จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 161-165
บทที่ 161 : โยนบาป (3)
ไป๋เสี่ยวเฉินยื่นมือออกมาราวกับกำลังนำเสนอทรัพย์สมบัติบางอย่างในฝ่ามือของเขาคือป้ายหยก
บุคคลที่มีฐานะสูงส่งจะมีป้ายประจำตัวไป๋เสี่ยวเฉินเองก็รู้ดีในข้อนี้ เขาเจตนาผลักองค์หญิงหกก็เพื่อขโมยป้ายหยกนี้
เสี่ยวมี่หรี่ตาลง”นายน้อยนี่ท่านคิดจะโยนบาปให้องค์หญิงนั่นใช่หรือไม่ ?”
”เสี่ยวมี่เจ้านี่สมกับเป็นสัตว์ที่เลี้ยงมาด้วยอึด้วยฉี่จริง ๆ (หมายถึงเลี้ยงมาอย่างยากลำบาก) ตามคาด เจ้าเป็นผู้ที่รู้จักข้าดีที่สุด”
ไป๋เสี่ยวเฉินเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจปกติแล้ว เขาก็ทำเรื่องไม่ดีอยู่เสมอ จากนั้นก็โยนบาปให้เสี่ยวมี่ ทว่าตอนนี้มีคนรับบาปแทนแล้ว ไยเขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากนางเล่า
เสี่ยวมี่อึ้ง”นี่ท่านกล่าวผิดไปหรือไม่ ? น่าจะเป็นท่านมากกว่าที่ถูกเลี้ยงมาด้วยอึด้วยฉี่ มิใช่ข้า !”
”ข้าพูดไม่ผิดย้อนกลับไปเมื่อครั้งเรารับเจ้ามาดูแลแรก ๆ หม่ามี้ของข้ายังไม่ได้พบกับอาจารย์ตาทั้งสาม นางก็ได้แต่พาเราออกหาอาหารรอบ ๆ บ้าน หากแต่หม่ามี้ไม่อนุญาตให้เรากินสัตว์อสูรแถวนั้น ที่แย่ที่สุดก็คือเจ้า เจ้าจู้จี้จุกจิกไม่ยอมกินผลไม้หรือแม้แต่ผักใด ๆ ที่เราหามาได้ ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกอื่น ข้าเลยเอาอึให้เจ้ากิน … ”
ครั้นได้ยินเรื่องนี้สีหน้าของเสี่ยวมี่พลันดำคล้ำ หัวใจของมันเย็นยะเยือก
โอ๊ะโอ…นี่ข้าควรทำเช่นไร
ข้าอยากจะเอาหัวมุดดิน
พวกท่านทำอย่างนั้นได้เช่นไรเพราะตอนนั้นข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
”เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยล่ะ?” มุมปากเสี่ยวมี่กระตุกหลายครั้ง เสียงของมันราวกับจะร้องไห้
ในฐานะผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์เสือขาวผู้ยิ่งใหญ่มันตกต่ำถึงเพียงนี้ได้อย่างไร… ?
”ผู้ใดใช้ให้เจ้าโง่เง่าเล่า? เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากินอะไร” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าว
ถึงตอนนี้เสี่ยวมี่ร้องไห้ออกมาจริงๆ นี่ท่านคิดว่าสัตว์อสูรทุกตัวจะเหมือนท่านงั้นหรือ ? ที่รู้ทุกเรื่องตั้งแต่แรกเกิด ทั้งยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่มีอายุเพียงสองเดือน ! ฮือออออ…
ป่านนี้แล้วข้ายังแปลงร่างไม่ได้เลย! ฮือออออ…
“อ่า…นี่ก็ดึกมากแล้วหากยังไม่ลงมือ ป๊ะป๋าวายร้ายนั่นต้องรังแกหม่ามี้ข้าอีกแน่”
ว่าแล้วไป๋เสี่ยวเฉินก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าเขาย่นหน้าผาก ทันทีที่เห็นว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา เขาก็รีบเดินไปที่กำแพงอย่างระมัดระวัง
หลังจากพิงหลังแนบกำแพงสายตาของไป๋เสี่ยวเฉินก็ไปหยุดที่ต้นไม้ใกล้ ๆ กำแพง
ครั้งนี้ข้าไม่ต้องคลานลอดผ่านรูสุนัขอีกแล้ว !
