้ พวกเรายังมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกแน่!”
แม้ว่าจะได้รับคำปลอบโยนจากอวี้เฟยเยียน แต่สภาพจิตใจของตี้อู่เฮ่ออี้ก็ยังคงย่ำแย่
ตี้อู่เฮ่ออี้ในตอนนี้ราวกับท่อนไม้ก็ไม่ปาน
เมื่อสภาพของตี้อู่เฮ่ออี้เช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินเข้ามานั่งลงข้างกายเขา พร้อมกับตบบ่าเขาเบาๆเอ่ยว่า
“ข้าได้สั่งการลงไปแล้ว ให้คนของข้าตามหาเชียนเย่เสวี่ยอย่างสุดกำลัง——”
“ขอบคุณ!”
ตี้อู่เฮ่ออี้ก้มหน้าคอตก ตาก็จ้องมองก้อนหินบนพื้น
“น้องเขย หากว่าเจ้าเก่งกาจเช่นเจ้า ก็คงจะสามารถปกป้องเสวี่ยได้!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ พลันตี้อู่เฮ่ออี้ก็เงยหน้ามองซย่าโหวฉิงเทียน
“ข้าจะขอร้องเจ้าสักเรื่องได้ไหม?”
“ว่ามาสิ——”
“เจ้าสอนวรยุทธ์ให้ข้าที!” ตี้อู่เฮ่ออี้สีหน้าเด็ดขาดแน่วแน่
“ข้าจะเรียนวรยุทธ์ ข้าจะต้องปกป้องคนที่ข้ารัก ปกป้องครอบครัวของข้า เพื่อนของข้า ข้าไม่อย่างเป็นคนไร้สามารถ!”
ตี้อู่เฮ่ออี้ต้องการเรียนวรยุทธ์ ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับแปลกใจไม่น้อย หลังจากนั้นหนึ่งวินาที เขาก็ได้สติ
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จึงพลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะฝึกวรยุทธ์มากที่สุดไป ตอนนี้ต่อให้เจ้ามุ่งมานะพยายามฝึกฝนอย่างไร ก็ไม่สามารถสำเร็จถึงขั้นสูงสุดได้! สำเร็จถึงปรมาจารย์ได้ถือว่ามีวาสนาที่สุดแล้ว”
ปรมาจารย์ บนแผ่นดินอู๋โยวแห่งนี้ยังไม่สู้ตัวอะไรสักตัวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าจะปกป้องเชียนเย่เสวี่ยเลย
“ชะ เช่นนั้น ข้าจะทำอย่างไรดี…” ตี้อู่เฮ่ออี้กุมศีรษะตนเองด้วยความเสียใจ
“ข้าเป็นขยะ! ข้าทำร้ายเสวี่ย!”
“พี่!” เห็นตี้อู่เฮ่ออี้เป็นเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนจึงเริ่มดุดันขึ้นมา
“บรรพบุรุษเผาตัน ตี้อู่เฉินอี้ก็ไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่เขาก็ยังสามารถก่อตั้งชนเผ่าตัน ทำให้ชนเผ่าตันมีที่ยืนอยู่บนแผ่นดินอู๋โยว กลายเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดได้ แล้วท่านเคยได้ยินใครด่าว่าเขาเป็นขยะหรือเปล่า?”
“ท่านเคยบอกกับข้าว่า คนที่ท่านนับถือมากที่สุดก็คือตี้อู่เฉินอี้ มือซ้ายของเขาใช้รักษาผู้คน มือขวาของเขาใช้วางยาพิษ แม้ว่าเขาจะไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่อยู่ที่เมืองอู๋โยวนี่กลับได้รับการยกย่องเทิดทูล ผู้คนให้ความเคารพยำเกรง นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรท่านถึงได้นับถือเขา ท่านลืมแล้วหรือ?”
“แต่ว่า ข้า…” ตี้อู่เฮ่ออี้อึกอัก
“ไม่มีแต่อะไรอีกแล้ว! ทุกแขนงวิชามีวิธีการศึกษาและคุณค่าเฉพาะตัวของมัน ท่านหมั่นศึกษาเรียนรู้วิชาแพทย์ให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น กลายเป็นตี้อู่เฉินอี้คนที่สองให้ได้ นี่ต่างหากคือจุดมุ่งหมายของการต่อสู้และมุ่งมานะพยายามของท่าน!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนเรียกสติของตี้อู่เฮ่ออี้ให้กลับคืนมา หากว่าตอนนี้เขาได้เรียนวรยุทธ์แต่กลับต้องละทิ้งวิชาแพทย์ที่เขารัก ต้องเสียเงินมากกว่าคนทั่วไปเป็นร้อยเท่า ต้องสละเวลาและแรงกายแรงใจมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันเท่าเพื่อฝึกปรือ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นดั่งที่เขาคาดหวังเอาไว้อีกด้วย
คนแบบอวี้เฟยเยียนที่ยอดเยี่ยมทั้งวิชาแพทย์และวรยุทธ์เช่นนี้ บนโลกนี้เห็นทีมีนางเพียงผู้เดียว
ในเมื่อเขาไม่อาจเป็นอวี้เฟยเยียนคนที่สอง เขาก็จะเป็นตี้อู่เฉินอี้คนที่สองให้จงได้!
เขาจะใช้วิชาแพทย์และวิชาพิษของตนทำให้ทุกคนนับถือและศรัทธาเขาให้จงได้! เมื่อเห็นว่าตี้อู่เฮ่ออี้ได้สติขึ้นมา น้ำเสียงของอวี้เฟยเยียนก็อ่อนลง
“พี่ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ที่เสวี่ยต้องเผชิญจะกลับร้ายกลายเป็นดี ท่านเชื่อข้าสิ!”
“จริงหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉับพลันแววตาของตี้อู่เฮ่ออี้ก็ส่องประกายความหวังขึ้นมา
“พี่ ในเมื่อท่านต้องการจะปกป้องคนที่ท่านรัก ปกป้องคนในครอบครัวและมิตรสหาย ท่านก็ต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีก!”
“ตอนนี้พวกเราไม่รู้ว่าเสวี่ยเป็นเป็นหรือตาย ดังนั้นจึงยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมาเศร้าโศกเสียใจ เปลี่ยนความเสียใจให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อน เช่นนี้แล้วถึงสมกับที่เสวี่ยรักท่านด้วยใจจริง! หากว่านางอยู่ที่นี่ คงไม่อยากเห็นท่านกลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้แน่!”
เมื่อได้รับแรงกระตุ้นและกำลังใจจากอวี้เฟยเยียน ตี้อู่เฮ่ออี้ก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมา
“ใช่! เสวี่ยไม่ชอบคนที่อ่อนแอไม่เอาไหน! เพื่อเสวี่ย ข้าจะต้องเข้มแข็งขึ้นมา! คราวที่แล้วนางตกน้ำถูกข้าช่วยเอาไว้แล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้นางจะต้องโชคดีอีกครั้ง นางจะต้องปลอดภัย!”
ในตอนนั้นเอง บนท้องฟ้ามีเสียงร้องของนกดังแว่วมา พิราบสื่อสารบินตรงเข้ามายังกองไฟที่กำลังลุกโชน สุดท้ายมาหยุดลงบนท่อนไม้เบื้องหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน
“จดหมายจากเหลียนจิ่น!”