จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 181-185
บทที่ 181 : นายน้อยสำนักเวชโอสถ
”นายน้อย… ” น้ำเสียงของผู้เฒ่าฟังดูอัดอั้นตันใจ “ครั้งที่คุณหนูหายตัวไป นางก็อยู่ในวัยเดียวกันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นนาง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอารมณ์ของชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเป็นหดหู่อีกครั้ง
ใช่แล้วแม่หนูคนนั้นดูอย่างไรอายุก็ไม่น่าเกินยี่สิบ ไม่มีทางเป็นคนที่เขาคิดแน่
“ทว่าหากมิใช่นางเหตุใดพวกนางทั้งสองถึงได้เหมือนกันเช่นนี้ เจ้าไปตรวจสอบภูมิหลังของนางมาให้ข้าที ข้าต้องการข้อมูลของนางไม่เกินพรุ่งนี้ ! แค่ก ๆๆ ….”
เมื่อหลายปีก่อนน้องสาวของเขาหายตัวไปเขาไม่มีข้อมูลใด ๆ มากพอที่จะเป็นความหวังว่าจะหานางพบได้เลย
หลังจากกล่าวจบชายวัยกลางคนก็เริ่มไออย่างรุนแรง เขายกมือขึ้นปิดปากแน่น และครั้นเขาแบมือออก บนมือของเขาก็ปรากฏรอยเลือดเปื้อนสองจุด
”นายน้อย… ” ชายสูงวัยรู้สึกปวดร้าวใจ “เราควรกลับไปที่สำนักเวชโอสถก่อน อย่างน้อยที่สุดเราก็ยังมีหมอปรุงยาหลายคนอยู่ที่สำนัก พวกเขาน่าจะช่วยรักษานายน้อยได้ ไหนจะท่านเจ้าสำนักอีก…”
ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น”ข้ารู้ว่าหลายปีมานี้ ด้วยโรคภัยไข้เจ็บของข้า ทำให้ข้าไม่อาจออกจากสำนักเวชโอสถ นี่ข้าก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ข้าเพียงอยากใช้เวลาที่เหลือทำตามแต่ใจบ้าง…”
หากไป๋หยานยังอยู่ที่นี่เพียงอาศัยชื่อของ “สำนักเวชโอสถ” นางคงจะสามารถระบุตัวตนของชายผู้นี้ได้
บนแผ่นดินใหญ่นี้มีสามสำนักใหญ่ซ่อนเร้นอยู่
นั่นก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สำนักเวชโอสถ และตำหนักเซียนพยับหมอก
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงในเรื่องของการมากด้วยผู้มีวรยุทธในขณะที่ตำหนักเซียนพยับหมอกเลื่องลือในด้านลึกลับ ส่วนสำนักเวชโอสถก็มีชื่อเสียงทางด้านมีหมอปรุงยาจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นั่น
ยกเว้นพวกไม่ยอมใครบางจำพวกเช่นอาจารย์ทั้งสามของไป๋หยานหรือหมอปรุงยาอื่น ๆ ที่หัวแข็ง
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ประเภทที่จะสามารถรวมกลุ่มกับคนอื่นได้ หมอปรุงยาจากสำนักเวชโอสถค่อนข้างจะหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก ทั้งที่ความแข็งแกร่งของพวกเขาด้อยกว่าคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าพวกเขากลับพยายามกดหัวหมอปรุงยาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่มีการประชุมหมอปรุงยาอาจารย์ทั้งสามของนางก็ต้องมีอาการหงุดหงิดโมโหแทบทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้อาจารย์ทั้งสามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงสาบานว่า พวกเขาจะค้นหาศิษย์ที่มีพรสวรรค์เก่งกาจสักคน เพื่อเอาชนะพวกหมอจากสำนักเวชโอสถให้จงได้
เช่นนั้นพวกเขาจึงรับไป๋หยานไว้เป็นศิษย์….
