จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 136-140
บทที่ 136 : โจรฟ้องโจร (1)
“เจ้าเจ็บมั้ย?”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าที่น่ารักของเขาขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม
เป็นครั้งแรกที่หนานกงซุ่นได้รับรู้ถึงความห่วงใยความอบอุ่นไหลผ่านหัวใจของเขา เด็กน้อยส่ายหัวนิด ๆ “แผลตกสะเก็ดแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”
”อย่าหลอกข้าแค่ข้าแตะเจ้า เจ้าก็เจ็บแล้ว” ไป๋เสี่ยวเฉินบุ้ยปาก เขาล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อคว้าขวดยาเม็ดออกมาหลายขวด ทว่าเขาก็ได้แต่เกาหัวเล็ก ๆ ของตน “ข้าไม่รู้ว่าขวดไหนเป็นยารักษาบาดแผล เช่นนั้นเราต้องรอจนกว่าหม่ามี้ของข้าจะมาถึงที่นี่ ข้าจะให้หม่ามี้หายาที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการรักษาบาดแผลให้เจ้า”
ก็ยาเม็ดพวกนี้คือขนมสำหรับเขาเช่นนั้นเขาเลยขี้เกียจจำว่าพวกมันแต่ละตัวมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง
เรื่องที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียวคือการใช้พิษ
ในขณะที่ไป๋เสี่ยวเฉินพยายามลากตัวหนานกงซุ่นไปพบมารดาของตนทุกคนที่ได้ยินเสียงความวุ่นวายต่างก็รีบมายังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
ไป๋รั่วเป็นคนแรกที่มาถึงเพราะโอรสของนางอยู่ที่นั่นด้วย ครั้นเห็นว่าโอรสของนางอยู่ในสภาพที่น่าอนาถใจ นางก็โกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าทุกคนมัวยืนเฉยอยู่ไย ยังไม่รีบไปจับแมวตัวนั้นอีก !”
ครั้นบรรดาทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังนางก้าวไปข้างหน้านางก็เห็นแมวขาวทำท่าหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋เสี่ยวเฉินอย่างรวดเร็ว
”เสด็จแม่!”
ทันทีที่อันธพาลตัวน้อยเห็นไป๋รั่วมารดาของเขาปรากฏตัวเขาก็เริ่มร้องไห้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล จนดูแทบไม่ได้
ไป๋รั่วกำมือแน่นนางจ้องมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าเป็นลูกของผู้ใด ? เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายโอรสของข้า ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีความสำคัญมากเพียงใด ?”
โอรสของนางถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยทำอะไรผิดเลย ทว่ากลับต้องมาถูกรังแก นางจากไปเพียงแค่ครู่เดียว โอรสของนางก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ จะไม่ให้ไป๋รั่วโมโหได้อย่างไร ?
”เสด็จแม่เด็กน่ารังเกียจคนนี้กลั่นแกล้งข้า ทูลเสด็จพ่อให้ลงอาญาประหารมันทั้งตระกูลเลย !”
”ลูกรักเสด็จพ่อของเจ้ารักเจ้ามากที่สุด พระองค์จะไม่ทรงอยู่เฉยเป็นแน่หากมีผู้ใดทำร้ายเจ้า” ครั้นเห็นรอยขีดข่วนทั่วร่างกายของบุตรชาย ไป๋รั่วก็ยิ่งโกรธมากขึ้น
ครั้นเห็นว่าเด็กชายไม่ตอบคำถามของนางไป๋รั่วก็กล่าวอย่างเย็นชาขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นลูกของผู้ใด แต่เจ้ารังแกโอรสของข้า เจ้าก็ต้องคุกเข่า และขออภัยโอรสของข้า !”
ในความคิดของไป๋รั่วการให้ไป๋เสี่ยวเฉินคุกเข่าขอโทษเป็นการกระทำที่เมตตาที่สุดเท่าที่นางสามารถทำได้แล้ว
ทว่านางจะให้อภัยเด็กน่ารังเกียจคนนี้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง….
