จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 116-120
บทที่ 116 : วางเพลิง (2)
”ไป๋เสี่ยวเฉิน!”
หยู่หรงกัดฟันกล่าวว่า”ในฐานะที่เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลไป๋ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องตอบแทนสกุลไป๋ ในเมื่อท่านตาของเจ้าต้องการเชื่อมสายสัมพันธ์กับหอบุปผา เจ้าก็ควรไปที่หอบุปผาเสียแต่โดยดี !”
”ท่านแม่บอกข้าว่าสกุลไป๋ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพวกค้ามนุษย์ เดิมทีข้าเองก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว” ไป๋เสี่ยวเฉินยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสา “แล้วท่านแม่ยังบอกข้าอีกนะว่า เป็นเด็กดีต้องช่วยเหลือผู้อื่น เช่นนั้นข้าเลยจะช่วยเตือนความจำเจ้า เจ้ายังมีหลานชาย หากเจ้าต้องการขายก็ขายหลานของเจ้าสิ”
สีหน้าของเด็กน้อยแลดูภาคภูมิใจราวกับเขากำลังรอให้หยูหรงกล่าวคำยกย่องชื่นชมเขา ที่เสนอความคิดดี ๆ
ทว่าหยูหรงกลับยิ่งโกรธจนแทบคลั่ง
เป็นดังคาดลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น !
หกปีที่แล้วไป๋หยานก็กล่าววาจาเช่นเดียวกันนี้กับนาง ครั้งนั้นไป๋หยานกล่าวว่า หากนางต้องการที่จะขายใครซักคน นางก็ควรจะขายไป๋จื่อ หรือไม่ก็ไป๋รั่ว
”ไป๋เสี่ยวเฉินข้าขอบอกเจ้า ในฐานะที่ข้าเป็นยายของเจ้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะตัดสินความเป็นความตายของเจ้า !” หยูหรงเชิดหน้า “ไม่ต้องพูดถึงว่า หลานชายของข้า เป็นถึงพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ ทว่าเขายังถูกลิขิตให้เป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ในวันหน้าอีกด้วย ! ลูกไม่มีพ่อเยี่ยงเจ้ามีอะไรเทียบกับหลินเอ๋อของข้าได้กระนั้นหรือ ? ! เจ้านั่นแหละต้องไปหอบุปผา ”
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาเด็กน้อยเกลียดมากที่สุด หากมีผู้ใดว่าเขาเป็นลูกไม่มีพ่อ
”เสี่ยวมี่กัดนาง !”
เมี้ยว!
เสี่ยวมี่งอตัวจากนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าหาหยูหรงทันที กรงเล็บอันแหลมคมของเสี่ยวมี่กรีดผ่านหน้าอกของนางดัง ‘ควับ’ พร้อมกันนั้นอาภรณ์ของนางก็เปื้อนไปด้วยเลือด
หยูหรงกรีดร้องตะโกนลั่นด้วยความเจ็บปวดนางโกรธจัด “แมวบ้า ! ออกไปนะ !”
นางฟาดฝ่ามือใส่เสี่ยวมี่ทว่าเสี่ยวมี่ก็หลบเลี่ยงได้อย่างว่องไว ขณะเดียวกันเสี่ยวมี่ก็ตะปบอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้เสี่ยวมี่เล็งไปที่ส่วนลับของนาง เสียงร้องของหยูหรงกรีดแหลมด้วยความเจ็บปวดอย่างลึกล้ำ
ไป๋เสี่ยวเฉินกระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้นเขามองดูหยูหรงเจ็บปวดทรมานด้วยความสะใจยิ่ง
น่าเสียดายที่ว่าเขาสนุกได้เพียงไม่นานนัก ยามของบ้านสกุลไป๋ที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายต่างก็วิ่งกรูเข้ามา พวกเขาเห็นหยูหรงยืนตัวสั่นเทา
”นายหญิง!”
พวกเขารีบเดินเข้ามาหาหยูหรงอย่างรวดเร็วซึ่งขณะนี้นั้น เสี่ยวมี่ก็กลับมาอยู่ข้าง ๆ เด็กชายแล้ว
”ตีแมวตัวนั้นให้ตาย! จากนั้นก็จับตัวเด็กนรกนั่นไว้ !” หยูหรงชี้ไปที่ไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมกับคำรามด้วยความโกรธและเกลียด
นางไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน! แมวบ้าตัวนี้รนหาที่ตายชัด ๆ !
