จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 261-265
บทที่ 261 : ป่วยก็ควรรีบรักษา (3)
ไป๋รั่วกำลังคิดว่าพรรคสัตว์อสูรมีจุดประสงค์ใดในการกระทำเช่นนี้สีหน้าของนางจึงแลดูไม่ดีนัก ทว่านางก็ยังพยายามตอบคำถามของหนานกงหลิน
”หลินเอ๋อเสด็จปู่ของลูกเป็นผู้ออกพระราชโองการให้เด็ก ๆ มาที่นี่ หากไม่มีเด็กพวกนี้ลูกจะแสดงความสามารถของลูกได้อย่างไร”
”แล้วไป๋เสี่ยวเฉินล่ะ?” หนานกงหลินเอ่ยถามพร้อมทำหน้ามุ่ย
ไป๋รั่วสงบสติอารมณ์พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน”ไป๋เสี่ยวเฉิน จะเทียบเจ้าได้อย่างไร ? ต่อให้เขามา เขาก็เพียงเข้ามามีส่วนร่วม ลูกไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขา”
หนานกงหลินเกลียดไป๋เสี่ยวเฉินมากครั้นบอกว่าไป๋เสี่ยวเฉินมาเป็นเพียงตัวประกอบให้เขา เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น
“เสด็จแม่พูดถูกไป๋เสี่ยวเฉินจะเทียบลูกได้อย่างไร ลูกเป็นเจ้าของโลกใบนี้ ส่วนเขาเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่า วันหน้าลูกจะทำให้เขาคุกเข่าลงซบแทบเท้าของลูก ร้องขอความเมตตาจากลูก”
ไป๋รั่วยิ้มอย่างไม่สบายใจนักนางถอนหายใจ
นางหวังว่าที่องค์รัชทายาทมีรับสั่งว่าคนเหล่านี้มาที่นี่เพียงเพื่อให้หลินเอ๋อแลดูโดดเด่นขึ้นจะเป็นเรื่องจริง เพราะหากคนจากพรรคสัตว์อสูรพบว่าข่าวลือนั่นแพร่กระจายไปจากนางแล้วล่ะก็ นางก็คงจะต้องพบเรื่องเศร้าเป็นแน่
ในขณะที่ไป๋รั่วทอดสายตามองไปเบื้องหน้าทันใดนั้นเองเงาร่างที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในระยะสายตาของนาง
”หม่ามี้เหตุใดป๊ะป๋าวายร้ายถึงไม่ได้มาด้วยกันล่ะ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินยืดศีรษะขึ้นมองโดยรอบทว่าเขาก็ยังไม่เห็นเงาร่างของอ๋องคัง เขารู้สึกผิดหวัง
“อืม”ไป๋หยานลูบคางของนางเบา ๆ พลางกล่าวว่า “อ๋องคังกล่าวว่า ให้พวกเราล่วงหน้ามาดูละครสนุก ๆ ก่อน ส่วนตัวเขาจะตามมาในภายหลัง”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาอย่างสงสัยทันใดนั้นเองเสียงจากด้านหน้าก็ดึงความคิดของเขากลับมา
”อ๊า!”
เสียงแหลมดังก้องไปทั่วฟ้าทำให้ทุกคนต่างก็หันไปมองภาพที่ปรากฏก็คือตี้เสี่ยวอวิ๋นกำลังยืนเท้าสะเอวด้วยความโกรธ
เบื้องหน้าของตี้เสี่ยวอวิ๋นปรากฏหญิงสาวผู้หนึ่งนางถูกตี้เสี่ยวอวิ๋นสาดน้ำอุจจาระใส่ หญิงผู้นั้นลุกขึ้นยืนด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้
”ดูเหมือนว่าอาหญิงของข้าจะสร้างปัญหาอีกแล้ว… ”
นัยน์ตากลมโตของไป๋เสี่ยวเฉินดูเหมือนจะพึงพอใจกับการแสดงที่เห็นอยู่ตรงหน้า
”ไปดูกันเถอะ”แววตาของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นางจูงมือบุตรชายเดินเข้าไปหาตี้เสี่ยวอวิ๋นอย่างแช่มช้า
ครั้นเห็นไป๋หยานตี้เสี่ยวอวิ๋นก็รู้สึกผิด นางยิ้มอย่างเคอะเขิน “พี่สะใภ้ … ”
พี่สะใภ้กระนั้นรึ?