”แค่กๆ !” ชายวัยกลางคนไอขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาอ่อนแอราวกับแค่เพียงสายลมก็สามารถทำให้เขาล้มลงได้ เขาพร้อมที่จะสิ้นใจได้ตลอดเวลา
ชายชรารีบหยิบยาออกมาเขาเอ่ยกล่าวพร้อมสายตาห่วงใย “นายน้อย ท่านกินยานี่ก่อนเถอะ อย่างน้อยก็…”
ก่อนที่ชายชราจะทันกล่าวจบชายวัยกลางคนก็ผลักมือของชายชราออกพร้อมกับยิ้มมุมปาก “สำหรับข้าแล้ว หากต้องอยู่อย่างเจ็บปวด สู้ตายเสียยังจะดีกว่า”
”นายน้อย..คุณหนูก็หายตัวไปคนหนึ่งแล้วท่านยังมาทำเช่นนี้ ท่านเจ้าสำนักจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพังกระนั้นหรือ ? นอกจากนี้ เรายังไม่พบตัวคุณหนูเลย… ”
ชายชรากล่าวอย่างขมขื่น
ชายวัยกลางตัวสั่น“ใช่แล้ว ตราบใดที่ข้ายังหาตัวนางไม่พบ ข้าจะตายไม่ได้…เช่นนั้นส่งยานั่นมาให้ข้า ข้าต้องมีชีวิตอยู่ ข้าต้องมีชีวิตอยู่จนกว่าจะได้พบนาง”
ที่สำคัญเด็กสาวคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับนางก็เป็นได้
*****
แน่นอนว่าไป๋หยานไม่รู้เรื่องที่ชายทั้งสองสนทนากันเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่นางไปถึงที่เกิดเหตุนางก็เห็นไป๋เฉิงเซียงกำลังต่อสู้กับผู้คุ้มกฏซ้าย
”พี่ใหญ่”ครั้นเห็นร่างที่คุ้นเคย นัยน์ตาของไป๋เซียวก็สว่างไสวขึ้นมาทันที
”เซียวเอ๋อพี่มาช้าไป เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ? ” น้ำเสียงของนางฟังดูเสียใจขณะกล่าวคำ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้คุ้มกฏขวาไปหานาง ฮัวหลัวก็เพิ่งบอกนางว่าหมอตำแยที่รู้ความจริงทั้งหมดนั่นตายเสียแล้ว นางกระหายอยากรู้ความจริง จึงออกไปข้างนอก ทำให้ผู้คุ้มกฏขวาไม่อาจพบนางที่คฤหาสน์โบราณ
ครั้นหวนคิดถึงเรื่องที่หมอตำแยตายอย่างประหลาดและเรื่องที่ไป๋เซียวโดนคุกคาม ภายในใจของไป๋หยานก็ถูกเพลิงแห่งความโกรธเผาไหม้ สายตาเย็นชาของนางหันไปทางผู้คุ้มกฏซ้ายผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับไป๋เฉิงเซียง
”เกาอี้ถอยไป !”
***จบบทนายน้อยสำนักเวชโอสถ***
บทที่ 182 : จะไม่ทน (1)
ผู้คุ้มกฏซ้ายตกตะลึงทว่าเขาก็ไม่อาจถอนหมัดได้ทันเวลา ทำให้กำปั้นของเขาซัดตรงเข้าหาไป๋เฉิงเซียง
หลังจากไป๋เฉิงเซียงทรุดตัวลงผู้คุ้มกฏซ้ายก็ตอบกลับว่า “นายหญิง ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจยั้งมือได้ในเวลา….”
“หาใช่ความผิดของเจ้าไม่เจ้าหลบไปก่อน”
ใบหน้าของไป๋หยานปกคลุมไปด้วยความเย็นยะเยือกสายตาเย็นชาของนางกวาดมองไป๋เฉิงเซียง และคนจากตระกูลหยู “เมื่อครู่ผู้ใดทำร้ายน้องชายของข้า ?”
ข้าจะชำระบัญชีรายคนเลย!
สีหน้าของหยูเฟยเปลี่ยนไปทันทีเขาได้ยินคำเรียกขานของชายผู้ซึ่งปล่อยหมัดชกไป๋เฉิงเซียงได้อย่างชัดเจน ชายผู้นั้นเรียกไป๋หยานว่า “นายหญิง”
เป็นไปไม่ได้ไป๋หยานเป็นเพียงขยะเปียกที่ไร้ประโยชน์มิใช่รึ ?