“ไปเลยเสี่ยวมี่”
เขาให้เสี่ยวมี่ปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้จากนั้นเขาก็แปลงร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกขนสีขาวราวหิมะ กระโดดตามขึ้นไปบนต้นไม้ไต่ไปกระทั่งถึงยอด
หลังจากกระโดดอีกครั้งทั้งสองก็ลงจากกำแพงได้
ร่างเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินลงมาถึงพื้นอย่างมั่นคง เขาตบอุ้งเท้าอ้วนกลมดังฟุ่บ ๆ แววตาของเขาฉายประกายเจ้าเล่ห์
“เสี่ยวมี่เจ้าแยกไปทางนั้นไว ๆ”
เสี่ยวมี่ตัวสั่นเทาหากอ๋องคังรู้เรื่องนี้ จบเห่แน่ !
แต่ครั้นนึกถึงนายน้อยของมันเสี่ยวมี่ก็ได้แต่กัดฟัน ควบทะยานไปอีกทางหนึ่ง
ย้อนกลับไปที่คฤหาสน์โบราณ
ใต้ต้นเถาฮัว
มือของชายหนุ่มยึดต้นเถาฮัวแน่นท่าทางของเขาแลดูคุกคามหญิงงามที่ไร้ตำหนิด้านล่าง
เส้นผมสีเงินยวงของเขาปล่อยสยายอย่างมีเอกลักษณ์
”ท่านอ๋องแย่แล้ว !”
ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงของชายหนุ่มเกือบจะได้ประทับลงบนริมฝีปากของไป๋หยานเสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น
ชั่วอึดใจนั้นใบหน้าของชายหนุ่มพลันอับเฉา แววตาของเขาหม่นหมอง ขณะกวาดมองคนที่เข้ามาขัดจังหวะ
”เกิดอะไรขึ้น?”
องครักษ์ตัวสั่นเขาทรุดกายลงคุกเข่า “ทูลท่านอ๋อง ตำหนักถูกไฟไหม้ ไฟไหม้หมดทั้งตำหนัก ข้าน้อยสั่งให้ทุกคนพยายามดับไฟ ทว่าไฟนั้นรุนแรงมาก กระทั่งเราไม่อาจควบคุมได้”
”ฮืม?”
จุดไฟเผาตำหนักข้า?
ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้กล้าทำเช่นนี้!
ทันใดนั้นเองนัยน์ตาเรียวคมของตี้คังพลันหันกลับไปที่ไป๋หยาน ริมฝีปากของเขายกยิ้ม
บทที่ 162 : โยนบาป (4)
หากจะมีใครกล้าก็คงมีแค่หญิงผู้นี้คนเดียวเท่านั้น
”ท่านคิดว่าข้าทำงั้นหรือ?” ไป๋หยานกวาดตามองตี้คัง “ข้ามิใช่ผู้ที่จุดไฟเผาตำหนักท่าน”
”ข้ารู้ว่าไม่ใช่เจ้าทว่า … นอกเหนือจากเจ้าแล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่กล้าทำเช่นนี้”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นไป๋หยานก็เบิกตากว้าง ไฟนั่น…หรือว่าจะเป็นเฉินเอ๋อ ?
”หม่ามี้”ทันใดนั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งเข้ามาหา พร้อมกับถลาเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้ากลมอมชมพูขึ้นกล่าวทักทาย“หม่ามี้ ข้ากลับมาแล้ว”
“เจ้าไปที่ใดมา?” ไป๋หยานมองสีหน้าดำคล้ำของตี้คัง จากนั้นก็หันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน ก่อนจะเอ่ยปากถาม
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาอย่างงุนงง”ข้าออกไปเดินเล่นข้างนอก จากนั้นก็ได้พบกับองค์หญิงคนหนึ่ง แล้วข้าก็ทะเลาะกับนาง มีอะไรหรือ ? เกิดอะไรขึ้น ?”
