จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 141-145
บทที่ 141 : ผู้บริสุทธิ์ ตี้คัง
ยังมิทันจะมีผู้ใดกล่าวคำนางกำนัลก็ช่วยพยุงไทเฮาก้าวออกมา
พระพักตร์ไทเฮาสั่นระริกด้วยความพิโรธอย่างรุนแรงพระวรกายของพระนางสั่นเทิ้ม แม้จะมีนางกำนัลคอยช่วยพยุงตลอดเวลาก็ตามที
”เสด็จแม่เหตุใดพระองค์จึงอยู่ที่นี่ ?” หนานกงหยวนตรัสถามด้วยความประหลาดพระทัย
พระพักตร์ของไทเฮาแลดูเคร่งเครียด”ตอนนี้ หม่อมฉันไม่สนใจเรื่องที่สรรพสัตว์ทั้งหลายนอบน้อมแสดงความเคารพ หรือเรื่องการเป็นพระนัดดาฮ่องเต้ ทว่าฝ่าบาทต้องลงโทษเด็กคนนี้ วันนี้เขากล้าดีทุบตีพระบิตุลา(อา)ของตนเอง ทั้งยังกล้าชี้หน้าด่าหม่อมฉันว่าเป็นแม่มดเฒ่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่าเขาจะขับหม่อมฉันออกจากวัง ! ”
”และพระโอรสของฝ่าบาทยังเพิกเฉยต่อคำสั่งของหม่อมฉันเขาสั่งให้องครักษ์จับตัวไป๋หยาน และบุตรชายของนาง ! ฝ่าบาทต้องทรงจัดการให้หม่อมฉัน !”
พระพักตร์ของหนานกงหยวนแปรเปลี่ยนทันทีเขาหันไปหาหลานชายพร้อมกับตะคอก “มาขอพระราชทานอภัย พระปัยยิกา(ย่าทวด)ของเจ้าเดี๋ยวนี้ !”
”ไม่!”
”ขอพระราชทานอภัยเดี๋ยวนี้!” สุรเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นไปสองสามคีย์ เป็นสัญญาณว่าพระอารมณ์ของพระองค์เริ่มคุกรุ่น
ในฐานะลูกกตัญญูเขาไม่อนุญาตให้ผู้ใดชี้หน้าพระมารดาของตน ! ทว่าเด็กคนนี้เกิดด้วยฐานะพิเศษ ทำให้เขาไม่สามารถลงโทษได้
อย่างไรเสียหนานกงหลินก็ยังเกรงกลัวพระอัยกา(ปู่)ของตนนัยน์ตาของเขาแดงก่ำขณะกล่าวคำ “หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยพระปัยยิกาพ่ะย่ะค่ะ …”
”ผู้ที่เจ้าควรขอโทษมิใช่มีเพียงข้านอกจากนี้ ความผิดของเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก เพียงคำขอโทษยังมิเพียงพอ !”
พระพักตร์ของไทเฮานั้นยังคงดุดันพระนางลากตัวหนานกงซุ่นออกมายืนข้างหน้าจากนั้นก็เปิดเสื้อเขาอีกครั้ง
”ดูนี่สิฝ่าบาทเป็นบิดาภาษาอะไรกัน ? ไม่ใส่พระทัยความเป็นอยู่ของโอรสตนเอง ? ดูสิว่าเขาต้องทนทุกข์ทรมานเพียงไร ? หากฝ่าบาทไม่สนพระทัยเขาหม่อมฉันจะดูแลเขาเอง ! นับจากนี้ไปหม่อมฉันจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้เอง ! ”
หนานกงหยวนทอดพระเนตรบาดแผลของหนานกงซุ่นทว่าก็เพียงขมวดพระขนง เพราะมิได้รู้สึกอะไรนัก
ด้วยเหตุที่ฮ่องเต้มีพระโอรสมากมายหลายคนทั้งเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็กที่เกิดจากความพลาดไม่มีค่าใดเลย
ไป๋หยานมองสีหน้าของหนานกงหยวนนับแต่ต้นจนจบนางกระจ่างแจ้งในความคิดของเขา นางจึงอดมิได้ที่จะเย้ยหยัน
“ช่างเป็นราชสกุลที่ไร้หัวใจอย่างแท้จริง”
”เสด็จแม่ในเมื่อหลินเอ๋อก็รู้ความผิดของตนเองแล้ว เช่นนั้นก็จ่ายค่าทำขวัญให้เด็กนั่น ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
“ข้าไม่ต้องการค่าทำขวัญ!” หนานกงซุ่นเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น “หากเขาทำผิดเขาก็ควรต้องชดใช้”
พระพักตร์ของหนานกงหยวนแลดูไม่ดีนักเขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าเสนอหน้าปฏิเสธ
ทว่าในขณะที่เขาอ้าปากกำลังจะเกลี้ยกล่อมเด็กน้ำเสียงเย็นชากระหายเลือดก็ดังขึ้น ทำให้หนานกงหยวนวรองค์แข็งค้างทันที
”ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าจะปล่อยเขาไป?”