เสี่ยวมี่เลียอุ้งเท้าของมันขณะมองพวกยามด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
แววตาเย้ยหยันของเสี่ยวมี่ยิ่งทำให้หยูหรงโกรธแค้น“พวกเจ้ายังมัวรีรออะไรอยู่อีก รีบเข้าไปสิ !”
”ขอรับ!”
ยามรับคำสั่งจากนั้นก็ดึงอาวุธออกมาทันที
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นพวกยามกำลังจะเข้าจู่โจมประกายสีแดงพลันฉายวาบออกมาจากนัยน์ตาจิ้งจอกของเขา
ตอนนี้เองที่พวกยามพบว่าขาของพวกเขาต่างก็ก้าวไม่ออก ราวกับว่าท่อนขาได้หยั่งรากลึกลงบนพื้น กระทั่งไม่สามารถขยับได้
”นี่เจ้าทำอะไร?” หยูหรงตะโกน นางจ้องมองเด็กชายด้วยสายตาคมวาวราวกับใบมีด
ไม่ว่าจะมองอย่างไรรอยยิ้มของเด็กชายก็ช่างน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง
ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงคอพร้อมกับหัวเราะคิกคักอย่างไร้เดียงสาเป็นที่สุด “แม่มดแก่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชอบรังแกท่านแม่ และท่านน้าของข้าใช่มั้ย ?”
”เจ้า… ”
ถึงเวลานี้หยูหรงก็แน่ใจแล้วว่า แท้จริงรอยยิ้มน่ารัก แววตาน่าเอ็นดู อีกทั้งใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่น ล้วนแล้วแต่เป็นการเสแสร้งตบตาทั้งหมด !
ไป๋เสี่ยวเฉินแสยะยิ้ม ก่อนจะยื่นนิ้วออกมา ตวัด ‘ฟิ้ว’ พร้อมกันนั้นเปลวไฟจิ้งจอกสีเขียวมรกตพลันจุดขึ้นที่ปลายนิ้ว
”เสี่ยวมี่เราไม่ได้เล่นจุดไฟกันนานแล้วนะ ล่าสุด เราวางเพลิงเผาคลังสมบัติของอาจารย์ตา แม้ว่าบ้านสกุลไป๋แห่งนี้จะไม่อาจเทียบได้กับคลังสมบัติที่นั่น แต่ข้าก็แน่ใจว่าอย่างน้อยก็ยังต้องมีสมบัติบางอย่างที่มีค่าให้เผาเล่นแหละ”
***จบบทวางเพลิง (2)***
บทที่ 117 : ปีศาจน้อยนักวางเพลิง
นัยน์ตาที่ตื่นตะลึงแต่แรกของหยูหรงแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว“เจ้าวางแผนจะทำอะไร” ยามนี้เสียงของนางแหลมผิดปกติ
”ข้าเพียงพยายามขู่ให้เจ้ากลัวก็เท่านั้นไม่คิดว่าเจ้าจะกลัวจริง ๆ จัง ๆ เพราะยังไงเสียบ้านสกุลไป๋ก็ต้องตกสู่มือของท่านน้า เช่นนั้นแน่นอนว่าข้าย่อมไม่เผาทรัพย์สินของท่านน้า”
ท่านน้าเคยบอกว่าเหตุที่เขาไม่ยอมไปจากที่นี่ก็เพียงเพราะเขาไม่ต้องการให้ทรัพย์สมบัติของท่านยายต้องถูกหญิงสารเลวเช่นเจ้ายึดไปหมด
”เจ้า… ” หยูหรงกัดฟัน พร้อมกับคำราม “เจ้ากล้าขู่ข้างั้นหรือ ?”