”ไม่มีอะไร”
ไป๋หยานยกมือขึ้นลูบศีรษะของบุตรชายจากนั้นจึงหันกลับไปหาตี้คัง “ตำหนักของท่านกำลังเกิดไฟไหม้ ข้าคิดว่าท่านควรกลับไปก่อนจะดีกว่า”
นางจะต้องส่งตี้คังออกไปก่อนจากนั้นจึงจะซักถามสอบปากคำไป๋เสี่ยวเฉินได้
”ก็ดี”ริมฝีปากของตี้คังยกโค้ง ราวกับจะยิ้ม “ไฟนั่น ข้าต้องตรวจสอบหาสาเหตุได้แน่”
ถ้อยคำนั้นเล่นเอาหัวใจไป๋เสี่ยวเฉินเต้นโครมครามทว่าใบหน้าของเด็กน้อยยังคงความไร้เดียงสา เขามองตี้คังอย่างประหลาดใจ
”ตำหนักของป๊ะป๋าเกิดไฟไหม้หรือ? ตอนที่ข้าเห็นครั้งสุดท้ายมันก็ยังดี ๆ อยู่นะ”
รอยยิ้มของตี้คังแลดูหม่นมัวเขามองบรรดาองครักษ์ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “กลับตำหนัก”
หลังจากร่างที่เปี่ยมเสน่ห์น่าหลงใหลนั้นหายไปจากสายตาไป๋หยานก็จ้องหน้าไป๋เสี่ยวเฉินอย่างเคร่งขรึมพลางเอ่ยถาม “บอกความจริงกับแม่มา ไฟไหม้นั่นเป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่ ?”
“ก็ใครบอกให้เขารังแกหม่ามี้ล่ะ?” ไป๋เสี่ยวเฉินบุ้ยปาก ด้วยความโกรธ
นี่ถ้าเขาไม่วางเพลิงชายคนนั้นจะจากไปง่าย ๆ หรือ ?
ไป๋หยานกัดริมฝีปากแน่น”จำไว้ หากผู้ใดถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าต้องปฏิเสธให้หมด แล้วห้ามเจ้าทำเช่นนี้อีก หาไม่แล้วแม่จะส่งเจ้ากลับเกาะศักดิ์สิทธิ์ทันที !”
ตี้คังมิใช่คนโง่เพียงคิดนิดเดียวเขาก็รู้แล้วว่า ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากฝีมือของไป๋เสี่ยวเฉิน หากแต่เมื่อไป๋เสี่ยวเฉินไม่ยอมรับ เขาจะทำอย่างไรได้
ไป๋เสี่ยวเฉินซุกร่างเข้าไปในอ้อมอกมารดาอย่างน่าสงสาร“เฉินเอ๋อรู้แล้วว่าผิด เฉินเอ๋อไม่กล้าทำอีกแล้ว อย่าส่งเฉินเอ๋อไปไหนเลยนะ”
ครั้นเห็นท่าทางน่ารันทดของบุตรชายไป๋หยานก็มิอาจตำหนิเขาได้อีก เพราะจะว่าไปที่เด็กน้อยทำทั้งหมดก็เพื่อนาง
ภายหลังตี้คังออกมาจากคฤหาสน์โบราณเขาก็ยังไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่ตำหนัก เขาหยุด ก่อนจะหันกลับไปหาพวกองครักษ์ที่ตามหลังมา พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา
”บอกข้ามาสิว่าวันนี้มีใครไปที่ตำหนักของข้าบ้าง”
“ไม่มีใครไปที่พระตำหนักของท่าน”องค์รักษ์กล่าวต่อว่า “เว้นแต่ท่านอ๋องน้อย และองค์หญิงหก…ทว่าทั้งคู่ก็อยู่แต่ด้านนอกพระตำหนักมิได้เข้าไปด้านใน”
องครักษ์นำป้ายหยกออกมาก่อนจะมอบให้ตี้คังด้วยอาการเคารพ
ครั้นตี้คังเห็นอักษรคำว่า“หก” บนป้ายหยก สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก
”นี่เป็นป้ายหยกขององค์หญิงหกข้าน้อยสงสัยว่า … ”
”องค์หญิงหกงั้นหรือ? นางไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก” ตี้คังยกยิ้ม จากนั้นเขาก็ไม่มองหยกชิ้นนั้นอีกเลย
”หากเป็นเช่นนั้นข้าน้อยจะกลับไปสืบสวนต่อ…” หน้าผากขององครักษ์เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็น ขณะกล่าวอย่างอ่อนน้อม
”ไม่จำเป็น”นัยน์ตาของตี้คังเปล่งประกาย “นำป้ายหยกนี่ไปที่วังหลวง จากนั้นก็บอกว่าองค์หญิงหกวางเพลิงตำหนักข้า”
สีหน้าขององครักษ์เต็มไปด้วยความประหลาดใจก็ไหนอ๋องคังรับสั่งว่าองค์หญิงหกไม่กล้าทำมิใช่หรือ ?