ไป๋หยานราวกับจะรับรู้ได้ถึงสายตาหวั่นวิตกนั้นนางค่อย ๆ เลื่อนสายตาช้า ๆ มุมปากของนางยกโค้ง “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ลงมือ ?”
”ข้า… ” หยูเฟยกัดริมฝีปากพลางกล่าว “หาใช่ความผิดของข้าไม่ ก็ไป๋เซียวแอบซ่อนยา ทั้งยังเอาไปให้กับคนนอก !”
ไป๋หยาน”ในเมื่อเป็นเจ้า ก็ไม่ต้องกล่าวให้มากความ”
“ปัง”
ไป๋หยานกระโจนขึ้นนางยกปลายเท้ามุ่งไปที่ใบหน้าของหยูเฟย เท้าของนางทรงพลังมาก กระทั่งหยูเฟยไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน พลันเท้าของไป๋หยานก็เตะเข้าที่ใบหน้าของหยูเฟย
พลั่ก!
ร่างของหยูเฟยถูกส่งลอยจากพื้นราวมีดบินก่อนจะตกกระแทกแผงลอยใกล้ ๆ เลือดทะลักออกจากปากของเขาไม่หยุด นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
บนถนนทั้งเส้นพลันเงียบสงัดแม้แต่พวกที่เคยว่ากล่าวไป๋เซียวต่างก็ปิดปากสนิท พวกเขาทำได้เพียงลืมตาโพลงมองสาวงามในอาภรณ์สีแดง
”ไป๋หยานมิใช่คนไร้ค่าหรอกรึ?”
”นอกจากนี้นางยังดุดัน…โหดเหี้ยมไปนะ”
เตะเดียวยังไม่พอสำหรับการชำระแค้น ไป๋หยานใช้มือจับแขนหยูเฟย พับลงอย่างแรง เสียงดังแคร่กทำเอาทุกคนแตกตื่นตกใจ
”ไป๋หยานเจ้า…หยุดนะ !”
ร่างของหยูหรงยังไม่ฟื้นตัวดีแต่ครั้นนางเห็นการกระทำของไป๋หยาน นางก็หน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัวและปวดร้าวใจ
”เขาคือลุงของเจ้านะ…หยุด !”
ลุง?
ไป๋หยานทำจมูกฟุดฟิด
”ท่านลุงของข้าก็มีแต่ท่านลุงบ้านสกุลหลานเท่านั้นคนแซ่หยูมาเป็นลุงของข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
”ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่ลืมว่า เมื่อหกปีก่อน เจ้าขายข้าให้กับตาแก่อายุห้าสิบปี เพียงเพื่อแลกยาเม็ดจิตวิญญาณมาช่วยให้คนที่เจ้าบอกว่าเป็นลุงของข้าผู้นี้พัฒนาทักษะยุทธ !”
”ครั้งนั้นข้าไม่ยินยอมทรยศตนเอง เจ้ายังเรียกข้าว่า ลูกหมาป่าใจเหี้ยมไร้ยางอายเนรคุณ เพียงเพราะข้าบอกเจ้าว่า หากอยากขายก็ให้เจ้าขายบุตรสาวของเจ้าแทน เจ้าสามารถขายได้ทั้งไป๋รั่วและไป๋จื่อ..”
ฮือฮา!
คำพูดของไป๋หยานทำเอาฝูงชนที่กำลังมุงดูอยู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
พวกเขารู้เพียงว่าหยูหรงคิดจะขายไป๋หยานหากแต่ไม่เคยคิดเลยว่าหยูหรงจะกล้ากล่าวถ้อยคำที่ไร้ยางอายเช่นนี้ !
เวลานั้นบ้านสกุลไป๋ไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อยาเม็ดจิตวิญญาณระดับสามได้กระนั้นรึ ? เหตุใดพวกเขาถึงต้องขายบุตรสาวของตนเองเพื่อแลกยาเม็ดนั่นด้วย ? ครั้นไป๋หยานปฏิเสธ ก็ยังกล้าว่านางว่าเป็นลูกหมาป่าใจเหี้ยมไร้ยางอายเนรคุณได้อีก…
ที่แท้ในเวลานั้นผู้ใดกันแน่ที่เป็นคนใจร้ายไร้ยางอาย ?
