จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 251-255
บทที่ 251 : สู้กันให้พอ แล้วมาเป็นเพื่อนกัน (3)
”ครอบครองโลกบ้าบออะไรกัน? ขนาดบุตรสาวของข้าอายุน้อยกว่าองค์ชายนั่นหนึ่งปี ยังแข็งแกร่งกว่าเขาเลย แค่ก้อนขี้หมาหมายจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ครอบครองโลก”
หวังตี้จวินถ่มน้ำลายลงพื้นเขาหมายจะหันหลังกลับและเดินจากไป ทว่าในช่วงเวลานั้นเขาก็เห็นไป๋หยานยังยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังถัดไป
”แม่นางไป๋หยานข้าทำเรื่องน่าขันต่อหน้าท่าน” หวังตี้จวิน ยิ้มอย่างเขินอาย
“ไม่หรอกข้าเองก็เพิ่งผ่านมา แล้วก็ได้เห็นเรื่องดี ๆ ” ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเตรียมยาเม็ดที่เจ้าต้องการเกือบเรียบร้อยแล้ว อีกสองวันให้หลังเจ้ามาที่คฤหาสน์ของข้ารับมันไปได้เลย”
ครั้นได้ยินเรื่องยาเม็ดนัยน์ตาของหวังตี้จวินพลันสว่างไสวขึ้น พร้อมกันนั้นรอยยิ้มของเขาก็ฉีกกว้างขึ้นด้วย “ตกลง อีกสองวันข้าจะไปรับยาตามสัญญา พร้อมกับชำระเงินค่ายาทั้งหมด”
ไป๋หยานยิ้มไม่กล่าวคำใดก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ณตำหนักรัชทายาท
ไป๋รั่วและหนานกงอี้นั่งอยู่ในศาลา ทั้งคู่กำลังชมหนานกงหลินฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ด้านล่าง
ดาบในมือของหนานกงหลินนั้นสั้นมากสั้นพอ ๆ กับกริช อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่ถึงครึ่งนาที เขาก็หอบแฮ่ก ๆ ทั้งเหงื่อยังออกพรั่งพรู
“เสด็จพ่อเสด็จแม่ ลูกเหนื่อยมากแล้ว ลูกหยุดฝึกศิลปะการต่อสู้ก่อนจะได้หรือไม่ ?”
ไป๋รั่วโบกมือเรียกอันธพาลน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ครั้นเขามาถึงนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหยาดเหงื่อให้เขา แววตาของนางเต็มไปด้วยความปวดร้าวใจ “หลินเอ๋อ หากเจ้าเหนื่อยก็พักก่อนเถิด เพราะแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็ตาม อย่างไรเสียในวันหน้าเจ้าก็จะเป็นผู้นำอาณาจักรหลิวฮั่วนี้อยู่ดี”
การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นี้อันธพาลน้อยเป็นคนเสนอที่จะฝึกเอง
เขาเคยถูกหวังเสี่ยวผางทุบตีทั้งยังไม่สามารถทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้ นั่นทำให้หัวใจของเขาทุกข์ระทมเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องฝึกฝนทั้งที่ไม่ชอบเลย
เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ …
เดิมทีอาวุธที่หนานกงอี้เตรียมไว้สำหรับตนเองนั้นหนักและยาวเกินไปในที่สุดเขาก็พบดาบสั้น น้ำหนักเบาที่เหมาะกับเขา ทว่าหลังจากฝึกฝนได้เพียง 1 เค่อ (15 นาที) เขาก็เหนื่อยแล้ว
อย่างไรก็ตามในสายตาของไป๋รั่วและหนานกงอี้ทั้งคู่ก็ยังคงภาคภูมิใจในตัวบุตรชาย