“เจ้าคือหญิงชั่วร้ายที่สุดของบ้านสกุลไป๋”ไป๋เสี่ยวเฉินยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวมี่ “เจ้าจำใบหน้าของหญิงชั่วช้าผู้นี้ได้มั้ย ? นางช่างน่าเกลียดน่ากลัว น่าจะจำได้ง่ายนะ ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าองค์รัชทายาทตาบอดหรือไร ถึงเลือกแต่งงานกับหญิงสารพิษนี่ !”
“เจ้า…”ไป๋รั่วชี้หน้าไป๋เสี่ยวเฉิน แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ
”หม่ามี้ของข้าบอกว่าคนที่ทำเรื่องไม่ดีมักจะคันทั่วทั้งตัว ทั้งยังคันตลอดเวลา ข้าเห็นท่านทำหลังยุกยิก ๆ สงสัยว่าท่านคงจะคันมากแต่ไม่กล้าเกาใช่มั้ย ?”
”เจ้า… ” ใบหน้าของไป๋รั่วเปลี่ยนไปทันที นางเบิ่งตากว้างอย่างแค้นเคือง “เจ้าเป็นบุตรชายของไป๋หยานใช่หรือไม่ ?”
นางสงสัยมานานแล้วว่านางน่าที่จะถูกไป๋หยานใช้เล่ห์กลอะไรบางอย่างยิ่งเด็กคนนี้กล่าวออกมาแบบนี้ นางก็ยิ่งมั่นใจว่าที่นางต้องคันไปทั่วทั้งตัวเช่นนี้ ต้องเกิดจากไป๋หยานอย่างแน่นอน และมีแต่ไป๋หยานเท่านั้นที่จะแก้ไขได้
แม้ว่าพระสวามีของนางจะได้เชิญหมอปรุงยามาตรวจอาการของนางทว่าที่นางได้รับก็แค่ยาบรรเทาอาการคันเท่านั้น ! เรื่องนี้ทำให้นางเจ็บปวดมาก
เพราะฤทธิ์ของยาพวกนั้นเพียงทำให้นางเกิดอาการชาหากแต่ไม่สามารถแก้อาการคันได้อย่างถาวร เมื่อหมดฤทธิ์ยา นางก็จะกลับมาคันอย่างรุนแรงอีกครั้ง
”ผู้ใดก็ได้จับตัวเด็กไม่มีสกุลรุนชาตินั่นให้ข้าที!”
เด็กที่ถือกำเนิดโดยชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าย่อมเป็นเด็กไม่มีสกุลรุ่นชาติ
นางไม่มีทางเชื่อว่าเด็กน่ารังเกียจนี่จะเป็นบุตรชายของอ๋องคัง !
”พ่ะย่ะค่ะพระชายา !”
บทที่ 137 : โจรฟ้องโจร (2)
ทหารองครักษ์รับคำด้วยความเคารพนบนอบจากนั้นพวกเขาก็รีบวิ่งตรงเข้าหาเด็กชาย
ทว่าในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าถึงตัวไป๋เสี่ยวเฉินนั้นจู่ ๆ เสียงตะโกนกึกก้องก็ดังลอยมา “พระชายา เฉินเอ๋อเป็นแขกของข้า ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้องเขา ? ”
ไป๋รั่วหน้าเปลี่ยนสี
ยายแก่คนนี้มาทำอะไรที่นี่?