หนานกงหยวนหันศีรษะไปทางตี้คังทั้งที่ยังมีอาการแข็งๆ อยู่ พร้อมกับฝืนยิ้ม “อ๋องคัง หลินเอ๋อยังเป็นเพียงเด็กน้อย”
”เช่นนั้นบุตรชายของข้าเป็นผู้ใหญ่แล้วงั้นสิ?”
”หากแต่เมื่อครู่… คุณหนูไป๋ก็ทำร้ายทหารองครักษ์กระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นก็ถือว่าให้แล้วกันไปเถอะ”
”นั่นเป็นเพราะพวกเขาสมควรโดนแล้ว!”
น้ำเสียงของตี้คังเย็นยะเยือกนัยน์ตาเรียวคมของเขาจับจ้องไป๋หยานขณะกล่าวว่า “หยานหยาน มาอยู่ข้าง ๆ ข้า วันนี้ข้าอยากจะเห็นนักว่าผู้ใดจะกล้าแตะต้องภรรยาและลูกของข้า ! ”
ไป๋หยานก้าวย่างอย่างแช่มช้าไปยืนข้างๆ ตี้คัง พลางกระซิบว่า “ที่จริง ท่านไม่ต้องช่วยอะไรก็ได้ ข้ารับมือได้”
”หากเจ้ารับมือทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวเช่นนั้นจะให้ข้าทำอะไรล่ะ ?”
ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถจัดการได้ทุกสิ่งทว่าก็เป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องปกป้องภรรยาและลูกชาย
ไป๋หยานได้แต่อึกอักกล่าวคำใดไม่ออก
เหตุใดชายผู้นี้ต้องออกอาการหงุดหงิดทุกครั้งที่กล่าวคำ!
แต่ถึงกระนั้นนางก็เข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านั้น…
”ตี้คัง!” ทันใดนั้นเอง ไป๋หยานก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ นางคว้าสาบเสื้อของเขาเอ่ยกล่าวว่า “ข้าบอกท่านแล้วไง ว่าไม่ให้บอกผู้ใดเรื่องเฉินเอ๋อเป็นบุตรชายของท่าน ! ท่านไม่เข้าใจหรือไร ?”
บทที่ 142 : การลงโทษ (1)
ตี้คังยิ้มมุมปากเขารีบโอบเอวไป๋หยานเข้าสู่อ้อมกอดทันที
”เฉินเอ๋อเป็นคนวิ่งเข้ามาหาข้าก่อนนะอีกทั้งยังเรียกข้าว่าป๊ะป๋าด้วย”
ไป๋หยานรู้สึกละอายขึ้นมาทันทีเพราะเมื่อครู่บุตรชายของนางเป็นผู้ที่วิ่งเข้าไปหาเขา อีกทั้งยังเรียกเขาเช่นนั้นจริง ๆ
”ไป๋หยาน!” ตี้คังหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาลุ่มลึก ขณะเดียวกันก็น่าหวาดหวั่น “น่าอายนักหรือที่ข้าเป็นบิดาของเฉินเอ๋อ ?”