”หลินเอ๋อบิดาเตรียมของว่างไว้ให้เจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด” หนานกงอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มพึงใจ “รั่วเอ๋อ ข้าควรขอบใจเจ้าที่ให้กำเนิดบุตรชายที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ให้ข้า”
ไป๋รั่วหน้าแดงพลางกล่าวอย่างเขิน ๆ “องค์ชาย ตรัสอะไรก็ไม่รู้เพคะ”
“แม้จะยังเด็กทว่าหลินเอ๋อก็มีความทะเยอทะยานสูง แตกต่างจากลูกไม่มีพ่ออย่างไป๋เสี่ยวเฉิน ที่วัน ๆ เอาแต่ออกมาเล่นนอกบ้าน ทั้งยังสร้างปัญหาอยู่ร่ำไป เขาไม่เคยรู้จักการฝึกฝนอย่างหนักเช่นนี้ ! เมื่อเทียบกับบุตรชายของข้า เขาสู้ไม่ได้เลย”
ทุกครั้งที่กล่าวถึงไป๋เสี่ยวเฉินนัยน์ตาของหนานกงอี้ก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาหวังจะฉีกลูกไม่มีพ่อนั่นออกเป็นชิ้น ๆ
”รัชทายาทไป๋เสี่ยวเฉินยังเด็กนัก การตรัสถึงเด็กเช่นนั้นจะดีเหรอเพคะ ?” ใบหน้าของไป๋รั่วระบายไปด้วยรอยยิ้ม นางซ่อนความเกลียดชังไว้ในแววตา พลางเอ่ยกล่าวเบา ๆ ว่า “นอกจากนี้ หลินเอ๋อเองก็ไม่เคยสร้างปัญหาไม่ว่าเรื่องใด”
”หลินเอ๋อเป็นคนจากราชวงศ์สัตว์อสูรไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด เขาก็ไม่ผิด เขาเพียงแค่แสดงพลังอำนาจให้ประจักษ์ก็เท่านั้น”
”ตรงกันข้ามไป๋เสี่ยวเฉินหากไม่พึ่งพิงอิทธิพลของหอบุปผาจะทำอะไรได้ ? ไว้ข้าได้ไป๋หยานมาเป็นสนมก่อนเถิด เขากล้าดีอย่างไรมากลั่นแกล้งหลินเอ๋อ ! คนที่ไม่มีผู้ให้การหนุนหลัง หากกล้าทำอะไรเกินหน้าเกินตา รับรองได้ว่าจะต้องตายไร้ดินกลบฝัง ! ”
อย่างที่คนโบราณว่าไว้ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น
ไป๋หยานเป็นสตรีที่โหดเหี้ยมไป๋เสี่ยวเฉินเองก็คงไม่แตกต่าง !
บทที่ 252 : คิดว่าตัวเองถูกเสมอ (1)
หลินเอ๋อช่างน่าสงสารถูกไป๋เสี่ยวเฉินรังแกอย่างโหดเหี้ยม ! กระทั่งก่อนหน้านี้ เขาก็เกือบเผาหลินเอ๋อทั้งเป็น !
บัดนี้ดูเหมือนหนานกงอี้จะลืมไปแล้วว่าหนานกงหลินเป็นผู้จุดไฟเผาหนานกงซุ่นก่อน ส่วนไป๋เสี่ยวเฉินก็เพียงแก้แค้นแทนหนานกงซุ่น
แต่ถึงแม้ว่าหนานกงอี้จะจำได้เขาก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องจริงจัง เพราะในความคิดของเขา ด้วยฐานะผู้นำแห่งสรรพสัตว์ หนานกงหลินไม่เคยทำสิ่งใดผิด ! หนานกงหลินจะฆ่าผู้ใดก็ได้ที่เห็นสมควร !
ทันใดนั้นเองขันทีก็เดินเข้ามาอย่างร้อนรน
หลังจากเห็นสภาพที่น่าสังเวชของขันทีไป๋รั่วก็เกิดอาการตกใจเล็กน้อย
”ขันทีหลินเกิดอะไรขึ้น ?”
”รัชทายาทพระชายา” ขันทีกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ “คนในบ้านสกุลหวังนั่นทำเกินไปจริง ข้าเพียงขอให้เขาส่งบุตรสาวของเขาเข้าวังมาให้พระนัดดา เขาไม่เพียงจะปฏิเสธ ทว่ายังโยนข้าออกจากบ้าน ! ซ้ำยังตีท้ายทอยอีกด้วย”
ใบหน้าของหนานกงอี้เคร่งขรึมขณะหันไปหาไป๋รั่ว”รั่วเอ๋อ มันเกิดอะไรขึ้น ?”