”แต่ถ้าเจ้ายังขืนไม่ออกจากห้องนี้ก็อย่าโทษข้า หากข้าจะเผาบ้านหลังนี้”
แม้น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวเฉินจะยังอ่อนเยาว์ทว่ากลับฟังดูคุกคาม ไม่อ่อนโยนเฉกเช่นครั้งก่อน น้ำเสียงของเขายามนี้ฟังคล้ายข่มขู่อีกทั้งแข็งกร้าว
“เจ้าคิดว่าเจ้าเข้ามาถึงบ้านสกุลไป๋แล้วจะกลับออกไปได้งั้นรึ ?” หยูหรงฉีกยิ้ม ยิ้มของนางแลดูดุร้าย “รอให้ท่านตาของเจ้ากลับมาก่อนเถอะ ข้าจะให้เขาสอนบทเรียนให้แก่เจ้า !”
กล่าวจบหยูหรงก็ทำน้ำเสียงฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจแล้วนางก็เดินนำพวกยามออกจากห้อง พร้อมกับปิดประตูดัง “ปัง”
หลังออกจากห้องหยูหรงก็หันกลับมาที่เหล่ายาม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “พวกเจ้าทุกคนมันขยะชัด ๆ เด็กเพียงคนเดียวก็ยังทำอะไรไม่ได้ !”
“นายหญิง…”ยามคนหนึ่งเอ่ยคำเสียงอ่อน “แมวที่อยู่ข้าง ๆ เด็กคนนั้น…ข้าคิดว่ามันน่าที่จะเป็นสัตว์อสูร เราไม่สามารถขยับตัวได้เลย มันต้องทำอะไรพวกเราเป็นแน่”
สัตว์อสูร!
สองคำนี้ทำให้แววตาของหยูหรงหม่นลง นางกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูร ทว่าสัตว์อสูรก็มีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน มันเป็นเพียงลูกแมว จะมีความสามารถอะไรนักหนา ? เฉิงเซียงกลับมาเมื่อใด ข้าจะให้เขาสอนบทเรียนเจ้าสัตว์เดรัจฉานนั่น !”
ยิ่งคิดถึงถ้อยคำของไป๋เสี่ยวเฉินใบหน้าของนางก็ยิ่งแลดูบิดเบี้ยวมากยิ่งขึ้น
*****
จันทร์กระจ่างกลางนภา
หยูหรงยังคงรอไป๋เฉิงเซียงกลับมาอย่างใจจดใจจ่อทว่าไป๋เฉิงเซียงมัวแต่วุ่นวายเรื่องที่ไป๋จื่อถูกคุมขังอยู่ในคุก เขาจึงยังไม่อาจกลับมา
จู่ๆ ในลานบ้าน ประกายไฟพลันแผ่กระจายลุกลามไปทั่ว ท้องฟ้าเหนือบ้านสกุลไป๋สว่างไสวโชติช่วง
”เกิดอะไรขึ้น?”
หยูหรงผุดลุกขึ้นทันทีสีหน้าของนางแลดูไม่ค่อยดีนัก
”นายหญิง”
ทันใดนั้นเองยามก็ผลุนผลันเข้ามาในห้อง เขารีบคุกเข่าลงเมื่อต้องเผชิญกับความรู้สึกถูกกดขี่ภายใต้สายตาของหยูหรง
”ดูเหมือนว่าจะมีเพลิงลุกไหม้บริเวณห้องที่ติดกับห้องของนายน้อยขอรับ”
ห้องติดกับห้องพักของไป๋เซียว
นั่นมันห้องที่ไป๋เสี่ยวเฉินพักอยู่มิใช่รึ?
แววตาของหยูหรงเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นนางตวาดว่า “เจ้ามัวรออะไรอยู่อีก ? รีบไปดับไฟสิ !”
แม้ว่านางจะเกลียดไป๋เสี่ยวเฉินมากแต่หากเด็กนั่นตายในกองเพลิง นางก็จะสูญเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับ
”ขอรับนายหญิง”
พวกยามถอยจากไปเพียงไม่ช้าทั่วทั้งบ้านสกุลไป๋ก็ร้องตะโกนอย่างโกลาหล “ไฟไหม้ ๆๆๆ”
*****
ผู้ที่อยู่ใกล้ไป๋เสี่ยวเฉินมากที่สุดก็คือไป๋เซียว ทันทีที่เขารู้ว่าไฟมาจากห้องข้าง ๆ เขาก็รีบวิ่งออกไปทันที พร้อมกับพยายามพุ่งเข้าไปในทะเลเพลิง
ครั้นเห็นไป๋เซียวปรากฏตัวบรรดายามของบ้านสกุลไป๋ต่างก็รีบเข้าไปขวางเขาไว้
”นายน้อยยังไม่ควรเข้าไปข้างใน”
”ออกไป!”