ไป๋หยานเบือนหน้าหนีอย่างไม่ตั้งใจนางหลบสายตาคุกคามของตี้คัง
”หลังจากที่ข้าชำระแค้นให้เฉินเอ๋อเรียบร้อยเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ครั้นกล่าวถึงประโยคสุดท้ายตี้คังก็เน้นเสียง ราวกับเขากำลังกัดฟันพูด
”อ๋องคังท่านต้องการลงโทษหลินเอ๋อเช่นไร ?”
ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยดีว่าหากวันนี้หนานกงหลินไม่ถูกลงโทษ ตี้คังก็คงไม่มีวันเลิกรา
”ประหาร!”
คำง่ายๆ เพียงสองคำ ทว่าก็เพียงพอที่จะทำให้ราชวงศ์ทุกคนตัวสั่นสะท้าน
ไป๋รั่วรีบตะโกนขึ้นทันทีว่า”แม้ว่าเรื่องนี้หลินเอ๋อจะเป็นผู้เริ่ม ทว่าโทษก็ไม่ควรถึงกับประหารชีวิต หลินเอ๋อเป็นพระนัดดาของฮ่องเต้ ! ท่านจะโอหังมากเกินไปแล้วอ๋องคัง !”
ตี้คังมองไป๋รั่วด้วยสายตาเย็นเยียบ
ยามนี้หน้าผากไป๋รั่วเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นใบหน้าสวย ๆ ของนางขาวซีด นางกัดริมฝีปาก ขาของนางเหมือนจะไม่อาจควบคุม มันทรุดลงคุกเข่ากับพื้น
“นังหญิงชั้นต่ำผู้ใดอนุญาตให้เจ้ายืนพูดกับข้า ?”
หญิงชั้นต่ำ?
ไป๋รั่วกำหมัดแน่นนางเป็นถึงพระชายา อีกไม่นานก็จะต้องเป็นฮองเฮา เรียกนางว่าหญิงชั้นต่ำได้อย่างไร ?
นางมองหญิงสาวในอ้อมแขนของตี้คังแล้วนัยน์ตาของนางพลันแดงก่ำด้วยความอิจฉาริษยา
”อ๋องคัง… เราทำโทษโบยหลินเอ๋อสักห้าไม้พอหรือไม่ ?” หนานกงหยวนขมวดพระขนง
เขาอาจยอมปลดฮองเฮาของตนเองตามความต้องการของตี้คังได้หากแต่หลานคนนี้ของเขาแตกต่างกัน หลานของเขาเป็นความหวังของอาณาจักรนี้ จะอย่างไรเสียเด็กน้อยก็จะตายไม่ได้
ตี้คังกวาดสายตามองผ่านหนานกงหยวนอย่างเย็นชาก่อนจะไปหยุดลงที่หนานกงหลิน
นัยน์ตาของตี้คังฉายประกายแสงสีแดงราวกับกระหายเลือดเจตนาสังหารแผ่กระจายออกท่วมร่างในอาภรณ์สีม่วง ยามนี้ตี้คังดูคล้ายเทพแห่งความตาย ริมฝีปากของเขายกโค้ง รังสีอำมหิตแผ่ออกจากเรือนร่าง
“ป๊ะป๋าสุดหล่อ”ช่วงเวลานั้นเอง ไป๋เสี่ยวเฉินก็ดึงแขนเสื้อของตี้คัง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เฉินเอ๋อ ไม่อยากเห็นการเข่นฆ่า”
แน่นอนว่าถ้อยคำของไป๋เสี่ยวเฉินนั้นใช้ได้ผลกว่าคนอื่น ๆ
เจตนาสังหารค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างของตี้คัง เขาจ้องมองเจ้าซาลาเปาน้อยผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างขาของตน “เขารังแกเฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อไม่เกลียดเขาหรอกหรือ ?”