คำนี้ทำให้ผู้คนหันมองตี้เสี่ยวอวิ๋นจากนั้นก็หันไปมองไป๋หยาน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
คนอื่นๆ ต่างเกรงกลัวความแข็งแกร่งของหอบุปผากระทั่งไม่กล้ากล่าวคำใด ทว่าเด็กสาวที่ถูกตี้เสี่ยวอวิ๋นสาดน้ำอุจาระใส่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ นางเลยไม่กลัวตาย “ข้าคิดว่า อ๋องคังจะรักเดียวใจเดียวซะอีก มิคาดคิดว่าจะมีหญิงใหม่รวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งน้องสาวของนางก็ยังน่าขยะแขยงพอกัน ! ”
”ไร้สาระ!” ตี้เสี่ยวอวิ๋นโกรธ นางจ้องกลับ “ตี้คังเป็นพี่ชายของข้า !”
“ฮ่าฮ่าอ๋องคังจะมีน้องสาวที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้ากระนั้นหรือ ?” เด็กสาวหัวเราะเยาะพร้อมกับกล่าวเหน็บแนม
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหัวร้อนขึ้นทันทีนางต้องการให้บทเรียนเด็กสาวคนนี้เสียเหลือเกิน ทว่าสายตาเย็นชาของไป๋หยานกราดมามองนางเสียก่อน
”บอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
ถ้อยคำของไป๋หยานทำให้ตี้เสี่ยวอวิ๋นชะงัก นางยิ้มประจบ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยออกไปก่อเรื่องร่วมกับหลานเสี่ยวหยุนและฉู่อีอี้ พวกเราได้ทุบตีบุตรสาวขุนนางในเมืองหลวงจำนวนนับไม่ถ้วน หญิงผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่รู้ว่านางเอาน้ำอุจจาระนี่มาจากที่ใด นางพยายามสาดใส่ข้า ทว่าข้ากันไว้ได้ น้ำอุจจาระนั่นก็เลยสาดใส่ตัวนางเอง”
”พี่สะใภ้… ” หลังจากอธิบายจบ ตี้เสี่ยวอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นอย่างน่าสงสาร “พี่ไม่โกรธข้าหรือ ?”
บทที่ 262 : ป่วยก็ควรรีบรักษา (4)
”โกรธรึ?”
ไป๋หยานหัวเราะเบาๆ ครั้นเห็นตี้เสี่ยวอวิ๋นคอหด นางก็หันไปมองหญิงสาวผู้นั้น จากนั้นก็ยกขาของนางขึ้นเตะหญิงผู้นั้นออกไปอย่างฉับพลัน
”ดูซะ! ไยเจ้าจึงมัวเสียเวลาสนทนากับคนเช่นนี้อยู่ได้ ? ลงมือเลย หากตายข้าจะมาเก็บกวาดตามหลังเอง !”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงนัยน์ตาที่งดงามและไร้เดียงสาของนางจ้องมองไป๋หยานอย่างไม่อาจละสายตาได้เป็นเวลานาน
นางเคยเห็นแต่ความโหดเหี้ยมของพี่ชายบัดนี้ได้มาเห็นความเลือดเย็นของพี่สะใภ้แล้ว หัวใจของนางถึงกับเต้นตูมตาม
”เจ้า… ”
หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นยืนนางอยากจะระบายความโกรธ ทว่าสาวใช้ผู้ซึ่งอยู่ข้างกายนางกระซิบข้างหูนางว่า “คุณหนู หญิงผู้นี้เป็นเจ้าหอบุปผา อีกทั้งยังเป็นคู่หมั้นของอ๋องคัง หากท่านเสนาบดีรู้ว่าคุณหนูทำให้นางโกรธ ท่านเสนาบดีจะต้องโมโหมากเป็นแน่”
หญิงสาวกลั้นหายใจทว่านางก็ไม่กล้าลุกขึ้น นางกราดตามองสาวใช้พลางกล่าวว่า “ผู้ใดใช้ให้เจ้าพูด !”