หากแต่ยังไม่ทันที่องครักษ์จะคิดออกน้ำเสียงที่เย็นชาและเฉยเมยของตี้คังก็ลอยมาอีกครั้ง
”บุตรชายของข้าบอกว่าองค์หญิงหกทำเช่นนั้นนางก็ต้องเป็นคนทำ”
องครักษ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก
ท่านอ๋องน้อยรึ? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านอ๋องน้อยด้วยหรือ ?
หรือว่าไฟไหม้ครั้งนี้เป็นฝีมือท่านอ๋องน้อย? จากนั้นก็โยนความผิดให้องค์หญิงหก ! ทว่าท่านอ๋องต้องการจะทำตามประสงค์ของท่านอ๋องน้อย ! โดยให้องค์หญิงหกรับบาปแทน !
บทที่ 163 : องค์หญิงผู้โชคร้าย (1)
ตี้คังกวาดสายตาเย็นชาใส่เหล่าองครักษ์”เหตุใดพวกเจ้ายังยืนอยู่ที่นี่อีก ?”
”เอ่อ..?” บรรดาองครักษ์ยืนตัวแข็งไปชั่วขณะ ที่สุดหัวหน้าองครักษ์ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความนอบน้อม “ท่านอ๋อง ให้พวกเรากลับไปดับไฟกันก่อนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
เปลวไฟโหมกระหน่ำรุนแรงกระทั่งน้ำไม่สามารถดับได้ เว้นแต่ตี้คังจะลงมือจัดการด้วยตนเอง
”ไม่ต้องไฟจะไม่ลุกลามขยายออกไปด้านนอก เมื่อใดที่ตำหนักถูกเผาจนเกลี้ยง ไฟก็จะสลายไปเอง” ตี้คังกล่าวพร้อมกับยิ้มจนตาหยี
”ให้องครักษ์ของตำหนักทั้งหมดย้ายมาอยู่ที่นี่”
เหล่าองครักษ์ยังคงยืนงงขณะที่ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ จากไป ร่างอันสง่างามหายลับไปท่ามกลางถนนหนทางที่คึกคัก
ภายในวังหลวง
ในขณะที่องค์หญิงหกกำลังหลับพักผ่อนจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกกระแทกอย่างแรงกระทั่งเปิดออก ทหารองครักษ์วิ่งผ่านประตูเข้ามาล้อมองค์หญิงไว้
”พวกเจ้ากล้าดียังไง!” สีหน้าขององค์หญิงเปลี่ยนไปทันที นางตบโต๊ะพร้อมกับตวาดออกมาด้วยความโกรธ “ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้าเข้ามาในห้องนอนของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ครั้นนางกล่าวจบองครักษ์ก็แยกออกเป็นสองแถว จากนั้นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีเหลืองสดใสก็ก้าวเข้ามาอย่างว่องไว ใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ อีกทั้งดุดันขณะจ้องมององค์หญิงหก
”เสด็จพ่อ?”
องค์หญิงหกงงงันเกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดเสด็จพ่อจึงนำพาเหล่าทหารองครักษ์มาที่นี่ ?
”สื่อเอ๋อพ่อได้ยินมาว่า เจ้าวางเพลิงเผาตำหนักของอ๋องคัง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?” พระพักตร์ของหนานกงหยวนแลดูไม่ได้เลย พระเนตรของเขาเต็มไปด้วยผิดหวัง
พระธิดาผู้นี้เป็นความภาคภูมิใจของเขา
หากแต่ตอนนี้นางกลับกล้าวางเพลิงเผาตำหนักอ๋องคัง! แล้วตอนนี้อ๋องคังก็ส่งคนมาสอบถามเรื่องนี้ เขาจะนิ่งเฉยไม่ตอบกลับก็ไม่ได้ เพราะหากทำเช่นนั้นอาณาจักรนี้คงปั่นป่วนไปทั่ว !