“เฉินเอ๋อเกลียดเขาแต่ก็ไม่อยากฆ่าเขา”
ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงคอเล็กน้อย
“เพราะหากเทียบกับการฆ่าแล้วเฉินเอ๋อชอบทรมานคนมากกว่า”
ไป๋เสี่ยวเฉินเติบโตมาจากการดูแลปกป้องแวดล้อมโดยพวกผู้ใหญ่เช่นนั้นเขาจึงฉลาดเฉลียวมาก
ทว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังเด็ก
มือของเขาสะอาดเกินกว่าจะเปื้อนเลือด
คำว่า“ฆ่า” จึงยังเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้
แต่ทว่า…
ร่างของเขามีเลือดของเผ่าอสูรเขาย่อมมีความโหดร้ายเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตามเพราะเขาได้รับการดูแลปกป้องเป็นอย่างดีความโหดร้ายเลยยังไม่ถูกเร่งเร้ามากนัก
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรจะลงโทษเขาอย่างไรดี ?” ตี้คังเอ่ยถาม
ไป๋เสี่ยวเฉินแลบลิ้นพร้อมกับหันไปทางหนานกงซุ่น “เจ้ายังจำได้มั้ยว่าเขาเคยแกล้งเจ้ายังไงบ้าง ?”
“อืม…”หนานกงซุ่นพยักหน้ารับพร้อมตอบเสียงต่ำ “พวกเขาเตะข้าสิบครั้ง ขว้างก้อนหินใส่ข้ายี่สิบครั้ง ใช้ไม้ทิ่มข้าอีกสามครั้ง และใช้หินไฟเผาห้องของข้าหนึ่งครั้ง โชคดีที่ข้าวิ่งเร็วก็เลยรอดชีวิตมาได้ หาไม่แล้ว … ”
บทที่ 143 : การลงโทษ (2)
ครั้นทุกคนได้ยินถ้อยคำของหนานกงซุ่นต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลงทันที
แม้แต่หนานกงหยวนเองก็ไม่คาดคิดว่าหนานกงหลินจะคิดเผาหนานกงซุ่น
เรื่องนี้รุนแรงเกินไป!
หลังจากหนานกงซุ่นกล่าวจบไป๋เสี่ยวเฉินก็กระพริบตา เขามองไปที่อ๋องคัง “ป๊ะป๋าสุดหล่อ ท่านจำได้หมดมั้ย ? ทั้งหมดนั่นแหละที่เขาต้องคืนให้หนานกงซุ่น เฉินเอ๋อชอบที่จะเอาคืนทีละขั้น ๆ พวกเขาจะต้องได้รับในสิ่งที่เขาทำกับเราเฉกเช่นเดียวกัน”
”อ้อ… อีกอย่าง ” ซาลาเปาน้อยดูเหมือนจะนึกอะไรออก “เมื่อครู่ อันธพาลตัวน้อยนี่บอกว่าจะสังหารข้า อีกทั้งจะล้างตระกูลข้าด้วย”
สีหน้าของหนานกงอี้เปลี่ยนไปทันที”ทว่าเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ? ทั้งมารดาของเจ้าก็ยังสบายดีอีกด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรให้เขาต้องชดใช้เจ้าด้วยชีวิต”
”อืมก็ถูก” ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้า “แต่การที่เขาขู่ข้า ก็เพียงพอที่จะนับว่าเขาติดหนี้ข้า เช่นนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ป๊ะป๋า หากเราจุดไฟเผาบ้านเขาแล้ว เขายังรอดชีวิตมาได้ ท่านก็พาเขามาหาข้า ข้าอาจกำลังขาดเพื่อนเล่น”
แน่นอนว่าคำว่า “เพื่อนเล่น” นั้น มิได้หมายถึง “การเล่น” จริง ๆ ทว่าหากส่งอันธพาลตัวน้อยให้ไป๋เสี่ยวเฉินแล้วล่ะก็ อันธพาลตัวน้อยจะต้องถูกทรมานชนิดตายซะดีกว่า
”ก็ดี…”
สำหรับไป๋เสี่ยวเฉินแล้วตี้คังมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นให้บุตรชายของตน
”ไม่ข้าไม่ยอม !”