เมื่อเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันจากทุกคนหัวใจของหยูหรงพลันสั่นสะท้าน นางพยายามฝืนพูดออกมา “ถึงอย่างไร บ้านสกุลไป๋ของเราก็เลี้ยงดูเจ้ามานานหลายปี เจ้ากลับไม่คิดช่วยเรา ทั้งยังทำร้ายเราอีก”
“ข้าทำร้ายพวกเจ้าหรือ เป็นพวกเจ้าที่พยายามทำร้ายข้า ?” ไป๋หยานไม่ยอมจำนน นางเหยียบอกคนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านาง ทำให้ชายคนนั้นกระอักเลือดออกมาอีกคำโต
***จบบทจะไม่ทน (1)***
บทที่ 183 : จะไม่ทน (2)
”วันนี้ข้า…”ไป๋หยานขอประกาศไว้ตรงนี้ หยูเฟยต้องตาย ผู้ใดกล้าขวางก็ต้องตายอย่างไร้ปรานี !”
”ไป๋หยาน…เจ้า…. ” หยูหรงสั่นไปทั้งตัว นั่นยิ่งทำให้เลือดของนางไหลมากขึ้นเรือย ๆ ร่างของนางค่อย ๆ อ่อนแรงลงทุกขณะ
ไป๋เฉิงเซียงไอแค่กๆ เขากุมหน้าอกตนเองแน่น ขณะจ้องมองไป๋หยานด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
หากผู้คนมิได้ล่วงรู้ฐานะของพวกเขาก็คงจะเข้าใจผิดคิดไปว่าไป๋หยานคงเป็นศัตรูที่ฆ่าบิดาของชายคนนี้เป็นแน่
”เจ้ามองหาอะไร?” ครั้นผู้คุ้มกฏซ้ายเห็นไป๋เฉิงเซียงกล้าจ้องมองไป๋หยานตรง ๆ เขาก็วิ่งเข้าหาไป๋เฉิงเซียง จากนั้นก็ตบหน้าไป๋เฉิงเซียงอย่างโกรธเคือง
แม้จะถูกตบทว่าไป๋เฉิงเซียงก็ยังไม่กล้ากล่าวคำใดแม้สักคำ ใบหน้าของเขายู่ยี่ราวกับกำลังท้องผูก
แม้ว่าเขาจะไร้สมองหากแต่เขาก็ยังพอรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขานั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าตัวเขาแน่นอน !
”ท่านพี่! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?” แววตาของหยูหรงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นางหันกลับไปจ้องมองไป๋หยาน “ไป๋หยาน เจ้าจะปฏิบัติกับข้าเช่นไรก็ได้ ทว่าเขาเป็นบิดาของเจ้า เจ้าให้คนของเจ้าทำร้ายบิดาเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
สีหน้าของไป๋หยานแลดูเย็นยะเยือกนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาอี้ ตบนาง !”
ทันทีที่สิ้นเสียงสั่งเกาอี้ก็ถูมือลูบกำปั้น จากนั้นก็รีบปรากฏตัวต่อหน้าหยูหรง เขาตบนางอย่างรุนแรงทันที กระทั่งใบหน้าของนางบวมเป่ง
สีหน้าของไป๋เฉิงเซียงแลดูเลวร้ายขึ้นกว่าเดิมเขาพยายามยันร่างตนเองพลางกล่าวอย่างเศร้า ๆ ว่า “ไป๋หยาน อย่างไรเสียข้าก็เป็นบิดาของเจ้า ข้าอยากให้เจ้ากลับตัวกลับใจ ทว่าเจ้ากลับโหดร้ายและไม่เชื่อคำข้าเลย”
”ทุกท่าน…”เขากล่าวต่อ ไม่เปิดโอกาสให้ไป๋หยานได้กล่าวคำ “เชิญเข้ามาดูเถิด ดูเถิดว่าบุตรสาวของข้าปฏิบัติกับข้าซึ่งเป็นบิดาของนางเช่นไร ? ตอนนี้นางเป็นคณิกาดาวเด่นของหอบุปผา นางกลับให้แขกของนางมารังแกบิดาตนเอง บุตรสาวเช่นนี้สมควรตายจริง ๆ !”