หากแต่นางก็ไม่กล้าทำอะไรอีกเพราะเกรงว่าบิดาของนางจะตีนาง !
“พี่ใหญ่ข้ารู้ว่า พี่ต้องมา”
น้ำเสียงที่นุ่มนวลอีกทั้งอ่อนหวานดังมาจากด้านหลัง ทำให้ไป๋หยานขนลุกวาบ
ไป๋รั่วเห็นไป๋หยานไม่สนใจนางนางก็เดินเข้าไปยืนข้าง ๆ หลุบตาลงแล้วยิ้ม “แท้จริง พี่ไม่ควรมาเลย เพราะถึงมาก็เป็นเพียงตัวประกอบของหลินเอ๋อเท่านั้น”
ไป๋หยานมองไป๋รั่วพร้อมรอยเยาะในแววตา”ข้าได้ยินมาว่า หนานกงอี้เกือบจะถูกฆ่าตายตอนพยายามทำสัตว์ป่าให้เชื่องมิใช่หรือ ? นี่เขาคงเรียนรู้การทำให้สัตว์ป่าเชื่องได้แล้ว เช่นนั้นจึงวางแผนที่จะมาทำให้สัตว์อสูรเชื่องบ้าง”
ไป๋รั่วตกตะลึง”ทำให้สัตว์อสูรเชื่องกระนั้นรึ ? เจ้าหมายถึงอะไร”
นอกจากนี้…
เรื่องที่หลินเอ๋อเกือบถูกหมาป่าฆ่าตายเมื่อไม่นานมานี้นางก็ออกคำสั่งให้ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ปิดปากเงียบ ก็แล้วเหตุใดหญิงสารเลวผู้นี้ถึงล่วงรู้ได้ ?
”เจ้าหมายถึงอะไรงั้นรึ? ลองเดาดูเองสิ”
ไป๋หยานยักไหล่พร้อมกับเบือนหน้าหนีเล็กน้อย จากนั้นนางก็ไม่มองไป๋รั่วอีกเลย
ไป๋รั่วขมวดคิ้วราวกับยังคิดไม่ออกว่าไป๋หยานหมายถึงอะไร ? ทว่าทันใดนั้นเองหนานกงหลินก็กระโดดออกจากราชรถ เขาเดินยกเท้าสูงอย่างมั่นใจเข้าไปหาไป๋เสี่ยวเฉิน
เขาเชิดหน้าอ้วนๆ ขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ไป๋เสี่ยวเฉิน เสด็จแม่ของข้าบอกว่า เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อเป็นตัวประกอบให้ข้า ! ข้าจะเป็นผู้นำน้อยของพรรคสัตว์อสูร สรรพสัตว์ทั้งปวงจะเชื่อฟังคำสั่งของข้า ! ต่อไป เมื่อเจ้าเห็นข้า เจ้าต้องคุกเข่าให้ข้า ได้ยินมั้ย ? ”
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองหนานกงหลิน”หม่ามี้ของข้าสอนข้าว่า อย่าคุยกับคนงี่เง่า เพราะเราจะติดเชื้องี่เง่ามาด้วย”
”งี่เง่า?” หนานกงหลินงงงวย “คนงี่เง่าที่ไหนกัน ? นี่ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินงั้นรึ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ”หากเจ้าป่วยเจ้าควรรีบรักษาแต่เนิ่น ๆ หากชักช้า สมองของเจ้าอาจจะเสียหายอย่างสิ้นเชิง”
หนานกงหลินไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าไป๋เสี่ยวเฉินว่าเขาเขายกกำปั้นขึ้นหมายจะทุบตีไป๋เสี่ยวเฉิน ทว่าไป๋รั่วกลับรั้งตัวเขาไว้
”หลินเอ๋ออย่าหุนหันพลันแล่น เสด็จพ่อของเจ้ากำลังเข้าเฝ้าเสด็จปู่ ยามนี้เขายังไม่อาจออกมาปกป้องพวกเรา เลิกวุ่นวายกับไป๋เสี่ยวเฉินสักครู่เถิด”
นัยน์ตาของหนานกงหลินแดงด้วยความเศร้า”ลูกเป็นเจ้าแผ่นดินนะ ในวันหน้าลูกจะควบคุมแผ่นดินใหญ่นี้ เหตุใดลูกต้องกลัวไป๋เสี่ยวเฉินด้วยล่ะ เสด็จแม่ ? … ”
”หลินเอ๋อเมื่อเจ้าได้เป็นศิษย์ ได้ใกล้ชิดท่านผู้นำพรรคสัตว์อสูร เจ้าค่อยจัดการเขาดีหรือไม่ ? เมื่อถึงตอนนั้นจะมีคนคอยช่วยเหลือให้การสนับสนุนเจ้าเป็นแน่”
แม้ไป๋รั่วจะกล่าวปลอบใจหนานกงหลินทว่าแววตาของนางก็ฉายประกายอำมหิต เพราะไม่ว่าอย่างไร นางก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดทำลายเส้นทางรุ่งโรจน์ของบุตรชายนางเป็นแน่ !