ไป๋รั่วพยายามจะลุกขึ้นยืนแววตาเย็นชาของตี้คังกวาดไปที่นางอีกครั้ง พลันหัวเข่าของนางก็เหมือนถูกกดทับ กระทั่งต้องทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง
นางกัดริมฝีปาก“เสด็จพ่อ หม่อมฉันขอร้องได้โปรดอย่าส่งหลินเอ๋อให้พวกเขา คนพวกนี้ชั่วช้าเลวทรามมาก พวกเขาต้องกลั่นแกล้งรังแกหลินเอ๋อเป็นแน่”
หนานกงหยวนหลับพระเนตรลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลืมพระเนตรขึ้นอีกครั้งหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ยามนี้ดูเหมือนเขาจะแก่ขึ้นอีกสิบปี
”ทำตามที่อ๋องคังกล่าว”
เดิมทีเขาคิดว่าหนานกงหลิน เพียงแค่กลั่นแกล้งหนานกงซุ่น หากแต่ไม่คิดว่าจะโหดร้ายถึงขนาดเผาบ้านเผาเรือน
หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเขาเกรงว่าก่อนที่หนานกงหลินจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ หนานกงหลินอาจจะต้องประสบพิบัติภัยเสียก่อน
เช่นนั้นหนานกงหยวนจึงตั้งพระทัยที่จะใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้สั่งสอนหนานกงหลินให้ทำตัวดีขึ้น หากเด็กคนนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ดี หาไม่แล้วเขาคงจะต้องคิดทบทวนเรื่องเด็กน้อยใหม่อีกครั้ง…
ครั้นไป๋รั่วเห็นพระพักตร์ที่เด็ดเดี่ยวของหนานกงหยวนร่างของนางก็หมดเรี่ยวแรงกระทั่งทรุดฮวบลงกับพื้น
”ข้าไม่ไป!” หนานกงหลินลุกขึ้นยืน พร้อมกับจ้องมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยแววตาโกรธเคือง “ข้าไม่ต้องการไปกับพวกเขา ข้าไม่ต้องการเป็นเพื่อนเล่นของเขา !”
เห็นได้ชัดว่าหนานกงหลินยังเข้าใจคำว่า “เพื่อนเล่น” ก็คือ “เพื่อนเล่น” ทว่าในความเป็นจริง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเล่นได้
”ป๊ะป๋าสุดหล่อ”ไป๋เสี่ยวเฉินทำตาโต พร้อมกับอมยิ้มเจ้าเล่ห์ “เรื่องอันธพาลตัวน้อยนั่นก็จบแล้ว แต่เรื่องของไป๋รั่วกับองค์ชายรัชทายาทยังไม่จบ เมื่อครู่นางมารร้ายไป๋รั่วฟ้องก่อน แล้วองค์ชายรัชทายาทนั่นก็จะจับตัวข้า”
สีหน้าของหนานกงอี้พลันแปรเปลี่ยนเขาหันไปมองหนานกงหยวนพระบิดาของตนโดยไม่รู้ตัว
ทว่าหนานกงหยวนไม่สนพระทัยเขาอีกทั้งยังทอดพระเนตรข้ามหัวเขาไปด้วยซ้ำ
จนถึงตอนนี้หนานกงอี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระบิดาของเขาถึงได้กลัวตี้คังมากเพียงนี้ ? หรือเป็นได้ว่าตี้คังมีความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวจริง ๆ ?
“ควรทำอย่างไรกับพวกเจ้าดีนะ?” ตี้คังกวาดสายตาไปที่หนานกงอี้และไป๋รั่ว นัยน์ตาเรียวงามของเขาเหมือนจ้องมองมดตัวเล็ก ๆ
ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงศีรษะเล็กๆ ของตน “เฉินเอ๋อเป็นเด็กใจดี ไม่อยากเห็นการลงโทษรุนแรง เอาแค่โบยสักร้อยไม้ต่อคนก็พอ แต่เราจะให้ลูกพี่ลูกน้องคนโตของหม่ามี้ลงโทษแทน ! ”
หนานกงอี้แทบจะกระอักเลือด
โบยร้อยไม้? ทั้งยังให้หลานเฉาหลิงโบยอีกด้วย ?
บทที่ 144 : การลงโทษ (3)
หลานเฉาหลิงนั้นขึ้นมาถึงระดับกลางของขั้นที่สองตี้เจี่ยแล้วในขณะที่ตัวเขาเองอยู่ขั้นพัฒนา
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสารเลวหลานเฉาหลิงนั่น ก็เกลียดขี้หน้าเขา เช่นนี้จะไม่โบยเขาจนตายเลยกระนั้นหรือ ?