ไป๋รั่วอ้าปากค้างนางถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ “หลินเอ๋อสนใจในตัวเด็กหญิงผู้นั้น ทั้งยังต้องการจะรับนางเป็นพระสนม หม่อมฉันก็เลยส่งคนไปเจรจาสู่ขอ
หนานกงอี้ขมวดคิ้ว”หลินเอ๋อ เพิ่งมีอายุได้เพียงห้าขวบ เขาจะนอนร่วมห้องกับผู้หญิงได้อย่างไร ?”
”รัชทายาทหม่อมฉันเพียงจะพาเด็กหญิงผู้นั้นเข้าวังก่อนก็เท่านั้น วันใดที่หลินเอ๋อเติบใหญ่ ค่อยให้พวกเขาร่วมห้องกัน แต่ผู้ใดจะรู้ว่า…” ไป๋รั่วกัดริมฝีปาก “นี่หลินเอ๋อไม่ดีพอกระนั้นหรือ พวกเขาถึงได้ปฏิเสธ ?”
ทันทีที่กล่าวประโยคนี้จบใบหน้าของหนานกงอี้ซึ่งแต่เดิมก็ดำคร่ำเครียดอยู่แล้ว พลันยิ่งดำหนักขึ้นไปอีก
“บุตรชายของข้าไม่มีเกียรติพอกระนั้นหรือในภายหน้าเขาจะเป็นผู้ที่พิเศษที่สุด ไยจึงปฏิเสธเขา ?” หนานกงอี้เยาะ “รั่วเอ๋อ ข้าจะกลับไปที่วัง ให้บิดาของเด็กหญิงผู้นั้นส่งบุตรสาวของตนไปที่ตำหนักข้า”
ไป๋รั่วลดสายตาลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตานางลอบอมยิ้ม
“รัชทายาทกระทำเช่นนี้จะเหมือนการใช้กำลังลักพาตัวหรือไม่ ?”
”นั่นมันพวกโจรที่ลักพาลูกสาวชาวบ้านทว่าหลินเอ๋อเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าจะออกราชโองการ จะเรียกว่าไปลักพาลูกสาวของชาวบ้านได้อย่างไร ? เจ้ารอก่อน ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าบังคับพาตัวเด็กหญิงมาเพราะเกรงว่าการกระทำดังกล่าวจะทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์
ทว่าหากมีพระราชโองการให้เด็กหญิงมาเป็นพระสนมย่อมจะไม่มีผู้ใดกล้าตำหนิเขาว่าลักพาตัวเด็กหญิง !
ในใจของไป๋รั่วลิงโลดครั้นหนานกงอี้เดินจากไป นางก็นั่งลงรอฟังข่าวดี
เพียงเวลาไม่นานร่างที่แข็งแกร่งของหนานกงอี้ก็ปรากฏต่อสายตาของนางอีกครั้ง
นางผลุนผลันลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยถามว่า”รัชทายาท พระองค์ได้ราชโองการมาแล้วกระนั้นหรือ ?”
หนานกงอี้ส่ายศีรษะ”รั่วเอ๋อ เดาสิว่า ที่ข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเมื่อครู่นั้น ข้าได้ยินสิ่งใด ?”
ครั้นได้ยินสิ่งนี้ไป๋รั่วก็ตกตะลึง นางจ้องมองใบหน้าที่เปี่ยมสุขของหนานกงอี้
”รัชทายาทเกิดอะไรขึ้นเพคะ ?”
”ข้าได้ยินบทสนทนาระหว่างเสด็จพ่อของข้ากับท่านเสนาบดีพรรคสัตว์อสูรมีจดหมายแจ้งมาว่า พวกเขาได้ส่งตัวแทนมาเยือนอาณาจักรของเรา และตัวแทนของพวกเขาจะมาถึงภายในระยะเวลาอันใกล้นี้”
อำนาจของพรรคสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชวงศ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าหอบุปผาหลายเท่านัก เหตุใดพรรคสัตว์อสูรจึงมาเยือนที่นี่ ?