บทที่ 263 : เริ่มจากทำให้สัตว์อสูรเชื่อง (1)
”ฮ่องเต้เสด็จแล้ว!”
ทันใดนั้นเองเสียงแหลมเล็กก็ดังมาจากที่ไกลๆ พลันเสียงที่เคยดังอยู่โดยรอบบริเวณก็เงียบงัน
ทุกสายตาต่างกำลังเฝ้าดูและแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาก็คือ บุรุษผู้สง่างามในเสื้อคลุมสีเหลืองสดใส
นอกจากหนานกงหยวนแล้วยังมีชายชราผู้ซึ่งแลดูกระฉับกระเฉงอีกคน
เขาก้าวย่างมาอย่างช้าๆ เสื้อคลุมแขนยาวของเขาขาวสะอาดราวกับชุดเซียนผู้มีจิตใจสูงส่งและซื่อตรง
”รั่วเอ๋อ”หนานกงอี้เหลือบเห็นไป๋รั่ว ภายหลังจากสนทนากับหนานกงหยวนไม่กี่ประโยค เขาก็รีบไปยืนข้าง ๆ ไป๋รั่ว แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายแสงสดใส “เมื่อครู่ เสด็จพ่อบอกข้าว่า ครั้งนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของราชวงศ์สัตว์อสูร เด็กผู้นั้นจะต้องทำให้สัตว์อสูรเชื่องในที่สาธารณะ”
”ทำให้สัตว์อสูรเชื่องในที่สาธารณะกระนั้นรึ?”
ภายหลังจากที่ได้ยินถ้อยคำดังกล่าวลิ้นของไป๋รั่วก็พันกันเล็กน้อย นางนึกถึงถ้อยคำของไป๋หยานได้ทันที
‘นี่เขาคงเรียนรู้การทำให้สัตว์ป่าเชื่องได้แล้วเช่นนั้นจึงวางแผนที่จะมาทำให้สัตว์อสูรเชื่องบ้าง’
แสดงว่าไป๋หยานรู้จุดประสงค์ที่พรรคสัตว์อสูรมาที่นี่นับแต่แรกแล้ว
“รั่วเอ๋อเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล หลินเอ๋อเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง ย่อมต้องไม่มีอันตรายใด ๆ” หนานกงอี้คิดว่าไป๋รั่วรู้สึกเป็นกังวลจึงยิ้มปลอบใจ “นอกจากนี้ เขาก็โตมากแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่เขาจะได้สัมผัสประสบการณ์จริงสักที”
ใบหน้าของไป๋รั่วเปลี่ยนเป็นขาวซีด”นี่มิได้หมายความว่าพรรคสัตว์อสูรยอมรับในตัวตนของหลินเอ๋อนับแต่แรกหรอกหรือ ? เหตุใดถึงต้องให้หลินเอ๋อมาที่นี่อีกล่ะ ? รัชทายาทจะไม่อนุญาตให้หลินเอ๋อไปทำให้สัตว์อสูรเชื่องใช่หรือไม่ ? ข้าเป็นห่วงเขา”
“หม่อมฉันไม่ยอม!” หนานกงหลินทำปากจู๋ “หม่อมฉันเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง สัตว์อสูรเหล่านั้นจะต้องเชื่อฟังหม่อมฉัน พวกมันจะทำร้ายหม่อมฉันได้อย่างไร หม่อมฉันจะให้สัตว์อสูรกินไป๋เสี่ยวเฉิน !”