นัยน์ตาของไป๋เซียวเต็มไปด้วยความแค้นเคืองน้ำเสียงของเขาเย็นชา “อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง !”
หลานชายผู้เป็นที่รักของเขายังคงอยู่ในห้องจะให้เขาทนยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร ?
หากเฉินเอ๋อได้รับอันตรายในบ้านสกุลไป๋เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต !
”นายน้อยเพลิงลุกโหมรุนแรงมาก ท่านยังไม่ควรเข้าไปในตอนนี้”
บูม!
ทันทีที่ยามพูดจบไป๋เซียวก็ชกอกเขา และด้วยหมัดอันทรงพลังนั้นก็ส่งให้ยามกระเด็นลอยไกล
”หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเฉินเอ๋อหลานชายข้าข้าจะให้หยูหรงชดใช้ด้วยชีวิต !”
ทันทีที่กล่าวจบประโยคไป๋เซียวก็ไม่คิดสิ่งใดอีกแล้ว เขาเตรียมกระโจนเข้าสู่ทะเลเพลิง ทว่าทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงอ่อนเบาดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ร่างของเขาถึงกับแข็งค้าง
***จบบทปีศาจน้อยนักวางเพลิง***
บทที่ 118 ไป๋เสี่ยวเฉินจอมวางแผน (1)
”ท่านน้าท่านจะทำอะไร ?”
เสียงคุ้นเคยนี้ทำให้ไป๋เซียวน้ำตาแทบร่วง
เขาหันกลับมาอย่างช้าๆ พลันร่างเล็ก ๆ ก็ปรากฏต่อหน้าต่อตาของเขา
เส้นผมของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยใบหน้าเปรอะเปื้อน ทั้งเสื้อผ้าก็ขาดเป็นรู แม้แต่แมวขาวตัวน้อยของเขาขนของมันก็ยังมีรอยไหม้นิดหน่อย
”เฉินเอ๋อ!”
ไป๋เซียวก้าวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงร่างของหลานชายเขาดึงเด็กชายเข้าสู่อ้อมแขน แล้วกอดแน่น ร่างของไป๋เซียวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
”เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว… ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…”
ไป๋เสี่ยวเฉินตระหนักได้ถึงความกลัวในหัวใจของไป๋เซียวน้าชายของเขาเขาจึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ปล่อยให้ไป๋เซียวกอดเขาแน่น
”บอกน้าสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?”
ครู่ใหญ่กว่าไป๋เซียวจะปล่อยตัวหลานชายเสียงของเขายังคงสั่น เมื่อหวนคิดว่าหากไป๋เสี่ยวเฉินหนีออกมาไม่ทัน เขาก็คงไม่ได้พบหน้าหลานชายตัวน้อยอีกแล้ว
”ท่านน้า… ” ไป๋เสี่ยวเฉินซุกร่างเข้าหาอ้อมอกน้าชาย เสียงอ่อนโยนนั้นฟังดูช่างน่าสงสารนัก “เฉินเอ๋อ… อยากกลับบ้านแล้ว คนบ้านสกุลไป๋พวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่ดี พวกเขาใจร้ายมาก”
“ได้สิน้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”
ครั้นไป๋เซียวเห็นความเศร้าโศกของเจ้าซาลาเปาน้อยภายในหัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด เขาอุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินจากบ้านสกุลไป๋ไปอย่างช้า ๆ
ช่วงเวลานั้นเองหยูหรง และหยูฮูหยินผู้เฒ่า ก็นำคนมาช่วยดับไฟ ครั้นเห็นไป๋เซียวอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินกำลังจะจากไป พวกนางต่างก็โกรธเกรี้ยว “ไป๋เซียว นั่นเจ้าจะพาเด็กน่ารังเกียจนั่นไปที่ใด ? ”
ริมฝีปากไป๋เซียวยกโค้งเขายิ้มเยาะ “ข้าจะส่งเฉินเอ๋อกลับไปหาแม่”
”ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าออกจากที่นี่?” แววตาของหยูหรงเย็นยะเยือก นางตะคอก “หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า วันนี้ห้ามมิให้ผู้ใดออกจากบ้านสกุลไป๋ !”