”รั่วเอ๋อ”หนานกงอี้เชิดริมฝีปากของเขาขึ้นอย่างภาคภูมิ “พรรคสัตว์อสูรมาที่นี่เพราะหลินเอ๋อ”
ไป๋รั่วเงยหน้าขึ้นมองแววตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “รัชทายาท ทรงหมายความว่ากระไรเพคะ ? หลินเอ๋อไปเกี่ยวข้องกับพรรคสัตว์อสูรตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
บทที่ 253 : คิดว่าตัวเองถูกเสมอ (2)
”ข้าเองก็ได้ยินมาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น”หนานกงอี้กล่าว แววตาของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้น “เสด็จพ่อของข้าบอกกับท่านเสนาบดีว่า ตัวแทนจากพรรคสัตว์อสูรมาที่นี่ก็เพื่อค้นหาคนจากเผ่าสัตว์อสูร นั่นมิได้เป็นการพิสูจน์หรือว่าเขามาหาหลินเอ๋อ ?”
หัวใจของไป๋รั่วเต็มไปด้วยความปิติยินดีนางไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องน่ายินดีจะมาถึงเร็วเพียงนี้
”แล้วตัวแทนจากพรรคสัตว์อสูรระบุว่าหลินเอ๋อเป็นสมาชิกของเผ่าสัตว์อสูรด้วยหรือไม่ ?”
ใบหน้าของหนานกงอี้เต็มไปด้วยความพึงใจ”ในอาณาจักรหลิวฮั่วของข้า นอกจากหลินเอ๋อแล้ว ยังจะมีผู้ใดมีความสามารถเช่นนี้อีก ? เป็นที่รู้กันดีถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่หลินเอ๋อถือกำเนิด เช่นนั้นตัวแทนจากพรรคสัตว์อสูรคงจะไม่โง่จนไม่รู้เรื่องเหล่านี้”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวไป๋รั่วก็รู้สึกไม่สบายใจ
เรื่องผ่านมาก็ตั้งห้าปีแล้วเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่โจษจันไปทั่วโลก ก็แล้วเหตุใดพรรคสัตว์อสูรจึงเพิ่งมาเยือนในวันนี้ ?
ยิ่งไปกว่านั้นครานั้นเป็นนางที่สั่งให้แพร่กระจายข่าวลือนั่น
”เสด็จพี่หม่อมฉัน เข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะเตรียมหลินเอ๋อให้พร้อมเพื่อพบกับตัวแทนจากพรรคสัตว์อสูร” ไป๋รั่วยกยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงของนางฟังดูนุ่มนวลมาก
นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำลายเส้นทางรุ่งโรจน์ของหลินเอ๋อผู้ใดก็ตามที่ขวางทางหลินเอ๋อจะต้องถูกกำจัดออกไป !
และคนแรกก็คือคนที่รู้ว่านางเป็นคนสร้างเรื่องนี้!
“เสด็จแม่”หนานกงหลินเงยหน้าขึ้นเอ่ยถาม “พรรคสัตว์อสูรนี่แข็งแกร่งมากใช่หรือไม่ ?”
ไป๋รั่วกลับมารู้สึกตัวนางยกยิ้มขณะตอบ “แน่นอน”
”แล้วเทียบกับหอบุปผาล่ะ?”
”แน่นอนว่าพรรคสัตว์อสูรนั้นมีอำนาจมากกว่า”ไป๋รั่วนวดศีรษะให้หนานกงหลินพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
”ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ พรรคสัตว์อสูรก็รู้แล้วว่าเจ้าเป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ พวกเขาจะต้องยอมรับเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะกลายเป็นผู้นำของพรรคสัตว์อสูร ตราบใดที่เจ้าไม่ยั่วยุราชวงศ์สัตว์อสูรในดินแดนที่ถูกผนึก เจ้าก็จะเป็นใหญ่ในโลกใบนี้ ”
แววตาของอันธพาลน้อยสว่างไสวขึ้น”แล้วลูกจะรังแกไป๋เสี่ยวเฉินได้หรือไม่ ?”