นัยน์ตาขององค์หญิงหกเต็มไปด้วยความประหลาดใจ”เสด็จพ่อ ลูกไม่เคยวางเพลิงเผาตำหนักอ๋องคัง นี่ต้องเป็นแผนการให้ร้ายลูก !”
”ให้ร้ายเจ้ากระนั้นรึ? อืมม !” หนานกงหยวนนำป้ายหยกออกมาพร้อมกับโยนลงบนพื้นเบื้องหน้านาง ก่อนจะตะโกนด้วยความกริ้ว “หากมิใช่เจ้าแล้วเหตุใดป้ายหยกสัญลักษณ์ประจำตัวของเจ้าถึงไปตกอยู่ในตำหนักนั่นได้ ?”
ครั้นเห็นป้ายหยกที่ถูกโยนลงต่อหน้าต่อตาพระพักตร์องค์หญิงหกก็ขาวซีดทันที นางรีบแตะหน้าอกของตนเพื่อตรวจสอบ
เป็นไปได้อย่างไร?
เหตุใดป้ายหยกของข้าถึงไปตกอยู่ในตำหนักอ๋องคังได้
ทันใดนั้นเองใบหน้าเล็กๆ ก็ผุดขึ้นในศีรษะขององค์หญิงหก สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดุดัน นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พร้อมกับอธิบาย “มันต้องเป็นเด็กนั่นที่ขโมยป้ายหยก เพื่อป้ายสีลูก เสด็จพ่อ ! ลูกไม่ได้ทำ ต้องเป็นบุตรชายไป๋หยานที่ …. ”
”เจ้าจะบอกว่าบุตรชายของไป๋หยานเป็นผู้วางเพลิงงั้นรึ ?” หนานกงหยวนยิ้มเยาะ “อย่าลืมสิว่า เด็กคนนั้นเป็นบุตรชายที่อ๋องคังให้การยอมรับ ! เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงต้องวางเพลิงเผาตำหนักด้วย ? ”
”ก็… ” องค์หญิงหกนิ่งงัน
หากมิใช่เด็กนั่นเช่นนั้นป้ายหยกของนางจะไปตกอยู่ในตำหนักอ๋องคังได้อย่างไร ?
“พอได้แล้วเลิกแก้ตัวเสียที ! คนของอ๋องคังบอกว่าวันนี้เจ้าไปที่ตำหนักเขา !” หนานกงหยวนหลับพระเนตรลงช้า ๆ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงลืมพระเนตรขึ้นอีกครั้ง “องครักษ์จงนำตัวองค์หญิงหกไปขอความเมตตาจากอ๋องคัง ! ”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นสีหน้าขององค์หญิงหกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ถึงจุดนี้นางรู้แล้วว่าไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพระบิดาของนางก็ไม่มีวันเชื่อ เช่นนั้นนางจึงกัดริมฝีปากพร้อมกับคุกเข่าลง
“เสด็จพ่อต่อให้ลูกทำผิด ทว่าลูกก็ยังเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรนี้ ขณะที่อ๋องคังเป็นเพียงอ๋องพระราชทาน ประชาชนจะคิดเช่นไร หากพระองค์บังคับให้ลูกไปขอความเมตตาจากเขา”
เพี้ยะ!
ทันทีที่นางกล่าวจบมือหนัก ๆ ก็ตบลงบนใบหน้าของนาง
องค์หญิงหกกุมแก้มนัยน์ตาของนางเหมือนไม่อยากจะเชื่อ นางจ้องมองพระบิดาของนางด้วยความตกใจที่พระบิดาของนางกริ้วกระทั่งตบหน้านางได้
บทที่ 164 : องค์หญิงผู้โชคร้าย (2)
”ต้องโทษเราต้องโทษเราเอง !” สุรเสียงของหนานกงหยวนสั่นเทา “แต่เดิมเราคิดว่าเจ้าจะไม่ไปยั่วยุเขา นั่นคือเหตุผลที่เราไม่เคยบอกเจ้าเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขา นับแต่ไป๋หยานกลับมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด”
ก่อนที่ไป๋หยานจะกลับมาตี้คังอยู่ในอาณาจักรนี้เนิ่นนานหลายปีโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ครั้นไป๋หยานกลับมาทั้งองค์ชาย องค์หญิง แม้แต่ฮองเฮาต่างก็เดือดร้อนไปทั่ว เพราะไปยั่วยุเขา
”วันนี้เจ้าต้องไปขอโทษเขาหาไม่แล้วอาณาจักรนี้อาจถูกทำลายลงด้วยมือของเจ้า !”