”หลินเอ๋อ!” ไป๋รั่วกล่าวประท้วงอย่างเป็นกังวล
นางคิดไม่ถึงเลยว่าพรรคสัตว์อสูรจะให้มาทำให้สัตว์อสูรเชื่องในที่สาธารณะ !
“เอาล่ะเจ้าไม่ต้องกังวล หลินเอ๋อไม่เป็นอันตรายหรอก” หนานกงอี้ยิ้ม” ข้าเชื่อว่าโอรสของข้าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ข้าอยากให้ไป๋หยานรู้เสียทีว่า ไป๋เสี่ยวเฉินไม่มีดีอะไรเลย ”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นจ้องหนานกงอี้ก่อนจะหันไปหาไป๋หยาน “พี่สะใภ้ ขอข้าทุบเขาสักทีจะได้หรือไม่ ?”
”ได้สิ”ไป๋หยานกล่าวพร้อมกับจิกริมฝีปากจนแหลม “หากแต่ต้องภายหลังจากการทำให้สัตว์อสูรเชื่องจบลงแล้วนะ ไว้ค่อยจัดการกับเขาทีหลัง !”
ชั่วแวบแววตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นพลันสว่างไสวขึ้นช่างเป็นความรู้สึกดีที่มีพี่สะใภ้คอยถือหาง ให้นางสามารถก่อเรื่องได้อย่างเปิดเผย ทั้งพี่ชายก็ไม่กล้าว่ากล่าวนางสักคำ
”กลิ่นอะไรกันนี่เหม็นจัง”
หนานกงหยวนขมวดคิ้วเขาค่อย ๆ ชำเลืองมองหญิงสาวจากคฤหาสน์ของเสนาบดีซึ่งเต็มไปด้วยมูลสัตว์
”เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้? กล้าดียังไง ! ถึงได้มารบกวนผู้อาวุโสหลี่หมิง”
เด็กสาวผู้นั้นต้องการจะร้องไห้อย่างสำนึกผิดแต่ครั้นเห็นสายตาที่ราวกับจะฆ่าคนได้ของอีกฝ่าย นางก็ได้แต่กัดฟันก่อนจะถอยออกไปจากที่นั่นโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองอีกเลย
”ผู้อาวุโสหลี่หมิง”หนานกงหยวนหันไปหาหลี่หมิง “ตอนนี้เราเริ่มกันได้แล้ว”
”อืม”
หลี่หมิงกล่าวอย่างเย็นชา”ยกกรงเข้ามา”
ทันทีที่จบประโยคเหล่าองครักษ์ในชุดสีน้ำเงินก็เดินแบกกรงออกมาจากด้านหลัง
กรงนั้นถูกผ้าสีแดงคลุมกระทั่งมิดไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกรงนั้นได้
”วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำการค้นหาผู้ที่มาจากราชวงศ์สัตว์อสูร ผู้ใดก็ตามที่สามารถทำให้สัตว์อสูรตัวนี้เชื่องได้ก็จะเป็นเจ้าแห่งสัตว์อสูร !” ผู้อาวุโสหลี่หมิงกล่าวเปิดงาน น้ำเสียงของเขาดังก้องกังวานเข้าหูของทุกคน
เพียงครู่ดวงตาของทุกคนก็หันไปทางสมาชิกสามคนของราชวงศ์หนานกงด้วยความอิจฉา
บทที่ 264 : เริ่มจากทำให้สัตว์อสูรเชื่อง (2)
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตระกูลไป๋คือตระกูลยิ่งใหญ่อันดับต้นๆ นั่นเป็นเพราะอิทธิพลของพรรคสัตว์อสูรนี่เอง !