ไป๋หยานเหยียดริมฝีปากยิ้มเยาะนางไม่ขัดคำของไป๋เฉิงเซียง นางเพียงเหยียบย่ำร่างของหยูเฟยหนักขึ้นอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ไป๋เฉิงเซียงบ้าน้ำลายต่อไป
แน่นอนว่าฝูงชนซึ่งมารวมตัวกันในที่นี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ครั้นได้ยินถ้อยคำที่น่าตกใจของไป๋เฉิงเซียง ต่างก็อ้าปากค้างกล่าวคำใดไม่ออก
พระเจ้าพวกเขาได้ยินอะไรผิดไปหรือไม่ ไป๋หยานเป็นคณิกาดาวเด่นของหอบุปผากระนั้นรึ ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจกับข่าวที่น่าตื่นตกใจนั้นพลันเสียงโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น “ไป๋หยาน ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ !”
เสียงนั้นฟังคุ้นหูมากมากเสียกระทั่งทำให้นางเลิกคิ้ว นัยน์ตาแวววาวของนางหันไปทางหนานกงอี้
”โดนโบยไปตั้งสองร้อยไม้ฟื้นตัวเร็วดีนี่ !”
ใบหน้าของหนานกงอี้เปลี่ยนไปทันทีที่เขาสามารถหายเร็วถึงเพียงนี้นั้น ต้องขอบคุณสวรรค์ที่เขามีบิดาเป็นถึงฮ่องเต้ ทำให้เขาได้รับยาอายุวัฒนะระดับสี่ที่เก็บไว้ในท้องพระคลังหลวง
โชคร้ายที่ท้องพระคลังมียานี้เหลือเพียงสองเม็ดเม็ดหนึ่งสำหรับตัวเขา อีกเม็ดสำหรับหลินเอ๋อ…บุตรชายของเขา
ส่วนไป๋รั่วนั้นนางยังคงต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง เพราะมิได้รับยานั่น
”ฮึหากข้ามิฟื้นตัวได้เร็ว ข้าคงมิรู้ว่าแท้จริงเจ้าทำงานที่น่าขยะแขยงเช่นนั้น !” สีหน้าของหนานกงอี้แลดูไม่ได้เลย เขากำหมัดแน่น
การแสดงออกของหนานกงอี้เช่นนี้หากคนที่ไม่รู้เรื่องราวมาเห็นเข้า ก็คงต้องคิดไปว่าไป๋หยานเป็นเมียที่กำลังมีชู้ของเขา
ไป๋หยานไม่สนใจหนานกงอี้นางหันไปมองไป๋เฉิงเซียง ด้วยแววตาเย็นเยือก “ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดบอกเจ้า ว่าข้าเป็นคณิกาของหอบุปผา ทว่าเจ้าก็ช่างเชื่อคนง่ายเสียเหลือเกิน นิสัยนี้ของเจ้าต่อให้ถึงวันตายก็คงไม่เปลี่ยน”
”ทว่า…”นางยิ้มเศร้า ๆ “ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรข้า ข้าก็ไม่สน เพียงแต่ข้าจะไม่ทนหากผู้ใดรังแกเซียวเอ๋อ !”
***จบบทจะไม่ทน (2)***
บทที่ 184 : นางเป็นหัวหน้าหอบุปผา (1)
หนานกงอี้หัวเราะเยาะ
เขามาช้าไปหน่อยจึงพลาดฉากการต่อสู้ระหว่างไป๋เฉิงเซียงกับผู้คุ้มกฏซ้าย เช่นนั้นเขาจึงคิดว่าไป๋เฉิงเซียงโกรธไป๋หยานกระทั่งกระอักเลือด
เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าวเขาก็ยิ่งดูถูกนาง “เจ้าเป็นเพียงนางโลมชั้นต่ำ กล้าทำตัวกระด้างกระเดื่อง หากไม่มีอ๋องคังให้การหนุนหลัง เจ้าจะสามารถทำตัวยโสเช่นนี้หรือ ? รอให้อ๋องคังรู้ความจริงเรื่องเจ้าเป็นหญิงคณิกาก่อนเถิด เจ้าคิดว่าเขายังจะต้องการเจ้าอีกกระนั้นรึ ?”