นางจะปล่อยให้เขาพาเด็กคนนี้ออกไปได้อย่างไร? ในเมื่อนางหวังจะใช้เจ้าปีศาจน้อยนี่ประจบหอบุปผา !
หากปล่อยพวกเขาไปแผนของนางก็ต้องล้มไม่เป็นท่า !
ไป๋เสี่ยวเฉินเห็นน้าชายกำหมัดแน่นเขาก็รีบยกแขนขึ้นโอบรอบคอของไป๋เซียว พร้อมกับร้องว่า “ท่านน้า หนี !”
“หนี!”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าวของเด็กน้อยไป๋เซียวก็ไม่ลังเลอีก ร่างของเขาพุ่งราวสายฟ้าแลบ
”ไล่ตามพวกเขาไปอย่าให้หนีไปได้ !” หยูหรงกระทืบเท้าเร่า ๆ ด้วยความโกรธ นางหันไปสั่งสาวใช้ข้างกายว่า “ไปตามสามีของข้ามาเดี๋ยวนี้ !”
ไป๋เซียวนั้นว่องไวเป็นอย่างมากเพียงชั่วพริบตาเขาก็สามารถหลบออกมาจากบ้านสกุลไป๋ได้
หลังจากพ้นบ้านสกุลไป๋มาได้แล้วไป๋เสี่ยวเฉินก็น้ำตาไหลพราก กระทั่งทำให้ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนท้องถนนต่างก็หันมามองเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสังเวช
เมื่อวานนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างเล่าลือกันถึงเรื่องบุตรชายนอกสมรสของไป๋หยาน
เช่นนั้นทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงร้องไห้จากเด็กน้อยผู้ซึ่งกำลังถูกไป๋เซียวอุ้ม ทุกคนต่างก็พอจะรู้จักเด็กคนนี้
“อย่าร้องไห้เฉินเอ๋อ น้ากำลังพาเจ้ากลับไปหาแม่แล้ว และจะไม่พาเจ้ากลับมาที่นี่อีก”
ไป๋เซียวมองหน้าไป๋เสี่ยวเฉินที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นหัวใจของเขาพลันเจ็บปวด อย่างไรเสียเด็กก็ยังเป็นเด็ก
เปลวเพลิงคงทำให้เขาหวาดกลัวมาก…
ชั่วขณะนั้นเองยามจากบ้านสกุลไป๋ก็ไล่ติดตามมาทัน พวกเขาตีวงโอบล้อมไป๋เซียว และไป๋เสี่ยวเฉินไว้
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นหยูหรงติดตามออกมาจากบ้านสกุลไป๋ด้วยเขาก็ยิ่งร้องไห้ดังขึ้นเรื่อย ๆ
”แงงงงงงงอย่าขายเฉินเอ๋อ อย่าเผาเฉินเอ๋อเลย เฉินเอ๋อจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังทุกอย่าง”
“ท่านน้าเฉินเอ๋อจะหาหม่ามี้ เฉินเอ๋อไม่อยากไปอยู่ที่หอบุปผา !”
***จบบทไป๋เสี่ยวเฉินจอมวางแผน (1)***
บทที่ 119 : ไป๋เสี่ยวเฉินจอมวางแผน (2)
ไป๋เสี่ยวเฉินยิ่งโอบรัดรอบคอไป๋เซียวแน่นขึ้นเขาร้องไห้ไม่หยุด
บูม!
ฝูงชนต่างตกใจ
แววตาของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ !
บ้านสกุลไป๋จะขายหลานของตัวเองให้หอบุปผาหรือ? แล้วยังจะเผาเด็กอีก ?
พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่านายหญิงบ้านสกุลไป๋นั้นจะเป็นคนที่ใจคอโหดเหี้ยม กล้าทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ได้ !
”เจ้าพูดเรื่องอะไร?” หยูหรงหน้าเขียว
ข้าอยากขายเขาแต่ข้าไปเผาเขาตั้งแต่เมื่อไร ?