”ด้วยความคุ้มครองของพรรคสัตว์อสูรเจ้าสั่งให้ไป๋เสี่ยวเฉินนอนหงาย เขาก็จะไม่กล้ายืน ให้เขาคุกเข่า เขาก็จะไม่กล้านั่ง”
เด็กไม่มีพ่อนั่นได้รับการคุ้มครองจากอ๋องคังแล้วไง? ความแข็งแกร่งของพรรคสัตว์อสูรนั้นไม่เลวนัก บางทีอาจจะไม่ได้ด้อยกว่าอ๋องคังเลยด้วยซ้ำ
”เสด็จแม่ลูกอยากจะเป็นผู้นำพรรคสัตว์อสูร” อันธพาลน้อยกระโดดขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น “ลูกจะดูสิว่า เวลาที่ไป๋เสี่ยวเฉินถูกผู้อื่นรังแกบ้าง เขาจะเป็นอย่างไร ?”
รอยยิ้มของไป๋รั่วอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนนางจะเห็นภาพไป๋หยานคุกเข่าลงต่อหน้านาง พร้อมกับร้องขอความเมตตา พลันริมฝีปากของนางก็ยกโค้งขึ้น
”เสด็จพี่หม่อมฉันขอกลับไปเยี่ยมบ้านสกุลไป๋เพคะ”
หนานกงอี้ขมวดคิ้ว”เจ้าจะกลับไปทำอะไรที่บ้านสกุลไป๋ ? เจ้าไม่กลัวจะเสื่อมเสียไปด้วยกระนั้นหรือ ?”
”หากหม่อมฉันไม่กลับไปเกรงว่าท่านแม่อาจจะถูกฆ่าตายเสียก่อน” ไป๋รั่วยิ้ม นางมองหนานกงอี้อย่างน่าเวทนา “นอกจากนี้ บิดามารดาต่อให้กระทำผิดพลาดมากเพียงใด ทว่าท่านทั้งสองก็ยังคงเป็นบิดามารดาของหม่อมฉัน”
ครั้นมองเห็นสภาพอันน่าเวทนาของไป๋รั่วหัวใจของหนานกงอี้ก็อ่อนลงเล็กน้อย “เจ้ากลับไปได้ ทว่าเจ้าต้องกลับมาภายในหนึ่งชั่วยาม”
รั่วเอ๋อของเขาจิตใจงามเสมอ เขาจะปล่อยให้นางเป็นคนอกตัญญูได้อย่างไร ?
”ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่”
ไป๋รั่วยิ้มนัยน์ตาที่สวยงามของนางเปล่งประกายอ่อนโยน “เสด็จพี่เชื่อพระทัยได้ รั่วเอ๋อยังคงเหมือนเดิมเสมอ ! หม่อมฉันจะไม่ทำสิ่งใดให้อับอายขายหน้าราชวงศ์”
ครั้นไป๋รั่วยืนยันสีหน้าแววตาของหนานกงอี้ก็ผ่อนคลายลง “รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”
”เพคะเสด็จพี่”
นับแต่เกิดเรื่องราวใหญ่โตในวันนั้นบ้านสกุลไป๋ก็หม่นหมองราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก
บทที่ 254 : คิดว่าตัวเองถูกเสมอ (3)
ครั้นไป๋รั่วก้าวข้ามธรณีประตูบ้านสกุลไป๋เข้าไปนางก็แทบจะจำไม่ได้ว่าลานหน้าบ้านที่รกเรื้อนี้คือสถานที่ซึ่งนางเติบโตขึ้นมา
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแววตาของนางเต็มไปด้วยความไม่พึงใจ นางค่อย ๆ เดินเลี่ยงกองขยะ ไปตามทิศทางสู่สวนหลังบ้าน
ไกลออกไปไป๋รั่วได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวน และเสียงคำรามดุดันของใครบางคน เสียงเหล่านั้นฟังดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของนางยิ่งแลดูเคร่งเครียดขณะเดินไปทางห้องห้องหนึ่ง
ภายในห้องนั้นไป๋เฉิงเซียงมีใบหน้าเย็นชา เขาถือไม้ด้ามยาวในมือ ขณะฟาดลงบนหลังของหยูหรงอย่างแรง เสียงเฟี้ยวดังขึ้นจากไม้ที่หวดปะทะสายลม
หยูหรงคุกเข่าอยู่กับพื้นใบหน้าที่ซีดและบวมเป่งของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา หน้าท้องของนางยังคงปูดโปน หากแต่นางก็เข้าใจดีว่าในครรภ์ของนางไม่มีชีวิตที่นางรอคอยมาแสนนานอีกต่อไป
”ท่านพ่อท่านเลิกตีเถอะ !”