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากจะรับสตรีผู้นี้เป็นพระสนม ทว่าหลังจากที่ได้เห็นนางทำตัวต่ำ ๆ ทั้งไม่รักศักดิ์ศรีตนเองเช่นนี้ อย่าว่าแต่เป็นพระสนมเลย เป็นนางกำนัลของเขา นางก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอ
”โอ้! ข้าไม่รู้เลย นี่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหอบุปผาของข้ามีคณิกาดาวเด่นด้วย ? เหตุใดตัวข้ายังไม่รู้เลยว่าข้ามีคณิกาดาวเด่นด้วย ?”
น้ำเสียงที่มีเสน่ห์ดังขึ้นจากด้านหลังเสียงนั่นฟังเย็นเยือก กระทั่งทำให้ทุกคนใจสั่นสะท้าน
ไป๋หยานยิ้มเมื่อหลายปีก่อน ครั้งที่นางเข้าครอบครองหอบุปผา ภายหลังจากช่วยชีวิตฮัวหลัวไว้ นางตั้งกฎว่าสาว ๆ ในหอบุปผาทุกคนต่างเท่าเทียม ไม่มีใครดีเด่นไปกว่าใครทั้งสิ้น เช่นนั้นตำแหน่งคณิกาดาวเด่นจึงหายไปจากหอบุปผา
ฝูงชนต่างเปิดทางให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาทันที
ผู้ที่เดินนำหน้ามาเป็นหญิงสาวแสนสวยสองคน
ทั้งสองนางต่างก็เป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์พูดถึงความแตกต่างระหว่างหญิงสาวทั้งสองแล้ว หญิงที่เดินนำหน้ามีเสน่ห์ทว่าเย็นชา ส่วนอีกคนมีเสน่ห์แพรวพราว
”มาม่าฉู่? นั่นมาม่าฉู่จากหอบุปผามิใช่หรือ ? นางมาทำอะไรที่นี่ ? ”
”แล้วหญิงสาวที่เดินนำมาม่าฉู่ผู้ที่กล่าวว่าไม่มีคณิกาดาวเด่นในหอบุปผานั่น นางหมายถึงอะไร ?”
สีหน้าท่าทางของผู้คนเต็มไปด้วยความสับสนสายตาของพวกเขาต่างจ้องมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามาอย่างตื่นตะลึง
ความจริงที่ว่าหอบุปผาได้ยกเลิกตำแหน่งคณิกาดาวเด่นนั้นเป็นที่รู้กันเฉพาะแวดวงผู้ที่ทำงานที่นั่น มิได้แพร่หลายสู่คนทั่วไป ว่าการแข่งขันชิงตำแหน่งคณิกาดาวเด่นประจำปีไม่มีอีกต่อไปแล้ว
เรื่องนี้เป็นผลมาจากความคิดของไป๋หยานนางประสงค์ให้หอบุปผาเป็นองค์กรสายลับระดับโลก เช่นนั้นจึงไม่สมควรเสียเวลากับการแข่งขันงี่เง่านั่น นับแต่นั้นเป็นต้นมาหอบุปผาจึงยกเลิกการแข่งขันคณิกาดาวเด่น
ผู้คุ้มกฏซ้ายหยุดมือที่กำลังตบหยูหรงเขาก้าวช้า ๆ เข้าไปหาฮัวหลัว จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยขอคารวะท่านหัวหน้า !”
บูม!
หัวหน้าหอบุปผา?
ทุกคนต่างตกตะลึงพวกเขาพร้อมใจกันหันไปมองฮัวหลัวเป็นตาเดียว
นี่นางเป็นเจ้าของหอบุปผาผู้ซึ่งมีฐานะเทียบเท่าฮ่องเต้ในอาณาจักรนี้กระนั้นรึ ?
อายุยังน้อยอยู่เลย!