หลังจากได้ยินเสียงคำรามของหยูหรงร่างของไป๋เสี่ยวเฉินก็สั่นสะท้าน เขารีบซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกน้าชายของตน
ไป๋เซียวทุกข์ใจมากขึ้นเขาลูบศีรษะเด็กน้อยเบา ๆ “เฉินเอ๋อ ไม่ต้องกลัว หากน้ายังอยู่ จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเจ้าได้ ไหน บอกน้าซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ท่านน้าท่านจะไม่ขายเฉินเอ๋อใช่มั้ย ?” ใบหน้าเปื้อน ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูซีดลงเล็กน้อย เขามองไป๋เซียวด้วยแววตาน่าสงสาร “เฉินเอ๋อจะเป็นเด็กดี อย่าขายเฉินเอ๋อนะ ได้มั้ย ?”
ครั้นมาถึงจุดนี้ไป๋เซียวก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกขาดออกจากกัน เขาขมวดคิ้วอย่างปวดร้าว ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนเช่นเคย
”ไม่ต้องกังวลน้าไม่มีวันขายเจ้าให้ใครทั้งนั้น”
”เช่นนั้นเฉินเอ๋อก็ค่อยโล่งใจหน่อย”ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าว พร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นเขาก็เริ่มสาธยาย “เมื่อครู่ หญิงชราคนนี้อ้างว่าเป็นท่านยายของเฉินเอ๋อ นางบอกให้เฉินเอ๋อไปอยู่ที่หอบุปผาเสียแต่โดยดี เฉินเอ๋อไม่ยอม เฉินเอ๋อบอกว่า เฉินเอ๋อจะไปตามหาหม่ามี้ แต่นางบอกว่ามีเพียงยายกับตาเท่านั้นที่สามารถตัดสินชะตากรรมของเฉินเอ๋อได้ ต่อให้ตามหาหม่ามี้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
ช่วงเวลานั้นสายตาดูถูกเหยียดหยามทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่หยูหรง
ภายใต้สายตาเหล่านั้นหยูหรงเริ่มตัวสั่น นางชี้นิ้วไปที่ไป๋เสี่ยวเฉินอย่างโกรธเกรี้ยว “ไป๋เสี่ยวเฉิน ! เจ้าใส่ร้ายข้าอีกแล้วนะ ระวังเถอะข้าจะฉีกปากของเจ้า ! ”
ร่างของไป๋เสี่ยวเฉินสั่นสะท้านขึ้นอีกครั้งเขาซุกศีรษะกลับเข้าไปในอ้อมอกน้าของเขาทันที
“ท่านน้าเฉินเอ๋อกลัวจังเลย เมื่อครู่ เฉินเอ๋อไม่ยอมไปหอบุปผา นางก็จ้องหน้าเฉินเอ๋อ แล้วยังขู่ด้วยว่าจะเผาเฉินเอ๋อหากเฉินเอ๋อไม่เชื่อฟัง”
น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวเฉินน่าสงสารนัก
“ตอนแรกเฉินเอ๋อคิดว่านางก็แค่ขู่ ใครจะคิดว่าคืนนี้ไฟจะไหม้จริง ๆ หากมิใช่เป็นเพราะเสี่ยวมี่พาเฉินเอ๋อหนีออกมาอย่างรวดเร็วแล้วล่ะก็ ท่านน้าคงไม่ได้เห็นหน้าเฉินเอ๋ออีกแน่”
ในใจของไป๋เซียวนั้นทั้งรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด เขาเสียใจที่พาไป๋เสี่ยวเฉินมาที่บ้านสกุลไป๋ ทั้งยังรู้สึกผิดที่ปกป้องไป๋เสี่ยวเฉินได้ไม่ดีพอ กระทั่งทำให้ไป๋เสี่ยวเฉินต้องหวาดกลัวถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตามไป๋เสี่ยวเฉินก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของไป๋เซียว เขากุมมือน้าชายของตนแน่นขึ้น
เพื่อแก้แค้นแทนหม่ามี้แล้วเขาต้องไม่ใส่ใจความรู้สึกของท่านน้าชั่วคราว ไว้กลับถึงบ้านก่อนค่อยอธิบายให้ท่านน้าฟัง
“อย่าฟังเรื่องไร้สาระของเขา!” ตอนนี้หยูหรงบ้าคลั่งไปแล้ว นัยน์ตาของนางแดงก่ำแลดูน่าสยดสยอง นางตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “เขาเป็นบุตรชายของไป๋หยาน เขาถูกนางแพศยานั่นอบรมเลี้ยงดูมา เขาย่อมไม่ใช่เด็กดี ! เขาใส่ร้ายข้า ! ”
ครั้นได้ยินถ้อยคำเหล่านี้บรรดาผู้คนที่มุงอยู่ต่างก็มีสีหน้าเหยียดหยัน
เด็กอายุห้าขวบเองไหนเลยจะสามารถพูดโกหกได้เพียงนี้ !