ส่วนไป๋รั่วยิ่งแล้วใหญ่ไป๋รั่วไม่แข็งแกร่งเท่าหลานเฉาหลิง เจอร้อยไม้ก็มีแต่เอาชีวิตนางไปเท่านั้นแหละ
”ข้าขอรับเองทั้งสองร้อยไม้”หนานกงอี้กล่าว เป็นถ้อยคำที่แสดงออกถึงความรักจากใจของชายคนหนึ่งที่มีต่อไป๋รั่ว “รั่วเอ๋อยัง…”
“ได้…”ไป๋เสี่ยวเฉินรู้สึกยินดีที่เห็นว่ามีคนเต็มใจที่จะโดนลงโทษมากขึ้น “หม่ามี้ ได้ยินมั้ย เขาขอเพิ่ม งั้นให้เขาสองร้อยไม้ ไป๋รั่วหนึ่งร้อยไม้ก็แล้วกัน”
ครานี้หนานกงอี้แทบจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ
คำขอของเขานั้นเพียงเพื่อจะให้พระชายาของตนไม่ต้องถูกลงโทษหากแต่ยังมิทันที่เขาจะกล่าวจบ เด็กนั่นก็ขัดจังหวะ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องซะเละเทะ
”นั่นไม่ใช่ปัญหาของเฉินเอ๋อ”ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบนัยน์ตากลมโตอย่างไร้เดียงสา “เป็นคำขอของเขาเอง ข้าไม่ได้บังคับเขานะ”
ไป๋หยานยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะของบุตรชายเบา ๆ “แม่เองก็ได้ยินเช่นนั้น ในเมื่อเขาขอเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เราต้องปฎิเสธ”
”พวกเจ้า…” หนานกงอี้ชี้ไปที่สองแม่ลูก ทว่าเขาก็มิอาจพูดได้จบประโยค
”เฉินเอ๋อนี่ก็เย็นมากแล้ว ท่านตาทวดรอเรากลับไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ เราควรกลับกันได้แล้ว”
ไป๋หยานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะทูลลาไทเฮา จากนั้นนางก็พาไป๋เสี่ยวเฉินเดินตรงไปยังประตูวัง
หลังจากออกพ้นวังหลวงแล้วนางก็หันไปทางชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ข้างกาย พลางเลิกคิ้วกล่าวว่า “ข้าจะสั่งสอนบุตรชายของข้า ท่านตามพวกเรามาด้วยเหตุใด ?”
การแสดงออกของตี้คังเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีนัยน์ตาเรียวคมคุกคามของเขาหันไปจ้องไป๋เสี่ยวเฉินอย่างเย็นยะเยียบ “เจ้าทำให้ผู้หญิงของข้าโกรธกระนั้นหรือ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินตกใจเล็กน้อยจอมวายร้ายนี่เปลี่ยนสีหน้าไวเสียเหลือเกิน ไหนเขาบอกว่าจะปกป้องข้าไง ?
ครั้นเห็นท่าทีกดดันของอ๋องคังไป๋หยานก็จิกแขนของเขาอย่างแรง “อย่าข่มขู่บุตรชายข้านะ !”
ความเจ็บปวดทำเอาตี้คังขมวดคิ้วน้อยๆ นัยน์ตาเย็นชาของเขามองมือของไป๋หยาน ริมฝีปากแดง ๆ เชิดขึ้นเล็กน้อย
“ราตรีนี้ข้าจะไปพบเจ้า”
หลังจากกล่าวจบไป๋หยานก็รู้สึกว่ากระแสลมสีม่วงพัดผ่านด้านหน้านางไป หลังจากนางได้สติ ร่างในอาภรณ์สีม่วงก็หายไปเสียแล้ว ….
“หม่ามี้…”ไป๋เสี่ยวเฉินยืนหมดเรี่ยวแรง ขณะเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เฉินเอ๋อทำอะไรผิดรึเปล่า ?”