กระไรนะ?
องค์หญิงหกเงยหน้ากัดริมฝีปากแน่น”เสด็จพ่อ ที่พระองค์ตรัสมาหมายความเช่นไร ?”
หนานกงหยวนหัวเราะหยัน”เจ้ารู้หรือไม่ว่า ครั้งแรกที่เราพบตี้คังนั้นสถานการณ์เป็นเช่นไร ?”
”เรายังจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาถูกยอดฝีมือระดับหวังเจี่ย(ระดับราชา) จำนวนนับไม่ถ้วนไล่ล่า เราคงไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอกนะว่า ยอดฝีมือระดับหวังเจี่ย (ระดับราชา) นั้นมีพลังสูงส่งเพียงใด ภายในอาณาจักรนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ก้าวเข้าถึงระดับนั้น”
”ทว่าภายใต้การล้อมกรอบของยอดฝีมือระดับหวังเจี่ยตั้งมากมายเจ้าลองเดาสิว่าตี้คังรอดพ้นจากคนพวกนั้นมาได้อย่างไร ?”
องค์หญิงหกใจสั่นสะท้านนางกำมือแน่น ริมฝีปากของนางซีดขาว
”ตี้คังเอาชนะบรรดายอดฝีมือระดับหวังเจี่ยได้เช่นนั้นหรือ?
ครั้นเห็นใบหน้าซีดขาวขององค์หญิงหกแล้วหนานกงหยวนก็สั่นศีรษะ
ทว่าในใจขององค์หญิงหกกลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นจากปฎิกิริยาของพระบิดาของนางหากแต่กลับยิ่งตึงเครียดหนักกว่าเดิม นางมองหนานกงหยวนนัยน์ตาไม่กระพริบ
หวนนึกถึงฉากในตอนนั้นแล้วหนานกงหยวนก็ยังตกพระทัยไม่หาย รอยสรวลแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนพระโอษฐ์ “ตี้คังกำจัดยอดฝีมือระดับหวังเจี่ยพวกนั้น ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ! เพียงครั้งเดียวเท่านั้น !”
บูม!
ราวสายฟ้าฟาดลงกลางใจองค์หญิงหกตัวสั่นเทา ใบหน้าของนางตื่นตระหนก
ที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระบิดาของนางถึงกลัวอ๋องคัง นางช่างโง่เง่าจริง ๆ ที่คิดจะใช้อำนาจของฮ่องเต้กดดันเขาให้อภิเษกสมรสนางเป็นพระชายา….
”เราไม่มีวันลืมภาพที่เห็นในวันนั้นเลยยอดฝีมือระดับหวังเจี่ยจำนวนมากมายทั้งแข็งแกร่งทั้งทรงพลัง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าตี้คังแล้วกลับไม่ต่างใดจากมดตัวน้อย ๆ หาไม่แล้ว เหตุใดเราต้องยอมตามใจเขาไปทุกสิ่งเล่า ผู้ใดบ้างจะกล้าต่อกรกับพญายมเช่นเขา ? ”
ในใจขององค์หญิงหกนั้นทั้งตรอมตรมทั้งขมขื่นกระทั่งน้ำตาร่วง “เสด็จพ่อ ในเมื่อพระองค์ก็ทรงทราบว่าอ๋องคังแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ก็แล้วเหตุใดพระองค์ถึงยังพาเขาเข้ามาในอาณาจักรของเราอีก ? … ”
หากพระบิดาของนางไม่พาอ๋องที่หล่อเหลาดึงดูดสตรีเพศผู้นั้นเข้ามาในอาณาจักรบางทีนางก็คงไม่ต้องพบเขา แล้วก็ไม่ต้องลุ่มหลงรักใคร่ชายน่ากลัวผู้นี้
”เรามิได้ต้องการให้เขาเข้ามาในอาณาจักรของเราทว่าเป็นเขาเองต่างหากที่ต้องการจะมา เขาบอกว่าการเป็นคนในราชวงศ์จะทำให้เขาค้นหาใครบางคนได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าผู้ที่เขากำลังตามหาอยู่ตลอดเวลานั่น ก็คือไป๋หยาน !”