”ไป๋เสี่ยวเฉิน!”
หยูหรงคำรามอย่างโกรธแค้น”เห็นได้ชัดว่า เจ้าให้แมวประหลาดนั่นกัดข้า แล้วตอนนี้เจ้าก็พูดบิดเบือน ใส่ร้ายว่าข้าพยายามจะทำร้ายเจ้า เจ้าไม่ละอายบ้างเลยหรือ ?
“ฮูหยินไป๋”ไป๋เซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มหยัน “ที่บ้านสกุลไป๋ก็มียามตั้งมากมาย ทั้งท่านก็แข็งแกร่งมิใช่อ่อนด้อย ท่านบอกว่าโดนแมวนี่ข่วนงั้นหรือ ? ท่านคิดว่าคนอื่นจะเชื่อท่านรึไง ? หรือท่านคิดว่าพวกเราโง่ ?”
หยูหรงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่แมวธรรมดา ทว่ามันเป็นสัตว์อสูร !”
***จบบทไป๋เสี่ยวเฉินจอมวางแผน (2)***
บทที่ 120 : ชื่อเสียงพังพินาศ (1)
สัตว์อสูร?
ทุกคนต่างก็หันไปทางแมวน้อยที่นั่งอยู่บนไหล่ของไป๋เซียวอย่างประหลาดใจ
”เมี้ยว”แมวน้อยเลียอุ้งเท้าของมัน ตาสีฟ้าใสของมันราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ข้าเป็นแค่แมวธรรมดาๆ ไม่เข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดกันเลยแม้แต่น้อย แผล่บ ๆ
”แมวนั่นดูเหมือนแมวขาวธรรมดาๆ ไม่เห็นจะเหมือนสัตว์อสูรที่ตรงไหน คำพูดของฮูหยินไป๋ช่างไร้สาระสิ้นดี”
“ข้าเชื่อเด็กนั่นหากเขาโกหก ย่อมแสดงว่าเขาเล่นละครตบตาได้เก่งมาก สมจริงมาก ๆ เด็กอายุเพียงห้าขวบเท่านั้นจะแสดงละครเก่งขนาดนั้นได้อย่างไร ?
ครั้นได้ยินบทสนทนาดังกล่าวใบหน้าของหยูหรงก็ยิ่งน่าเกลียดหนักขึ้นกว่าเดิม นางกวาดสายตามองฝูงชนอย่างแค้นเคือง ดวงตาของนางเปล่งประกายเย็นยะเยือกแลดูอันตราย
”หากข้าได้ยินผู้ใดให้ร้ายข้าอีกล่ะก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ !”
ยามนี้สติของนางขาดผึงทว่าถ้อยคำดังกล่าวก็มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ฝูงชนเงียบเสียงลงได้
หยูหรงส่งเสียงฮึดฮัดอย่างดูถูกตราบใดที่นางไม่ยอมรับ คนพวกนี้จะทำอะไรนางได้ ?
”โอ้? ฮูหยินไป๋ ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องยุ่ง ๆ นะ”
น้ำเสียงที่มีเสน่ห์ดังมาทำให้ใบหน้าหยูหรงเปลี่ยนเป็นแข็งค้างขึ้นทันที
ครั้นมองไปที่สตรีผู้กำลังเดินเข้ามาหยูหรงก็มีทีท่าไม่สบายใจ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”
มาม่าฉู่แห่งหอบุปผาทุกคนในเมืองหลวงแห่งนี้ต่างก็รู้จักนางดี ด้วยนางมีหอบุปผาให้การหนุนหลัง จึงไม่มีผู้ใดในเมืองนี้กล้ายั่วยุ หรือแตะต้องนาง
ครั้นเห็นว่ามาม่าฉู่และหยูหรงต่างก็รู้จักกัน ผู้คนก็เริ่มสงสัยว่าหยูหรงมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับมาม่าฉู่ได้อย่างไร ?