นางเม้มริมฝีปากแน่นขณะจ้องมองผู้ที่กำลังปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ครั้นเห็นไป๋หยานเดินมาข้าง ๆ ไทเฮา สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ตอนนี้นางไม่มีแม่สามีคอยให้การสนับสนุนแล้วนางจำเป็นต้องพึ่งพาใบบุญของพระสวามี และพระโอรสของนางเท่านั้น
”หม่อมฉันถวายพระพรไทเฮา”
ไป๋รั่วถอนสายตาที่จ้องมองไป๋หยานก่อนจะย่อกายเล็กน้อยถวายบังคมไทเฮา
”พระชายาเจ้าเห็นว่าข้าแก่แล้วใช่หรือไม่ ? เจ้าถึงกล้าออกคำสั่งที่ตำหนักในนี่”
ไทเฮาเปล่งสุรเสียงแหลมบ่งบอกให้เห็นถึงความไม่พอพระทัยกับพฤติกรรมของไป๋รั่วอย่างชัดเจน
”หามิได้เพคะไทเฮา” นางรีบลากตัวอันธพาลน้อยออกมาจากด้านหลัง “เป็นเพราะบุตรชายของไป๋หยานให้แมวของเขาข่วนโอรสของหม่อมฉันก่อน ในฐานะมารดา หม่อมฉันจะทนอยู่เฉยได้อย่างไร โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ไทเฮาทอดพระเนตรรอยขีดข่วนบนตัวของเด็กน้อยพร้อมกับขมวดพระขนง
”เฉินเอ๋อ”ไป๋หยานรู้จักนิสัยของบุตรชายดี นางหันไปทางไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามว่า “บอกแม่สิว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
”หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินทำปากจู๋ “หลานฮ่องเต้คนนี้ตะคอกใส่เฉินเอ๋อ เรียกเฉินเอ๋อว่าเด็กน่ารังเกียจก่อน เขาขู่ว่าจะทุบตีเฉินเอ๋อด้วย เพื่อปกป้องเฉินเอ๋อเสี่ยวมี่ก็เลยข่วนเขา”
สีหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันทีนางกวาดสายตาไปทางไป๋รั่ว “ทุบตีบุตรชายของข้ากระนั้นหรือ ? ข้าไม่เคยแตะต้องเขาแม้ปลายเล็บ บุตรชายของเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงจะมาทุบตีบุตรชายข้า ?”
“เจ้า…”ไป๋รั่วกัดริมฝีปาก นางหันไปหาไทเฮา พร้อมกับแสดงออกอย่างน่าสงสาร “ไทเฮา แม้ว่าโอรสของหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หม่อมฉันรู้ดีว่า อีกฝ่ายจะต้องยั่วยุเขา โอรสของหม่อมฉันไม่ใช่เด็กที่จะตะคอกผู้ใดโดยไร้เหตุผล ขอไทเฮาโปรดให้ความเป็นธรรมกับหลินเอ๋อด้วย”
เมื่ออันธพาลตัวน้อยได้ยินเขาก็เงยหน้ากลม ๆ ขึ้นอย่างจองหอง ใบหน้าของเขายังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “ใช่แล้ว เป็นเพราะเด็กน่ารังเกียจนี่ยั่วยุข้าก่อน ทั้งยังให้แมวของเขาข่วนข้า ข้าก็เลยโมโหจึงตะคอกใส่เขา”
ไป๋รั่วลอบยิ้มนางหลุบตาซ่อนประกายที่เย็นเยียบในแววตา
ไป๋หยานมาถึงตอนนี้ ข้าจะดูสิว่าไทเฮาจะปกป้องเจ้าได้อย่างไร ?
ไทเฮาขมวดพระขนงนางรู้นิสัยเหลนชายอันธพาลของนางผู้นี้เป็นอย่างดี เขาชอบข่มขู่ทุบตีผู้อื่น นางรู้ทุกอย่าง ทว่าเพราะนางชราแล้ว นางจึงคร้านจะใส่ใจ ปล่อยเขาไปตามเรื่องตามราว
”เฉินเอ๋อบอกยายทวดสิว่า เหตุใดแมวน้อยของเจ้าถึงทำร้ายเขา ?” สุรเสียงของไทเฮาอ่อนลง ขณะมีรับสั่งถาม
สีหน้าของไป๋รั่วเปลี่ยนเป็นเขียวทันทีนี่ขนาดบุตรชายของนางบอกเหตุผลไปแล้ว ยาแก่นี่ก็ยังไม่ไว้หน้าเขาอีก ทั้งยังให้เด็กชั่วนั่นเรียกตนเองว่ายายทวดอีก !