ข่าวลือที่ว่าหนานกงหลินเกิดมาจากราชวงศ์สัตว์อสูรนั่นเป็นที่รู้กันทั่วทั้งราชอาณาจักรยามนี้พรรคสัตว์อสูรต้องมาเพื่อหนานกงหลินอย่างแน่นอน
สำหรับการทำให้สัตว์อสูรเชื่องครั้งนี้
ก็เป็นเพียงละครให้คนอื่นๆ ดูก็เท่านั้น
หนานกงอี้มีความสุขมากเมื่อเห็นแววตาอิจฉาเหล่านั้น เขาลูบศีรษะของหนานกงหลิน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “หลินเอ๋อ อย่าทำให้พ่อผิดหวังนะ”
“เสด็จพ่อหม่อมฉันไปทำให้สัตว์อสูรนั่นเชื่องได้แล้วใช่หรือไม่ ?” แววตาของหนานกงหลินเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาไม่ลืมที่จะมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยใบหน้าอ้วนกลมที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ทว่าไป๋เสี่ยวเฉินไม่มองเขาเลยแม้แต่น้อยหากแต่กลับจ้องมองมังกรแก้วในกรงด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
“ช้าก่อน!”
ครั้นเห็นหนานกงหลินเดินไปที่กรงไป๋รั่วก็รีบยื่นมืออกไปห้ามโดยไม่รู้ตัว นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย “หลินเอ๋อ คนสำคัญที่สุดมักจะขึ้นเวทีในนาทีสุดท้าย เจ้าปล่อยให้พวกเขาออกโรงก่อนเถอะ”
“เสด็จแม่ตรัสได้ถูกต้อง”หนานกงหลินพยักหน้า “หม่อมฉันเป็นคนสำคัญที่สุด เช่นนั้นหม่อมฉันจึงควรจะอยู่บนเวทีในช่วงเวลาสุดท้าย !”
คำกล่าวอ้างนั้นทำให้หนานกงหลินชะงักเพราะคิดได้ว่าเมื่อเด็กเหล่านั้นล้มเหลว ก็จะยิ่งขับความสามารถของเขาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
“ว้าว!”
ถึงตอนนี้มีใครบางคนยกผ้าแดงขึ้น และทันใดนั้นก็เผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างใหญ่โตภายในกรง
มันเป็นมังกรขนาดใหญ่ความยาวแปดฟุตมีสี่กรงเล็บและสามปีก ดวงตาสีมรกตของมันแลดูดุร้าย เสียงคำรามต่ำอู้อี้ในลำคอ มันมองคนรอบตัวอย่างระแวดระวัง
“ผู้ใดจะเข้ามาก่อน”หลี่หมิงเอ่ยถามอย่างสงบ
เด็กชาวบ้านคนหนึ่งลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ก้าวเข้าไปหามังกรแก้วอย่างระมัดระวัง แต่ครั้นยิ่งเขาก้าวเข้าไปใกล้มังกรแก้วมากขึ้นเท่าไหร่ แววตาอันดุดันของมังกรแก้วก็ทำให้เขาตกใจกลัวมากขึ้นเท่านั้น ที่สุดเขาก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“แม่จ๋าข้ากลัว ข้าอยากกลับบ้าน”
หลี่หมิงมองเด็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า“คนต่อไป … “
มีเด็กอายุห้าขวบจำนวนมากจากทั่วอาณาจักรมารวมตัวกันที่นี่ทว่าพวกเขายังไม่โตพอ พวกเขาหวาดกลัวจนร้องไห้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าใกล้มังกรแก้ว อีกทั้งไม่กล้าก้าวเท้าไปข้างหน้าก็ตามที
แววตาของหลี่หมิงแลดูผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นว่ามีเด็กเหลืออยู่เพียงสองคนเท่านั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น เขาเกือบจะตวาดใส่หนานกงหยวนด้วยซ้ำ
ในอาณาจักรหลิวฮั่วนี่มีเด็กจำนวนมากมาย ก็แล้วเหตุใดถึงไม่สามารถหาคนในราชวงศ์สัตว์อสูรได้เล่า ?
ครั้นหนานกงหยวนเห็นใบหน้าที่ไม่สู้ดีของหลี่หมิงเขาก็หันไปมองหนานกงหลินอย่างรวดเร็ว “หลินเอ๋อ เจ้ามัวรีรออะไรอยู่ ยังไม่รีบออกมาอีก ?”
หนานกงหลินตกใจกระทั่งพูดตะกุกตะกัก “แต่ไป๋เสี่ยวเฉินยังไม่ได้ออกไปเลย”
หากมิให้ไป๋เสี่ยวเฉินออกไปประสบกับความล้มเหลวเสียก่อนเขาจะแสดงความแข็งแกร่งได้อย่างไร ?