ไป๋จื่อร้องไห้พลางทรุดตัวลงคุกเข่า “ได้โปรดอย่าตีท่านแม่อีกเลย ท่านพ่อตีท่านแม่ จนท่านแม่แทบจะตายอยู่แล้ว”
”หุบปาก!” ไป๋เฉิงเซียงตบหน้าไป๋จื่อ เขากล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าจริง ๆ รึเปล่า ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ เจ้ายังมีหน้ามาขอร้องแทนนางแพศยาคนนี้อีกหรือ ? บอกมาตรง ๆ ลูกในท้องของเจ้าเป็นลูกของผู้ใด ?”
หยูหรงเงยหน้าขึ้นใบหน้าของนางแลดูน่าสังเวช ร่างของนางสั่นเทา ราวกับนางจะล้มลงได้ตลอดเวลา
”พอได้แล้ว!” หยูฮูหยินผู้เฒ่าผลักบานประตูเข้ามา นางมองไปที่ร่างสั่นเทาของหยูหรง ใบหน้าเหี่ยว ๆ ของนางเคร่งเครียด “เจ้าจะฆ่า หรงเอ๋อเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของไป๋หยาน เจ้าไม่เชื่อใจภรรยาที่นอนเคียงข้างเจ้าบ้างเลยกระนั้นหรือ ? ”
แววตาของไป๋เฉิงเซียงเย็นชาขณะกวาดมองหยูฮูหยินผู้เฒ่า”ท่านป้า ข้าเคารพท่านในฐานะผู้อาวุโส ถึงได้ไม่ตีท่าน หากแต่ข้าไม่เชื่อว่า ท่านไม่มีส่วนรู้เห็นว่านางแพศยาคนนี้อุ้มท้องลูกชู้ …”
หยูฮูหยินผู้เฒ่าหายใจขัด
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาไป๋เฉิงเซียงให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้เรียกนางว่าป้ามานานมากแล้ว หากแต่ตอนนี้เขากลับเรียกนางว่าป้า นั่นทำให้นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย
”เฉิงเซียงข้ายืนยันว่า เด็กในท้องของหรงเอ๋อคือลูกของเจ้า ไม่ใช่ลูกชู้”
”งั้นรึ?” ไป๋เฉิงเซียงเยาะ
ก่อนหน้านี้เขาเชื่อคำพูดของแม่-ลูกคู่นี้มาก ทว่าตอนนี้เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย เขาจะเชื่อนางอีกได้อย่างไร ?
“เฉิงเซียงเจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่า รั่วเอ๋อเป็นถึงพระชายา ส่วนหลินเอ๋อในวันหน้าก็จะได้นั่งบัลลังก์ หากเจ้าปฏิบัติต่อหรงเอ๋อเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวรั่วเอ๋อจะเกลียดเจ้ากระนั้นรึ ?” ครั้นหยูฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าว่าไม่อาจทำให้ไป๋เฉิงเซียงจลดความโกรธแค้นลงได้ นางจึงกัดฟันอ้างไป๋รั่วออกมาเป็นการข่มขู่
ไป๋เฉิงเซียงมองหญิงชราพลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเกรงว่ารั่วเอ๋อกับหลินเอ๋อจะอยู่ได้ไม่ถึงวันนั้นน่ะสิ”
ปัง!
ทันทีที่เขาจบประโยคประตูก็ถูกผลักเปิดออก ไป๋รั่วยืนอยู่ตรงประตูในชุดหรูฉิน (儒裙) สีฟ้าอ่อน
”ผู้ใดกล่าวว่าหลินเอ๋อจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงเวลานั้น?”
ครั้นเห็นไป๋รั่วไป๋เฉิงเซียงก็ขมวดคิ้ว “เจ้ากลับมาได้อย่างไร ?”
ไป๋รั่วเชิดริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชา”หากข้าไม่กลับมา มารดาของข้าคงต้องถูกท่านฆ่าตายเป็นแน่ !”
กล่าวจบนางก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วนางหยุดยืนเบื้องหน้าหยูหรง ก่อนจะช่วยพยุงหยูหรงให้ลุกขึ้น
”ท่านแม่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ?”