“เขาเตะหนานกงซุ่นเฉินเอ๋อเป็นห่วงหนานกงซุ่น ก็เลยให้เสี่ยวมี่กระโจนใส่เขา” หลังจากกล่าวจบ ไป๋เสี่ยวเฉินก็เดินเข้าไปหาหนานกงซุ่น พร้อมกับยกแขนของหนานกงซุ่นที่เต็มไปด้วยบาดแผลให้ดู ยามนี้สีหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เสด็จยายทวดไทเฮา ดูนี่สิ หนานกงซุ่นได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ก็เพราะพวกเขา”
ไทเฮาทอดพระเนตรรอยแผลบนแขนของหนานกงซุ่นแล้วนางก็นิ่งอึ้ง นางรีบสาวพระบาทไปประทับยืนข้าง ๆ เด็กน้อย
”เสี่ยวเหม่ยมานี่ รีบมาดูบาดแผลของเขาซิ”
ครั้นไทเฮามีรับสั่งแม่นมชราที่ชื่อเสี่ยวเหม่ยก็รีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางเปิดเสื้อคลุมผ้ากระสอบของหนานกงซุ่นออก เผยให้เห็นร่องรอยของบาดแผลแทบทุกตารางนิ้ว
”ทูลไทเฮาบาดแผลขององค์ชายน้อยหลายแห่งเป็นแผลเก่า ยากที่จะระบุว่าได้รับมานานเพียงใด ทว่าก็มีบางแห่งที่ยังเป็นแผลเปิด รอยแผลยังใหม่ ทั้งมีรอยช้ำเขียวที่บริเวณหน้าอกคาดว่าน่าที่จะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี่”
บทที่ 138 : ไทเฮาทรงกริ้ว (1)
“เด็กน้อย”ไทเฮาทอดพระเนตรใบหน้าเล็ก ๆ ที่แลดูดื้อรั้น พร้อมกับตรัสถามอย่างปวดร้าวพระทัย “ไหนบอกยายสิ เจ้าเป็นโอรสขององค์ชายใด ?
หนานกงซุ่นนิ่งอึ้งแต่ครั้นเห็นว่าไทเฮาเป็นห่วงเขาจริง ๆ เขาก็ยอมเปิดปาก
”ท่านแม่ของข้าเป็นนางกำนัลในวังนางเสียชีวิตไปแล้ว”
”ถ้าเช่นนั้นผู้ใดทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้หรือ?”
ทันทีที่ไทเฮาทรงมีพระดำริว่ามีคนกระทำสิ่งโหดร้ายเช่นนี้กับเด็กเล็กๆ พระทัยของนางก็เดือดพล่านด้วยความกริ้ว
ครั้นหนานกงซุ่นได้ยินคำถามเขาก็เผลอหันไปมองอันธพาลน้อย จากนั้นก็หลุบตาต่ำ “บางแผลก็มาจากองค์ชาย และองค์
หญิงบางแผลก็มาจากพระมารดาขององค์ชายองค์หญิงเหล่านั้น บางแผลก็มาจากขันที ซึ่งชอบรังแกข้า เพราะข้าตัวคนเดียวไม่มีใคร….”
”เสี่ยวเหม่ย”สีพระพักตร์ของไทเฮาเคร่งเครียดขึ้นทันที นางมีรับสั่งสุรเสียงเข้ม “ไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด ข้าอยากรู้ว่าขันทีคนไหนกล้าทำร้ายองค์ชายน้อย ! ลากตัวพวกเขามาให้ข้า !”
อย่างไรเสียเด็กน้อยผู้นี้ก็เป็นสายเลือดโดยตรงของราชวงศ์ตัวนางเองอาจไม่เคยรู้ว่าเด็กผู้นี้มีตัวตนมาก่อน ทว่าเมื่อรู้แล้ว นางก็จะไม่ปล่อยให้ขันทีมารังแกองค์ชายน้อยผู้นี้อีก !
”เพคะไทเฮา”
แม่นมชราย่อกายรับพระเสาวนีย์ก่อนจะถอยหลบไป
ครั้นนางกำนัลคนสนิทจากไปแล้วพระเนตรที่เต็มไปด้วยความกริ้วของไทเฮาก็กวาดมาทางอันธพาลน้อย
”ข้าเคยคิดว่าอย่างมากเจ้าก็แค่รังแก และสร้างปัญหาเล็ก ๆ น้อยให้ผู้อื่น ไม่คาดคิดเลยว่า เจ้าจะทุบตีผู้อื่นเช่นนี้ ! พระชายา เจ้าช่างอบรมสั่งสอนโอรสได้ดีจริง ๆ ! เขากล้าทำร้ายกระทั่งพระบิตุลา(อา)ของตนเอง ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก !”