“รีบมาไวๆ อย่าทำให้ผู้อาวุโสหลี่หมิงรำคาญใจ เจ้าไม่ต้องการเข้าร่วมพรรคสัตว์อสูรอีกแล้วกระนั้นรึ ?” ใบหน้าของหนานกงหยวนแลดูน่าเกลียดมาก ยามที่จ้องมองหนานกงหลิน แต่ครั้นเขาหันไปหาหลี่หมิง เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง “ผู้อาวุโสหลี่หมิง นี่คือหลานชายของเรา ครั้งนี้ท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”
ครั้นหลี่หมิงมองร่างอวบอ้วนของหนานกงหลินแล้วเขาก็ขมวดคิ้วพลางกล่าวเบา ๆ ว่า “ข้าเองก็หวังเช่นนั้น”
“หลินเอ๋อ”หัวใจของไป๋รั่วอึดอัดเสียเหลือเกิน นางอยากออกไปอุ้มหนานกงหลิน ทว่าหนานกงอี้กลับยื่นมือออกมาห้ามนาง
“รั่วเอ๋อเจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวบุตรชายของเราหรือ ? เขาเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมที่สุด เขาจะไม่มีวันล้มเหลวเป็นแน่”
หนานกงอี้ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
ไป๋รั่วไม่กล่าวคำใดนางจ้องหนานกงหลินผู้ซึ่งกำลังเดินเข้าไปหามังกรแก้ว ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
หากหลินเอ๋อล้มเหลวแล้วล่ะก็… นางคง
บทที่ 265 : เริ่มจากทำให้สัตว์อสูรเชื่อง (3)
ไม่…หลินเอ๋อจะต้องไม่ล้มเหลว ! สวรรค์เอ็นดูนางอยู่เสมอ จะทำให้นางผิดหวังได้อย่างไร ?
ช่วงเวลานั้นหนานกงหลินก็เดินมาถึงด้านข้างของกรงมังกรแก้ว เขาสังเกตเห็นดวงตาที่ดุร้ายของมังกรแก้ว พลันหัวใจของเขาก็สั่นไหว ทว่าเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความกล้าหาญ
“ดูสิผู้อาวุโสหลี่หมิง ข้าบอกแล้วว่าหลินเอ๋อใช้ได้”
ใบหน้าของหนานกงหยวนเผยรอยยิ้มพึงพอใจเด็ก ๆ เหล่านั้นต่างก็หวาดกลัวมังกรแก้วทั้งที่ยังไม่ได้เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ ทว่าบัดนี้หลานชายของเขากลับเดินเข้าไปยืนข้าง ๆ กรงโดยไม่เกรงกลัวสายตาของมังกรแก้ว
จะมีสักกี่คนในโลกที่องอาจกล้าหาญเทียบเท่าเขาได้?
“ข้า… ข้าเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง” เสียงของหนานกงหลินสั่นสะท้าน “และเมื่อเจ้าเป็นสัตว์อสูร เจ้าก็ควรเชื่อฟังข้า ไม่ต้องกังวลหากเจ้าติดตามข้า ข้าสัญญาว่า ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี จะทำให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว”
หลี่หมิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ เด็กอ้วนตัวน้อยนี้ไปยั่วยุมัน หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ
หากเขาสามารถทำให้มังกรแก้วยอมเป็นผู้รับใช้ได้จริงก็ดีแต่หากทำไม่ได้ล่ะก็…
ประกายแสงเย็นๆ พลันส่องสว่างจากดวงตาของเขา ขณะจับจ้องหนานกงหลินผู้ซึ่งบัดนี้ยืนนิ่งอยู่ข้างกรง
“เอ่อ…หากเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับนะ” ครั้นหนานกงหลินเห็นว่ามังกรแก้วไม่ว่าอะไร เขาก็คิดว่ามันยินยอม เขามีความสุขมาก เขาพยายามที่จะสัมผัสหัวของมังกรแก้ว
“กรรร!”