หยูหรงมองใบหน้างดงามตรงหน้าพลันน้ำตาของนางก็ไหลพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ ริมฝีปากของนางสั่นระริก “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว หากเจ้ากลับมาช้ากว่านี้อีกวัน แม่เกรงว่าจะไม่ได้พบหน้าเจ้าอีก ”
”ท่านแม่ครั้งนี้ข้ากลับมาก็เพื่อช่วยท่าน” ไป๋รั่วมอบหยูหรงผู้ซึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ให้กับไป๋จื่อ จากนั้นนางก็หันไปมองไป๋เฉิงเซียง “เมื่อครู่ท่านพูดว่าหลินเอ๋อและข้า อาจไม่สามารถอยู่ได้ถึงวันนั้น เพราะไป๋หยานใช่หรือไม่ ? ”
ไป๋เฉิงเซียงหัวเราะเยาะ”ไป๋หยานเกลียดชังตระกูลไป๋ของเรามาก มีหรือที่นางจะปล่อยพวกเราไป ?”
บทที่ 255 : ไป๋เฉิงเซียงผู้จองหอง (1)
หากมิใช่เป็นเพราะการกระทำของหยูหรงไป๋หยานก็คงจะไม่เลือดเย็นกับคนตระกูลไป๋ถึงเพียงนี้ และเขาก็อาจจะทำให้คนของหอบุปผาเคารพนับถือเขาในฐานะบิดาของนาง
ยิ่งคิดถึงความทรงอำนาจของหอบุปผาหากแต่เขากลับพลาดมันไป ไป๋เฉิงเซียงก็ยิ่งเจ็บปวด ใบหน้าของเขายิ่งดูย่ำแย่หนักกว่าเดิม
ไป๋รั่วเยาะ”นางจะทำอะไรข้าได้ ? แค่เพราะมีอ๋องคังกับหอบุปผากระนั้นรึ ? โชคไม่ดีที่อีกไม่นานอ๋องคังก็จะต้องยอมก้มหัวศิโรราบให้แก่หลินเอ๋อ ! และหอบุปผานั่นก็ต้องถูกทำลาย เมื่อถึงวันนั้นคนอย่างไป๋หยานยังจะมีหน้าอะไรมาพูดจากับข้า ?
สำนักระดับกลางก็ยังแบ่งออกเป็นสำนักที่แข็งแกร่งและสำนักที่อ่อนแอพรรคสัตว์อสูรเองก็นับเป็นกลุ่มอำนาจที่มีฐานะพอ ๆ กับสำนักระดับกลางที่แข็งแกร่ง หากหลินเอ๋อกลายเป็นศิษย์ของพรรคสัตว์อสูร ในโลกนี้ผู้ใดจะสามารถแข่งขันกับเขาได้
ส่วนสำนักแข็งแกร่งทั้งสามซึ่งไม่เคยเปิดเผยตัวนั้นพวกเขาไม่ได้อยู่ในแผนการของไป๋รั่ว
แม้ว่าสำนักเหล่านั้นจะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งสักเพียงใดทว่าพวกเขาก็อาศัยอยู่อย่างสันโดษตามภูเขาและป่าไม้ พวกเขาจะแข่งขันกับหลินเอ๋อเพื่อขึ้นสู่อำนาจสูงสุดของโลกได้อย่างไร ?
ไป๋เฉิงเซียงตกตะลึง”สิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงกระนั้นหรือ ?”
”ท่านพ่อรู้เรื่องพรรคสัตว์อสูรหรือไม่?” แววตาของไป๋รั่วส่องประกายอำมหิต “ตอนนี้ องค์รัชทายาทได้รับจดหมายจากตัวแทนของพรรคสัตว์อสูร พวกเขาสนใจในตัวหลินเอ๋อมาก พวกเขากำลังมาที่อาณาจักรหลิวฮั่ว ครานี้หลินเอ๋อก็จะได้เข้าพรรคสัตว์อสูร และจะกลายเป็นลูกศิษย์ของพรรค”
จุดประสงค์ของพรรคสัตว์อสูรก็คือตามหาคนของเผ่าสัตว์อสูรแต่คำพูดของไป๋รั่วกลับทำให้ผู้ฟังเข้าใจราวกับว่าตัวแทนจากพรรคสัตว์อสูรกำลังจะมาหาหนานกงหลิน
”พี่ใหญ่พรรคสัตว์อสูรสนใจในตัวหลินเอ๋อจริง ๆ เหรอ ?” ไป๋จื่อยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้นแววตาของนางเปล่งประกาย
ครั้นเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของไป๋จื่อไป๋รั่วก็พยักหน้ารับ “หลินเอ๋อเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง ไม่น่าแปลกใจหรอกที่เขาจะเป็นที่ดึงดูดใจของพรรคสัตว์อสูร”
”เช่นนั้นอ๋องคังจะทิ้งไป๋หยาน และหันมาแต่งงานกับข้าใช่หรือไม่ ?”