สีหน้าของไป๋รั่วเปลี่ยนเป็นซีดขาวนางรีบดึงโอรสของนางก้มลงคุกเข่าพร้อมกับนาง “ไทเฮา ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ ๆ หลินเอ๋ออาจจะดื้อรั้นไปบ้าง ทว่าเขาเป็นเด็กจิตใจดี เขาไม่เคยทำร้ายเด็กคนอื่น”
“เจ้าหมายความว่าซุ่นเอ๋อโกหกใช่หรือไม่ ?” พระพักตร์ของไทเฮายิ่งแลดูดุดันด้วยความพิโรธ
ไป๋รั่วพยายามดึงแขนเสื้อพระโอรสเพื่อให้เขาช่วยแก้ต่าง
หากแต่ผู้ใดจะรู้ว่าอันธพาลตัวน้อยจะสะบัดมือของไป๋รั่วออกจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว “ข้าไม่ผิด ! แม่ของมันก็แค่นางกำนัลกระจอก ๆ มันก็เป็นทาสของข้า ! เหตุใดข้าจึงตีมันไม่ได้ ? ข้าไม่เคยมีอาเช่นนี้ !”
“หลินเอ๋อ!”
ไป๋รั่วนิ่งอึ้งด้วยความหวาดกลัวหลังจากนางได้สติ นางก็พยายามใช้มือปิดปากอันธพาลตัวน้อย หน้าผากของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
”ไทเฮาทรงพระเมตตาด้วย” ไป๋รั่วโขกศีรษะคำนับหลังจากหยุดปากโอรสของนางได้แล้ว “เป็นเพราะหม่อมฉันสั่งสอนอบรมพระโอรสได้ไม่ดีพอ ขอทรงโปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วย”
“เจ้าก็รู้ตัวด้วยหรือว่าอบรมสั่งสอนเขาไม่ดีพอ?” ไทเฮาตรัสเยาะ “ดูเฉินเอ๋อสิ เขาก็มีอายุห้าขวบเท่ากับโอรสของเจ้า ทว่าเหตุใดพฤติกรรมของเขา ทัศนคติของเขาถึงได้แตกต่างกับโอรสของเจ้าราวฟ้ากับดิน”
ริมฝีปากของไป๋รั่วสั่นระริกใบหน้าของนางแลดูน่าเกลียด
เพราะโอรสของนางเป็นความภาคภูมิใจของนางเสมอมา
แต่ยายแก่ไทเฮานี่กลับบอกว่าบุตรชายของนางด้อยกว่าบุตรชายของไป๋หยานได้อย่างไร?
”หลินเอ๋อรีบขอประทานอภัยซะ”
ไป๋รั่วกลืนความโกรธแค้นและความขัดข้องหมองใจไว้ นางตวาดเสียงต่ำ ๆ ว่า “บอกเสด็จยายทวดสิว่าจากนี้ไปเจ้าจะไม่ทุบตีผู้ใดอีก”
”ข้าไม่ขอโทษ!” อันธพาลตัวน้อยเชิดริมฝีปาก เขามองไปที่ไป๋เสี่ยวเฉินกับหนานกงซุ่นพร้อมคำรามออกมา “วังหลวงแห่งนี้เป็นของข้า อาณาจักรทั้งหมดก็เป็นของข้า ที่สุดโลกทั้งโลกก็จะเป็นของข้าเช่นกัน ข้าเกิดมาภายใต้การกราบกรานจากเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เจ้าเด็กน้อยสองคนนี้ต่างหากที่ต้องขอโทษข้า นางแม่มดเฒ่า เจ้ามันจุ้นจ้านเป็นที่สุด หากข้าโตขึ้นข้าจะไล่เจ้าออกจากวังนี้ ! ”
”เจ้า… ” พระวรกายไทเฮาสั่นด้วยความพิโรธ นางหายพระทัยขัด แทบจะประชวรพระวาโย
บทที่ 139 : ไทเฮาทรงกริ้ว (2)
”เสด็จยายทวดไทเฮาท่านเป็นอะไร ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาไทเฮา เขาใช้มือตบหลังหญิงชรา เพื่อช่วยให้หญิงชราหายใจได้ราบรื่นขึ้น นัยน์ตากลมโตของเขาแลดูราวกับจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
”หม่ามี้บอกว่าอย่าโกรธคนที่ไม่ควรค่าที่จะให้โกรธ”
ช่างเป็นเด็กที่ดีจริงๆ
ไทเฮาทอดถอนพระทัยนี่หากนางย้อนกลับไปบังคับให้หลานเยี่ยสมรสกับฮ่องเต้ได้ บางทีเด็กแสนดี และน่ารักผู้นี้ก็อาจเป็นเหลนชายที่ดีของนางแทน
”รั่วเอ๋อ!” ทันใดนั้นเองเสียงร้องประหลาดใจก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
หลังจากได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยนี้คิ้วของไป๋หยานก็ค่อย ๆ เลิกสูงขึ้น เรียกว่าพบศัตรูบนทางแคบใช่มั้ยเนี่ย ? (ประมาณโลกมันแคบ)
“รั่วเอ๋อเจ้านั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น พื้นนั่นทั้งแข็งทั้งเย็นนะ” หนานกงอี้ก้าวเข้ามายืนข้างไป๋รั่ว พร้อมกับช่วยพยุงนางลุกขึ้น
จากนั้นเขาก็เหลือบมองไป๋หยานด้วยสายตาเคร่งขรึม”ไป๋หยาน เจ้าเล่นอะไรอยู่ ?”