เหตุใดคนที่มีพลังสูงส่งเช่นนั้นถึงไม่อยากเป็นฮ่องเต้เสียเอง? เพราะหากเขาต้องการ บัลลังก์ฮ่องเต้ก็จะเปลี่ยนมือทันที
องค์หญิงหกรู้สึกว่าในกระเพาะของนางกำลังปั่นป่วนกระทั่งนางต้องใช้มือกุมหน้าท้องแน่น พลางกัดริมฝีปากจนเลือดห้อ เพียงเพื่อระงับความอิจฉาริษยาในหัวใจตน ไม่ให้ใจของนางเจ็บปวดมากนัก
”เสด็จพ่อลูกเข้าใจแล้วเพคะ ลูกจะไปร้องขอความเมตตาตามที่ทรงมีพระประสงค์”
นางเงยหน้าขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
นางโทษหนานกงหยวนพระบิดาของนางว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงไม่บอกนางเกี่ยวกับความน่ากลัวของตี้คัง ?
นางเกลียดไป๋หยานยิ่งกว่าเดิมเพราะไป๋หยานขโมยบุรุษของนางไป !
ทว่า!
ไป๋หยาน..เจ้าหัวเราะได้อีกไม่นานนักหรอกผู้ที่แกร่งกล้าทรงพลังเช่นนั้น ไหนเลยจะรักเดียวใจเดียว ? ไม่ช้าก็เร็ว ตี้คังจะต้องทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน !
”ฝ่าบาทเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ !”
ทันใดนั้นเองขันทีก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นตะหนก พร้อมกับเหงื่อท่วมตัว เสียงเล็ก ๆ ของเขาฟังดูตื่นเต้นกระตือรือร้น
บทที่ 165 : องค์หญิงผู้โชคร้าย (3)
”พระชายา…นาง… ”
”เกิดอะไรขึ้นกับพระชายา”
หนานกงหยวนขมวดพระขนงเขาพอพระทัยไป๋รั่วพระสุณิสาผู้นี้ของเขามาก น่าเสียดายที่นางอบรมบุตรชายของนางได้ไม่ดีเท่าที่ควร
”พระชายาถูกโบยเพียงไม้เดียวก็สลบ ทว่าเนื่องจากการลงทัณฑ์ยังไม่เสร็จสิ้น พวกเขาจึงไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปดูแลนาง”
หนานกงหยวนขมวดพระขนงพระเนตรของเขาฉายแววโกรธแค้น
หลานเฉาหลิงสามหาวยิ่งนักเพียงได้รับการสนับสนุนจากตี้คัง ก็ไม่เคารพยำเกรงราชสำนัก กล้าทำร้ายกระทั่งพระชายา เราจะดูสิว่าวันใดที่อ๋องคังเลิกหลงใหลในตัวไป๋หยาน บ้านสกุลหลานจะทำเช่นไรต่อไป !
”ฝ่าบาทเกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่หนานกงหยวนจะทันได้ตรัสคำใดก็มีขันทีอีกคนวิ่งกระหืดกระหอบเช่นเดียวกับขันทีคนก่อนหน้า เขารีบกราบบังคมทูลก่อนที่ฮ่องเต้จะมีรับสั่งถาม
”วังหลวงถูกวางเพลิงคลังหลวงกำลังถูกไฟไหม้ ฝ่าบาท รีบเสด็จหนีก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ…”
”อะไรนะ”
หนานกงหยวนกริ้วจัด“ผู้ใดกล้าเผาคลังหลวงของเรา ?”
”หามิได้พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท มีคนวางเพลิงตำหนักองค์รัชทายาท ทว่าเนื่องจากไฟโหมแรง สุดท้ายก็ไหม้ลามไปกระทั่งถึงท้องพระคลัง”
”ตำหนักโอรสของข้าหรือ”พระพักตร์ของหนานกงหยวนมืดมน “เป็นฝีมือของหลานเฉาหลิงอีกหรือไม่ ?”