แม้ถึงตอนนี้ไป๋จื่อก็ยังไม่อาจล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับอ๋องคัง
ไป๋รั่วหัวเราะ”จื่อเอ๋อ เจ้าเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของอ๋องคังเถอะ อ๋องคังก็แข็งแกร่งมาก แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะมิอาจเทียบเท่าพรรคสัตว์อสูรก็ตาม ทว่าในวันหน้าตระกูลไป๋ของเราก็ต้องดึงเขามาร่วมสกุลอยู่ดี !”
“สำหรับหอบุปผาก็น่าเสียดายนักที่จะต้องถูกทำลายไปเสียเฉยๆ” ไป๋รั่วยิ้มเยาะ “ท่านแม่ ท่านเตรียมตัวรับหอบุปผา เถอะ เพราะในวันหน้าทุกอย่างของไป๋หยานก็จะตกเป็นของเรา”
หยูหรงตกใจมากนางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่นางได้ยิน แววตาของนางเต็มไปด้วยความงุนงง “รั่วเอ๋อ แม่จะได้เป็นเจ้าหอบุปผาจริง ๆ เหรอ ?”
เมื่อไม่นานมานี้พวกเขายังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอาอกเอาใจคนของหอบุปผา
ทว่าอีกไม่นานหอบุปผาก็จะเป็นของนางแล้วงั้นหรือ?
นัยน์ตาสีเข้มของหยูหรงเต็มไปด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูกมันสว่างไสวขึ้นมาทันที นอกจากนี้นัยน์ตาทั้งคู่ยังเต็มไปด้วยประกายแวววาว
”อย่าว่าแต่หอบุปผาเลยมากมายกว่านี้ข้าก็ให้ท่านได้ ขอเพียงท่านไม่ทรยศข้า !”
คนเห็นแก่ตัวเช่นนางมีหรือจะทำเพื่อครอบครัวด้วยความจริงใจ ? นางเพียงต้องการผู้สนับสนุน ผู้ที่จะไม่ทรยศนาง และหากไป๋เฉิงเซียงและหยูหรงกล้าขวางทางนางแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นบิดามารดานางก็สามารถกำจัดได้ !
หลังจากสิ้นสุดคำเตือนไป๋รั่วก็หันไปหาไป๋เฉิงเซียงอีกครั้ง “ท่านพ่อ ข้าเชื่อว่าท่านแม่มิได้ทรยศท่าน ยามนี้ไป๋หยานอาจมีความสามารถที่แข็งแกร่ง แม้ว่านางจะพิสูจน์เลือดได้ก็จริง ทว่านางก็สามารถบิดเบือนถูกให้เป็นผิดได้อย่างแน่นอน ต่อไปข้าไม่ต้องการให้ท่านดุว่าท่านแม่เช่นนี้อีก”
ไป๋เฉิงเซียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า”ได้ ข้าจะไม่ตีนางอีก”
ครั้นได้ยินคำสัญญาของไป๋เฉิงเซียงไป๋รั่วก็ยิ้ม “องค์รัชทายาท ไม่อาจอยู่ห่างข้าได้ พระองค์อนุญาตให้ข้าออกจากวังเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น นี่ก็ได้เวลาที่ข้าควรกลับแล้ว ไว้พบกันคราหน้า”
แท้จริงแล้วหนานกงอี้ไม่ต้องการให้ไป๋รั่วติดต่อกับคนสกุลไป๋มากกว่ามิใช่ไม่อยากห่างจากนาง