ไป๋หยานถอนหายใจสายตาของนางจับจ้องใบหน้าที่น่าสงสารของบุครชาย“เฉินเอ๋อ ลูกคิดว่าหนานกงหลินสมควรตายหรือไม่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้า“เขาจุดไฟเผาหนานกงซุ่น หากหนานกงซุ่นไม่เร็วพอ ก็คงจะตายไปแล้ว หากเป็นข้า… ”
”เฉินเอ๋อโลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมกลืนกินผู้ที่อ่อนแอกว่า หนานกงหลินอาจยังเด็ก แม่เองก็ไม่รู้ว่าในกาลข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ? ทว่าหากมีคนต้องการฆ่าเจ้า เจ้าจะยังใจดีอยู่อีกหรือไม่ ? ”
”ไม่!” ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะ “หากมีคนต้องการฆ่าเฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อก็ต้องฆ่าเขาก่อน และหากใครกล้าทำร้ายหม่ามี้ของเฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อก็จะทำให้มันเลือดกระเซ็นซ่านไปสามฉื่อ ! สำหรับหนานกงหลิน แท้จริงเฉินเอ๋อเพียงรู้สึกเสียใจแทนเขา ที่เขาไม่ได้มีแม่ดี ๆ แบบเฉินเอ๋อ เขาเติบโตมากับคนไม่ดี ดังนั้นเฉินเอ๋อเลยไม่อยากให้ป๊ะป๋าฆ่าเขา”
ครั้นได้ยินสิ่งนี้ไป๋หยานก็รู้สึกโล่งใจสิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือบุตรชายของนางจะใจอ่อน หากต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่คิดจะฆ่าเขา
“เฉินเอ๋อ…”ไป๋หยานยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของนางแลดูอันตรายมาก “แม่เพิ่งนึกได้ว่า เจ้าเรียกเขาว่า ป๊ะป๋าสุดหล่อ”
บทที่ 145 : ฉู่อีอี้ (1)
ไป๋เสี่ยวเฉินบุ้ยปาก”ป๊ะป๋าห่วย ๆ นั่นดุร้ายมาก เฉินเอ๋อไม่ต้องการเขา !”
ในใจเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉิน มีเพียงผู้ที่อ่อนโยน และใจดีเท่านั้นที่จะสามารถดูแลหม่ามี้ของเขาเป็นอย่างดีได้
”แต่…”ไป๋เสี่ยวเฉินเอียงศีรษะ “เพื่อรับความช่วยเหลือจากเขา ในวันนี้เฉินเอ๋อเลยยอมรับเขาในฐานะป๊ะป๋า”
แต่ก็แค่ป๊ะป๋าห่วยๆ เท่านั้นแหละ …
”ไปกันเถอะ”ไป๋หยานกล่าว นางจับมือลูกน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “บ้านสกุลหลานทุกคนคงกำลังรอเราอยู่ เราควรกลับบ้านกันได้แล้ว”
กลับบ้าน…
สองคำนี้ทำให้ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตา
จากนี้ไปพวกเขาก็จะมีบ้านอื่น ๆ นอกจากบ้านที่เกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว !
”หม่ามี้ชอบป๊ะป๋ามั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
หากหม่ามี้ชอบป๊ะป๋าเขาก็ต้องทำใจยอมรับ แม้ว่าจะไม่เต็มใจเลยก็ตามที
ไป๋หยานอึ้งนางหยุดก้าว ภาพใบหน้าที่หยิ่งผยองของตี้คังปรากฏขึ้นในใจ ที่สุดนางก็ส่ายศีรษะ “แม่ไม่ได้รังเกียจ ทว่าก็ไม่ได้ชอบ”
แค่นั้น…
”งั้นเหรอ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินยังไม่เข้าเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกลึกซึ้งมากนักหากแต่เขาก็รู้สึกว่าท่าทีของหม่ามี้ที่มีต่อป๊ะป๋าแตกต่างจากท่าทีที่มีต่อพ่อบุญธรรมของเขา
พ่อบุญธรรมชอบมารดาของเขานางเองก็รู้ดี ทว่านางกลับปฏิเสธอย่างเด็ดขาด นางไม่เคยให้โอกาสพ่อบุญธรรมเลย หากแต่ตอนนี้ แม้ว่านางจะยังไม่ยอมรับป๊ะป๋าห่วย ๆ แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาอย่างหนักแน่นเช่นเดียวกับที่ปฏิเสธพ่อบุญธรรม
ขณะที่ไป๋เสี่ยวเฉินกำลังคิดถึงเรื่องนี้ไป๋หยานก็เขกหัวบุตรชายของนาง “เลิกคิดเรื่องบ้าบอพวกนั้นได้แล้ว ทั้งป๊ะป๋าของเจ้า ทั้งพ่อบุญธรรมของเจ้า แม่ไม่ยอมรับพวกเขาสักคน”
ไป๋หยานมิใช่ผู้หญิงใจง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ
”เฉินเอ๋อเลยเป็นลูกไม่มีพ่อ น่าเศร้าใจจัง” สีหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูน่าสงสาร มือของเขากุมศีรษะที่โดนมารดาเขก ปากเบ้ด้วยความเสียใจ
“ตราบใดที่ตี้คังไม่พยายามที่จะพรากเจ้าไปเจ้าก็สามารถไปหาเขาได้เสมอ”
หากนางห้ามไป๋เสี่ยวเฉินไม่ให้พบอ๋องคังก็ดูจะใจร้ายเกินไปเช่นนั้นนางจึงอนุญาตให้พ่อลูกพบกันได้ ทว่าไป๋เสี่ยวเฉินจะต้องเป็นของนางตลอดไป ไม่มีผู้ใดสามารถพรากลูกชายไปจากนางได้ !
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มหัวลงแต่ไม่กล่าวคำใดอีก
เขาไม่ได้ต้องการป๊ะป๋าห่วยๆ คนนั้น เขาเพียงหวังว่าหม่ามี้จะมีน้องสาวให้เขาสักคนก็แค่นั้น
บ้านสกุลหลานต่างเฝ้ารอไป๋หยานและไป๋เสี่ยวเฉินเช่นนั้นทันทีที่กลับถึงบ้าน หลานฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบผลุนผลันออกมาหาสองแม่ลูก นางมาถึงเป็นคนแรก พร้อมกับมองตรวจตราทั้งคู่ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยเกรงว่าสองแม่ลูกจะไปพบเจอเรื่องไม่ดีในวังหลวง
อย่างไรก็ตามไป๋เสี่ยวเฉินที่เดิมทีกำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ ทันทีที่ได้พบคนบ้านสกุลหลาน เขาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังจ๋อย ๆ ตบท้ายด้วยการบอกเรื่องที่ให้หลานเฉาหลิงเป็นคนลงโทษ
ครั้นมองใบหน้าของเจ้าซาลาเปาน้อยที่เล่าอย่างมีอรรถรสแล้วท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็ได้แต่อมยิ้ม เขาสั่งให้บ่าวรับใช้นำสำรับเย็นออกมาวางบนโต๊ะ
เมื่อไป๋หยานรับประทานอาหารเสร็จนางก็กลับไปที่ห้องนอน ทันทีที่เข้าห้องนอนนางก็ต้องชะงัก เมื่อพบนกพิราบขาวบินมาเกาะที่หน้าต่าง ข้อเท้าของนกพิราบมีจดหมายน้อยผูกติด
”นายหญิงผู้ใดส่งจดหมายมา ?”
หลังจากเห็นไป๋หยานเดินไปหยิบจดหมายออกมาจากขานกพิราบแล้วเสี่ยวมี่ซึ่งกำลังเลียอุ้งเท้าอย่างเกียจคร้านพลันหรี่ตาลงพร้อมกับเอ่ยถาม
”นางมาถึงที่นี่แล้ว”ไป๋หยานยกยิ้ม บางทีอาจเป็นเพราะยามนี้กำลังอารมณ์ดี แววตาของนางจึงแพรวพราวราวกับกำลังหัวเราะ
นางมาที่นี่?
เสี่ยวมี่กระพริบตานางที่ว่าคือผู้ใดกัน ?
”เสี่ยวมี่บอกเฉินเอ๋อด้วยว่า ข้าจะออกไปข้างนอก เพื่อรับใครบางคน”