”หามิได้พ่ะย่ะค่ะ… ” ขันทีปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เป็นฝีมือของเด็กสาวที่คุณหนูหลานเป็นผู้พามาพ่ะย่ะค่ะ หญิงสาวผู้นั้นเห็นดอกไม้ที่สวนหลังวังกำลังเบ่งบาน นางจึงย้ายดอกไม้ทั้งหมดออก ก่อนจะจุดไฟ … ”
ในขณะที่บทสนทนายังคงดำเนินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้หนานกงหยวนพลันรู้สึกได้ถึงความร้อนระอุของเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฮ่องเต้กัดพระทนต์พลางตรัสว่า “คุ้มกันเรา หลบหนี !”
โชคดีที่เขาเก็บของมีค่าสำคัญ ๆ ไว้ในวงแหวนมิติของเขา หาไม่แล้วผู้ใดจะรู้ว่า เขาจะต้องเจอกับความสูญเสียสักเพียงไร…
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นไป๋หยานก็กำลังพักผ่อนอยู่ในคฤหาสน์โบราณ นางไม่รู้เลยว่าภายในวังเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง
ไป๋หยานเอนกายสบายๆ อยู่บนก้อนหิน นางหลับตาพักผ่อนอย่างสงบ ทันใดนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาที่ลานหน้าบ้าน นางจึงลืมตาขึ้นมอง ไป๋หยานเลิกคิ้วพลางถามว่า “อีอี้ เจ้ากลับมาแล้วหรือ ?”
ครั้นฉู่อีอี้เห็นหญิงสาวนอนเอนกายอยู่บนก้อนหินนางก็ถอยหลังไปสองก้าวด้วยความสำนึกผิด
“ไป๋หยานไยเจ้าจึงมานอนอยู่ที่นี่ล่ะ ?”
“ข้ารอเจ้าอยู่”ไป๋หยานกระโดดลงมาจากก้อนหิน นางกวาดตามองทั่วร่างของฉู่อีอี้พลางเอ่ยถาม “เจ้าไปก่อเรื่องใดมาหรือไม่ ?”
ฉู่อีอี้ไอแค่กๆ “ไม่ ไม่แน่นอน !”
ชัดเจนว่าไป๋หยานไม่เชื่อถ้อยคำของฉู่อีอี้เลยนางก้าวเข้าใกล้ฉู่อีอี้มากขึ้น มากขึ้น พร้อมรอยยิ้มคุกคาม “เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะไม่รู้งั้นรึ ?”
“ข้า…”ฉู่อีอี้ถอยหลังไปอีกหลายก้าว นางเอ่ยเสียงอ่อย ๆ “ข้าเพียงแอบหยิบไม้กระบองของพี่เฉาหลิงมาฟาดไป๋รั่ว แต่ข้าไม่ทันควบคุมพลังตนเอง เลยทำให้นางสลบ…”
ดีที่หลานเฉาหลิงแย่งไม้กระบองกลับคืนได้ทันหาไม่แล้วนางคงฟาดอีกครั้ง ไป๋รั่วก็คงกระอักเลือดตาย
”แค่นี้หรือไม่มีอะไรอีกแล้ว…แน่นะ ?”
”ข้า…ข้า…เผาวัง แต่ข้าไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์นะ”
แน่นอนว่านางเว้นเรื่องขนย้ายต้นไม้ดอกไม้ออกมาจากสวนไว้
หางตาของไป๋หยานกระตุกนางรู้ดีว่า การปล่อยหญิงร้ายกาจผู้นี้เข้าวังย่อมจะต้องสร้างปัญหาอย่างแน่นอน
”น่าเสียดายที่ไฟลุกลามไปถึงท้องพระคลัง ข้าได้ยินมาว่าในท้องพระคลังมีเงินทองมากมาย หากเจ้าจะเผา ก็ควรขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นออกมาเสียก่อน”
เมื่อคิดถึงเงินทองที่ต้องสูญเปล่าไปไป๋หยานก็ไม่อดไม่ได้ที่จะเสียดาย แม้ว่าเงินพวกนั้นจะเป็นจำนวนน้อยนิดสำหรับนางก็ตามที
แต่เงินก็คือเงินจะน้อยจะมากก็เป็นเงิน ?
ครั้นเห็นว่าสหายของนางไม่ได้โกรธนัยน์ตาของฉู่อีอี้ก็เปล่งประกายสว่างไสว นางยิ้มหวานให้ไป๋หยาน