ไป๋หยานยกยิ้มเย้ยหยัน”ท่านควรถามโอรสที่รักของท่านมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
หนานกงอี้ขมวดคิ้วจนเป็นปมในฐานะบิดา เขาจะไม่รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของโอรสของตนได้อย่างไร ? อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยว่ากล่าวหลินเอ๋อยามทำสิ่งผิด
เพราะหลินเอ๋อของเขาจะต้องเป็นผู้ปกครองที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ของแผ่นดินนี้ไม่ช้าก็เร็วเช่นนั้นเขาจึงต้องสอนให้โอรสรู้จักใช้อำนาจตั้งแต่ยังเยาว์ อย่างไรก็ตามเขามักเตือนหลินเอ๋อเสมอว่าให้ใช้อำนาจแค่เพียงในวัง เพราะหากออกไปสร้างปัญหานอกวัง จะเป็นการทำให้ราชวงศ์ต้องเสียหน้า ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง…
“เสด็จย่า”หนานกงอี้จ้องมองไป๋หยานอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันกลับไปมองไทเฮา “หลินเอ๋อ อย่างไรเสียก็เป็นเหลนแท้ ๆ ของพระองค์ เหตุใดพระองค์ถึงช่วยคนนอกรังแกเขา ?”
“ฝ่าบาท”ไป๋รั่วเอนซบต้นแขนของสวามีนางอย่างรวดเร็ว พร้อมแสดงทีท่าน่าสงสาร “ไป๋หยาน ให้แมวของลูกชายนางข่วนลูกของเรา”
ใบหน้าของหนานกงอี้แลดูเคร่งขรึมเขากำหมัดแน่น ขณะหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินผู้ซึ่งกำลังอุ้มแมวน้อยอยู่
ไป๋เสี่ยวเฉินส่งสายตายั่วยุยิ่งทำให้หนานกงอี้โกรธเกรี้ยว เขาตะโกนขึ้นด้วยความโมโห “ผู้ใดก็ได้ มาเอาตัวเด็กสารเลวนี่ออกไปที !”
“บังอาจ!”
”เจ้ากล้าดียังไง!” (ไทเฮา)
”เจ้ากล้าดียังไง!” (ไป๋หยาน)
เสียงของสตรีทั้งสองดังขึ้นพร้อมๆ กัน สุรสียงของไทเฮานั้นเต็มไปด้วยความกริ้ว ส่วนเสียงของไป๋หยานนั้นเจือเจตนาสังหาร
”หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินถลาเข้าหาอ้อมกอดของมารดา พลางกล่าวว่า “ท่านปู่คนนี้ดุร้ายจัง เฉินเอ๋อกลัว”
แม้ว่าเขาจะกล่าวออกมาเช่นนั้นทว่านัยน์ตาของเขากลับสดใส ยามนี้เขาซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของมารดา พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
”เจ้าเรียกข้าว่ากระไรนะ?” ใบหน้าของหนานกงอี้ดูแทบไม่ได้ เจ้าเด็กคนนี้เรียกเขาว่าท่านปู่ได้อย่างไร ?