”ข้าเพิ่งจะบอกหัวหน้าของข้าเกี่ยวกับข้อเสนอของท่านพวกเขาให้ความสนใจกันมาก แล้วนี่หลานชายที่ท่านพูดถึงอยู่ที่ใดล่ะ ข้าจำได้ว่า ท่านเรียกเขาว่า ไป๋เสี่ยวเฉินใช่หรือไม่ ?” มาม่าฉู่ยิ้มหวานราวกับดอกไม้บาน นางไม่มองสายตาของผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย
สีหน้าของหยูหรงเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันทีนางพยายามที่จะกอบกู้สถานการณ์ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใด !”
เพียงพริบตาใบหน้าของมาม่าฉู่ก็มืดมนลง
”อะไรกัน? นี่ท่านคิดจะกลับคำกระนั้นรึ ? ผู้ใดกันที่มาหาข้าที่หอบุปผาวันนี้ ทั้งยังบอกด้วยว่าต้องการจะขายหลานชายของตัวเอง ? ครั้นข้าพยายามใช้ภาพวาดที่ท่านมอบไว้ นำเสนอท่านหัวหน้ากระทั่งท่านหัวหน้าให้ความสนใจ ท่านก็มากลับคำกระนั้นรึ ? ”
ฮือฮา!
ฝูงชนต่างซุบซิบเซ็งแซ่!
หากไป๋เสี่ยวเฉินใส่ร้ายนางเช่นนั้นมาม่าฉู่แห่งหอบุปผานี่เล่า ?
นางจะใส่ร้ายผู้อื่นด้วยเหตุใด? เพื่ออะไร ?
ริมฝีปากของหยูหรงสั่นระริกเหตุใดจู่ ๆ มาม่าฉู่ถึงได้โผล่มาตอนนี้ ? นางรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นแผนการที่ถูกวางไว้
”หยูหรง!” ไป๋เซียวกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด
ขณะกล่าวว่า “เจ้าเป็นยายที่ไหนกัน ? มารดาของข้าตายไปนานแล้ว เจ้ามันก็แค่นางงูพิษ ! เฉินเอ๋อ หลานชายของข้าเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ ทว่าเจ้ายังคิดจะขายเขาให้กับหอบุปผาเช่นนั้นหรือ ? ”
บูม!
หยูหรงรู้สึกราวกับศีรษะของนางระเบิดนางเดินโซซัดโซเซไปมา ในตอนนี้นางรู้เพียงว่าภาพลักษณ์ที่นางเพียรสร้างตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาพังทลายกลายเป็นซากปรักหักพังสิ้นแล้ว
”หลีกหน่อยหลีกหน่อย !”
ทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้น จากนั้นยามหลายคนก็ช่วยกันฝูงชนที่อยู่โดยรอบ เพื่อเปิดทางให้หญิงชราคนหนึ่งเดินออกมายืนต่อหน้าฝูงชน
”ข้าเฉียนฟางแม่บ้านจากตระกูลเฉียน ข้ามาที่นี่เพื่อรับยาเม็ดจิตวิญญาณจากหยูหรง” เฉียนฟางเดินไปยืนเชิดหน้าอยู่ด้านหน้า “ฮูหยินไป๋ ข้าได้ยินมาว่าไป๋หยานกลับมาแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่แจ้งให้ข้าทราบ รู้หรือไม่ว่านายผู้เฒ่าของข้ายังคงรอรับไป๋หยานเป็นอนุอยู่ อย่าลืมสิว่าเมื่อหกปีก่อน พี่ชายของเจ้าเอายาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสามของเราไป เจ้ามาที่บ้านเฉียนของเราแล้วบอกว่าจะขายไป๋หยานให้กับนายผู้เฒ่า ! ทว่าไป๋หยานหนีไปเสียก่อน แล้วเจ้าก็ยังไม่ได้คืนของหมั้นให้เราเลย !”
***จบบทชื่อเสียงพังพินาศ (1)***