ทุกคนต่างก็คิดว่าหนานกงหลินกำลังจะทำสำเร็จกระทั่งเสนาบดีบางคนยังออกมาแสดงความยินดีกับหนานกงอี้แล้ว
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงคำรามดังขึ้นพลันร่างของหนานกงหลินก็ลอยละลิ่ว เขาตกลงสู่พื้น พร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“เสด็จแม่มันคำรามใส่หม่อมฉัน มันเป็นข้ารับใช้ของหม่อมฉัน มันกลับกล้าส่งเสียงคำรามใส่หม่อมฉัน !”
สวนหลังวังหลวงพลันเงียบกริบมีเพียงเสียงร้องไห้ของหนานกงหลินเท่านั้นที่ได้ยินก้องไปทั่วท้องฟ้า
ใบหน้าของไป๋รั่วซีดเผือดนางซวนเซไปมาสองสามก้าว กระทั่งเกือบจะล้มลงกับพื้น ริมฝีปากของนางสั่นระริก แววตาของนางแลดูสิ้นหวัง
“คนถัดไป”
หลี่หมิงไม่ได้มองไป๋รั่วเลยเขาเพียงเอ่ยเบา ๆ
“ไม่มีทางไม่มีทาง !” เสียงของหนานกงอี้สั่นสะท้าน “ต้องมีบางอย่างผิดพลาด ท่านอาวุโสหลี่หมิงให้โอกาสหลินเอ๋ออีกสักครั้งเถิด ครานี้เขาต้องสามารถทำให้สัตว์อสูรนั่นเชื่องได้เป็นแน่”
หลี่หมิงหัวเราะเยาะ“ข่าวลือนี่ไม่น่าเชื่อถือเลยจริง ๆ ท่านหัวหน้าพรรคสายตากว้างไกลนักที่ให้ข้านำมังกรแก้วติดมาด้วย เอ่อ… เมื่อครู่เจ้าว่าไงนะ ?”
“อาวุโสหลี่หมิงเมื่อครู่หลินเอ๋อไม่มีสมาธิ ให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเถอะ เขาจะต้องทำสำเร็จแน่”
หลินเอ๋อถือกำเนิดมาจากราชวงศ์สัตว์อสูรเป็นที่รู้กันดีทั่วอาณาจักร เช่นนั้นจะล้มเหลวได้อย่างไร ?
“ผู้อาวุโสหลี่หมิงพระโอรสของเรากล่าวได้ถูกต้อง แค่เพียงครั้งเดียวจะมีความหมายอะไร” หนานกงหยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราหวังว่าท่านผู้อาวุโสหลี่หมิงจะให้โอกาสพระนัดดาของเราอีกสักครั้ง”
“ฮึ!”
หลี่หมิงพ่นลมหายใจออกจมูกเขาไม่อยากกล่าวคำใดอีก
หนานกงหยวนรีบกระพริบตาให้หนานกงหลิน“หลินเอ๋อ เจ้าพร้อมหรือไม่ ? เจ้ามีโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว อย่าล้มเหลวอีกล่ะ !”
น้ำตาของหนานกงหลินเอ่อคลอเบ้าตาเขาพยักหน้า ก่อนจะยกเท้าก้าวเข้าไปหามังกรแก้วด้วยความหวาดกลัว
“กรรรร!”
ทว่ายังมิทันที่จะได้ก้าวเข้าไปหามังกรแก้วด้วยซ้ำมังกรแก้วก็ส่งเสียงคำรามเตือนขึ้นอีกครั้งทันที ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจ
หนานกงหลินก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตกใจเขาร้องไห้จ้าอีกครั้ง “เสด็จแม่ เสด็จพ่อ จับมังกรแก้วให้หม่อมฉันที ! มันกล้าคำรามใส่หม่อมฉันได้อย่างไร ? หม่อมฉันจะตีมัน
หลี่หมิงผู้ซึ่งตั้งแต่มาถึงอาณาจักรหลิวฮั่วก็มีสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา ทว่าครานี้เขาถึงกลับหัวเราะ
เขาหัวเราะเยาะหนานกงหลิน
“ช่างเป็น‘อัจฉริยะน้อย’ จริง ๆ ขนาดหัวหน้าพรรคของข้ายังไม่กล้ารุกรานมังกรแก้ว นี่เขายังต้องการจะตีมังกรแก้วอีกด้วย ? ข้าไม่เคยพบเห็นผู้ใด “อัจฉริยะ” เช่นนี้มาก่อน