เขาแก่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
“หม่ามี้ท่านปู่คนนี้ต้องถึงวัยทองแล้วเป็นแน่ อารมณ์ถึงได้ร้ายแบบนี้ เขาดูร้ายกาจกว่าป๊ะป๋าซะอีก โชคดีที่ครั้งนั้นหม่ามี้ไม่ได้แต่งงานกับเขา เพราะเฉินเอ๋อคิดว่าป๊ะป๋าหล่อกว่ามากเลย”
ดูเหมือนว่าไป๋เสี่ยวเฉินยังไม่ถูกใจถ้อยคำที่เขาเอ่ยกล่าวออกมาสักเท่าใดนักเขาเลยเพิ่มไปอีกประโยคว่า “แต่ยังไง พ่อบุญธรรมก็อ่อนโยนที่สุด”
”พวกเจ้ามัวยืนเฉยอยู่ไย? รีบจับเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นมาสิ !” หนานกงอี้กราดเกรี้ยว
เด็กไม่มีสกุลรุนชาติกล้าดียังไงมารังแกโอรสของข้า !
เหล่าทหารองครักษ์ต่างหันมองหน้ากันด้วยความลังเลทว่าท้ายที่สุด พวกเขาก็ก้าวออกมาข้างหน้า
ช่วงเวลานั้นพระพักตร์ไทเฮาก็ดำคล้ำด้วยความกริ้วจัด นางไม่คาดคิดว่าหลายปีที่ผ่านมานี่ อำนาจของนางจะอ่อนแอ กระทั่งแม้แต่องครักษ์ก็ยังไม่เชื่อฟังคำสั่ง
ขณะเดียวกันหนานกงซุ่นก็ดึงแขนเสื้อของไป๋หยานพลางกระซิบว่า“ข้าขอโทษ…”
เขาเป็นผู้ดึงนางให้มาพบเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
ทว่าไป๋หยานไม่ได้ยินถ้อยคำของหนานกงซุ่นนางจ้องมองทหารองครักษ์ที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ นัยน์ตาของนางหรี่ลง น้ำเสียงของนางเย็นเยียบและบาดลึก “หากใครกล้าก้าวเข้ามาอีก ข้าจะสังหารอย่างไร้ปรานี !”
บทที่ 140 : ปลาบปลื้ม
กระแสลมแรงพัดกระหน่ำ
ท่ามกลางกระแสลมแรงที่พัดโหมกระหน่ำร่างในอาภรณ์แดงเจิดจ้างดงามหาใดเปรียบ นางอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แววตาของนางเต็มไปด้วยอำนาจที่พร้อมจะคุกคามทุกผู้คน
แรงกดดันจากนางนั้นช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งแม้แต่รัชทายาทหนานกงอี้ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
เขาไม่เคยพบเห็นสตรีใดที่มีพลังน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย
หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาละเลยนางมากเกินไปจริงๆ ?
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ หลังมือของเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบ สติของเขาคืนมาอีกครั้ง เขาก้มลงดูจึงพบว่าเล็บของไป๋รั่วจิกหลังมือเขาแน่น กระทั่งเขาอดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว “รั่วเอ๋อ…”
ไป๋รั่วรู้สึกตัวนางรีบปล่อยมือ นางกัดริมฝีปากตนเองจนซีด “ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท รั่วเอ๋อรู้สึกตกใจกลัวพี่ใหญ่….”
เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาทเหม่อมองไป๋หยานด้วยสายตาปลาบปลื้ม เขาไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย
หากนางไม่หยิกองค์รัชทายาทเขาก็คงยังไม่รู้สึกตัวเป็นแน่ !
ไป๋รั่วหลุบตาต่ำรอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากนาง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยแววสังหาร
นางรู้สึกเสียใจเหลือเกินเหตุใดนางถึงไม่สังหารหญิงผู้นี้ให้ตาย ๆ ไปเสียตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนโน้น !
”ฮ่องเต้เสด็จ !”
ฉับพลันเสียงแหลมเล็กก็ดังแทรกมาในอากาศทำให้ทหารองครักษ์ผู้ซึ่งกำลังหวาดกลัวกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ปัง!