ใบหน้าของฮัวหลัวเย็นชา”ข้าสั่งให้เจ้าอารักขาคุณชายเซียว เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เขาได้รับบาดเจ็บ”
ผู้คุ้มกฏซ้ายตัวสั่นเทา“ข้าน้อยรับผิด ยินดีรับโทษทัณฑ์”
”ผู้ที่จะลงโทษเจ้าหาใช่ข้าไม่หากข้าเชื่อว่ายามนี้นางคงยุ่งเกินกว่าจะจัดการเจ้า” ฮัวหลัวยิ้ม พลันสายตาเย็นยะเยือกของนางก็หันไปหาไป๋เฉิงเซียง ผู้ซึ่งกำลังตกตะลึง “ไป๋เฉิงเซียง ในชีวิตนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดโง่เง่าเช่นเจ้ามาก่อนเลย ข้าจะช่วยเปิดตาให้เจ้าเอง”
ไม่มีหลักฐานใดแม้แต่น้อยเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น เจ้ากลับกล่าวหาว่าแม่นางไป๋หยานเป็นคณิกาดาวเด่นของหอบุปผา เจ้ากล้าดียังไงที่ออกมาประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชน ?
”ท่าน..ท่านเจ้าหอบุปผา…” ครั้นเห็นฮัวหลัว ไป๋เฉิงเซียงก็กล่าวคำตะกุกตะกักลิ้นพันกันยุ่งเหยิงไปหมด
นางคือคนที่เขาพยายามเข้าไปประจบสอพลอทว่ากลับไม่เคยได้พบหน้าเลย
ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
แต่ก่อนที่เขาจะหายจากอาการตกใจนั้นน้ำเสียงเย็นชาของไป๋หยานก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ฮัวหลัว เจ้ามาจัดการคนตระกูลหยูนี่ก่อนเลย !”
นี่นาง…สั่งเจ้าหอบุปผาเลยกระนั้นรึ ?
เมื่อไป๋เฉิงเซียงเห็นว่าไป๋หยานกล้าสั่งฮัวหลัวนั่นมิเท่ากับนางรนหาที่ตายหรอกรึ เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสของเขาแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนออกมาทันที “ไป๋หยาน ผู้ใดใช้ให้เจ้ากล้ากล่าววาจาเช่นนั้นกับท่านเจ้าหอบุปผา ?”
***จบบทนางเป็นหัวหน้าหอบุปผา (1)***
บทที่ 185 : นางเป็นเจ้าหอบุปผา (2)
”ฮุฮุ”
ฮัวหลัวหัวเราะอย่างเย็นชาน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ยและเสียดสี “ไป๋เฉิงเซียง เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่ ? หากนายหญิงของข้าไม่สั่งข้า ต้องเป็นเจ้าหรือที่สั่งข้า ?”
”แม่นางฮัวหลัวข้าเพียง … ”
ไป๋เฉิงเซียงพยายามอธิบายทว่าจู่ ๆ เขาก็เบิกตากว้าง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและตระหนกตกใจ
”แม่นางฮัวหลัว…ท่านเรียกนางว่ากระไรนะ ?”
ความเป็นจริงไป๋เฉิงเซียงควรจะเดาตัวตนของไป๋หยานได้ในทันทีที่ผู้คุ้มกฏซ้ายเรียกฮัวหลัวว่า “ท่านหัวหน้า” แล้วเรียกไป๋หยานว่า “นายหญิง”
หากแต่ในเวลานั้นเขาคิดเพียงจะเอาอกเอาใจฮัวหลัว จึงลืมคำเรียกขานของผู้คุ้มกฏซ้าย นี่นับเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
”ไป๋เฉิงเซียงเจ้าควรจะต้องขอบคุณความมีโชคของเจ้า หาไม่เจ้าคงจะตายไปแล้ว”
เหตุเพราะนายหญิงของนางต้องการสืบหาความจริงเรื่องการตายของหลานเยี่ยส่วนหมอตำแยก็ตายไปแล้ว เบาะแสเดียวที่เหลือก็คือบ้านสกุลไป๋ หากมิใช่ด้วยเหตุผลนี้ บ้านสกุลไป๋คงถูกทำลายไปแล้ว !
แน่นอนว่าการที่ไป๋เฉิงเซียงยังรอดชีวิตมาได้นับเป็นโชคของเขา ทว่าแม้วันนี้เขาจะรอด เขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจพิการจากฝีมือของนายหญิงเป็นแน่ !