ร่างของทหารองครักษ์ร่วงทรุดลงกองกับพื้นหน้าอกของเขาทะลุเป็นรูโหว่ โลหิตพุ่งทะลักจากบาดแผลบนหน้าอกนั้นราวกับน้ำพุ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีผู้ใดเห็นไป๋หยานขยับกายเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
มิใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงพลังโดยไม่แม้แต่จะขยับมือ หรือเป็นได้ว่าไป๋หยานมิใช่คนไร้ประโยชน์เช่นที่พวกเขาคิด ?
”ป๊ะป๋า!”
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินเห็นชายในอาภรณ์สีม่วงเดินเคียงข้างหนานกงหยวนตรงเข้ามานัยน์ตาจิ้งจอกกลมโตพลันเปล่งประกายแวววาว เด็กน้อยลงจากอ้อมแขนของมารดารีบวิ่งเข้าไปหาตี้คัง ร่างเล็ก ๆ ของเด็กน้อยปะทะร่างของชายหนุ่มอย่างแรง
ในใจของตี้คังรู้สึกปลาบปลื้มที่สุดเด็กน้อยผู้นี้ก็ยอมรับข้าแล้วใช่หรือไม่ ?
”ป๊ะป๋าสุดหล่อมีคนรังแกเฉินเอ๋อ”
”ผู้ใดกัน?”
ยังมิทันที่ตี้คังจะได้แสดงอารมณ์ปลาบปลื้มสีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำเศร้า ๆ ของเด็กน้อย
ไป๋เสี่ยวเฉินเบ้ปากราวกับจะร้องไห้”เมื่อครู่ เฉินเอ๋อเห็นอันธพาลน้อยคนนั้นรังแกหนานกงซุ่นในวังหลัง เช่นนั้นเฉินเอ๋อจึงช่วยเหลือหนานกงซุ่น ต่อมาบิดาของอันธพาลน้อยมาถึง เขาสั่งคนจับตัวเฉินเอ๋อ หากเขาจับเฉินเอ๋อได้ เฉินเอ๋อก็คงจะไม่ได้พบป๊ะป๋าอีก แล้วก็คงต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเขาด้วย !”
”อ้อ! ใช่แล้ว อันธพาลน้อยนั่นยังบอกด้วยว่า เขาเป็นคนที่สูงส่งที่สุดในโลกนี้ แม้แต่ป๊าป๋าหรือพ่อบุญธรรมก็ไม่อาจเทียบเขาได้ เขาจะฆ่าล้างตระกูลเราอีกด้วย”
หลังจากกล่าวจบไป๋เสี่ยวเฉินก็ไม่ลืมที่จะแสดงสีหน้ายั่วยุอันธพาลตัวน้อยนั่นอีก
เจ้าคิดว่าเจ้ามีพ่อคนเดียวหรือไง? ข้าก็มีพ่อแล้วก็มีตั้งสองคนด้วย และต่อให้มีหม่ามี้คนเดียว แม่ข้าก็สามารถรับมือศัตรูได้เป็นล้านคนแล้ว เชอะ ! …
ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากยอมรับบิดาใจร้ายตรงหน้าคนนี้ก็ตามทีเถอะ
ใบหน้าของตี้คังแลดูดำมืดทั้งน่าสยองขวัญต่อผู้พบเห็น สายตาของเขาจับจ้องมองหนานกงหลิน
หนานกงหลินหวาดกลัวสายตาของตี้คังอย่างยิ่งเขาซุกกายเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋รั่วพลางร้องว่า “เสด็จแม่ ชายผู้นั้นน่ากลัวมาก …. เสด็จแม่ให้เสด็จพ่อ…อุ๊บ !”
สีหน้าของไป๋รั่วซีดเผือดนางเกรงว่าบุตรชายจะพูดอะไรนำภัยมาสู่ตนอีก นางจึงรีบปิดปากเขาแน่นเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาเพิ่มขึ้น
”ก็แค่คำพูดของเด็กอย่าได้ถือสาเลย”หนานกงหยวนกระแอม ก่อนจะกล่าว เขาพยายามที่จะยุติปัญหาทุกอย่าง ก่อนที่จะเกินรับมือ”อ๋องคัง หลินเอ๋อยังเด็ก เด็ก ๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา”
”ไม่ต่อให้เป็นเด็กก็ใช่ว่าจะอภัยให้ง่าย ๆ !”