จากนั้นฮัวหลัวซึ่งเพิกเฉยต่อสายตาตื่นตะลึงของผู้คนก็เดินก้าวออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า นางคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋หยาน เอ่ยกล่าวด้วยความเคารพว่า “นายหญิง ข้ามาช้าไป โปรดลงโทษข้าด้วย”
ไป๋หยานแต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงแพรวพราวแลดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนสายลมไล้อาภรณ์ของนางปลิวไสวงดงามราวภาพวาด
นัยน์ตาของนางจ้องมองใบหน้าซีดขาวของไป๋เฉิงเซียงริมฝีปากของนางขยับยกยิ้ม
ไป๋เฉิงเซียงซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวกระทั่งต้องยึดต้นไม้ด้านหลังเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ร่างทรุดลงกับพื้น
หัวใจของเขาเจ็บปวดราวโดนเข็มทิ่มแทงตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่ออะไร ? มิใช่เพราะต้องการเอาอกเอาใจฮัวหลัวหรอกหรือ ?
ทว่าตอนนี้นางกลับบอกว่าเจ้าหอบุปผาก็คือบุตรสาวของเขา บุตรสาวที่เขาทอดทิ้ง
บุตรสาวของเขาคือนายหญิงของหอบุปผานางเป็นเจ้าของหอบุปผาที่แท้จริง !
ช่างน่าขันใช่หรือไม่?
ไป๋เฉิงเซียงรู้สึกเจ็บปวดหากเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของไป๋หยาน เขาจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีนับแต่วันที่นางกลับมาบ้านวันแรกเลยทีเดียว !
”จะเป็นไปได้อย่างไร…?” ใบหน้าของหนานกงอี้ซีด ทั้งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เขากำหมัดแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความปวดร้าว
เมื่อครู่เขาได้ยินว่าไป๋หยานเป็นนางคณิกาที่หอบุปผา เขารู้สึกดีใจจริง ๆ ! เขายินดีเหลือเกินที่วันนั้นเขาเลือกไม่ผิด เขาอยากจะหัวเราะใส่หน้าตี้คังที่อยากจะอภิเษกกับสตรีที่ให้ความสุขผู้ชายมานับไม่ถ้วน !
ทว่าตอนนี้…หัวหน้าหอบุปผากลับบอกว่าไป๋หยานมิใช่นางคณิกาดาวเด่นหากแต่เป็นเจ้าหอบุปผา !
หอบุปผานั่นมีอำนาจเทียบเท่าราชสำนัก ! เหตุใดไป๋หยานถึงเป็นเจ้าของที่นั่นได้ !
เหตุใดถึงเป็นนาง!
หากเปรียบเทียบกันแล้วสำหรับไป๋เฉิงเซียงนั้นคือความเสียใจ ขณะที่หนานกงอี้คือความปวดร้าวใจ ผู้คนที่เหลือรอบ ๆ กายพวกเขาต่างก็ตกตะลึง ขณะที่บางคนก็สมน้ำหน้า
“คนตระกูลไป๋ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของไป๋หยานกลับกล่าวหาว่านางเป็นนางคณิกาดาวเด่นของหอบุปผา ชิ ! ญาติสนิท พวกเขาใส่ร้ายนางโดยที่ไม่ตรวจสอบก่อนเลย ! ”
”ไม่น่าแปลกใจที่ไป๋หยานและน้องชายของนางจะไม่ให้อภัยพวกเขาหากเป็นข้าก็คงไม่อยากมีญาติแบบนี้เช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ผู้คนเหล่านี้เคยกล่าวตำหนิไป๋เซียวมาก่อน หากแต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ไป๋เฉิงเซียงกระทำ ความดื้อด้านของไป๋เซียวก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งเลวร้ายนัก
กับญาติแบบนี้ผู้ใดบ้างล่ะจะไม่ดื้อรั้นด้วย ? ว่าแต่พวกเขาเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ ใช่มั้ยนี่ ?”
คนทั่วไปใครบ้างล่ะจะทำเรื่องเช่นนี้ได้?
ครั้นได้ยินผู้คนโดยรอบกล่าวคำตำหนิใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงพลันกระตุก เขาต้องการแก้ต่างให้กับตนเอง ทว่าหลังจากเห็นสีหน้าเย็นชาของไป๋หยาน เขาก็กล่าวคำใดไม่ออก…