จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 276-280
บทที่ 276 : ความโอหังของตระกูลไป๋ (1)
”แม่นางไป๋ก่อนหน้านี้ข้าเคยกระทำสิ่งผิดพลาดมากมาย ทว่าในช่วงเวลาที่ข้าอยู่ในหุบเขาพิษ ข้าได้คิดทบทวนดูแล้ว ต้องขอขอบใจเจ้าและอ๋องคังที่ไม่แค้นเคืองข้า ทั้งยังช่วยชีวิตข้าไว้”
ไม่มีความเย่อหยิ่งยโสเฉยเมยเฉกที่นางเคยเป็นมาตลอดอีกแล้ว
อารมณ์ราบเรียบเย็นๆ ที่นางส่งผ่านมานี้ ช่วยให้ไป๋หยานรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า ฮ่องเฮาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
”ครั้งนี้ข้ากลับมาเพื่อเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของไป๋รั่วบัดนี้เรื่องทุกสิ่งได้กระจ่างชัด สมควรแก่เวลาแล้วที่ข้าต้องไป”
ไป๋หยานยกยิ้ม”ท่านทำตามที่ท่านเห็นว่าดีเถอะ สำหรับไป๋รั่วนั้นคนของข้าจะทำให้ชีวิตของนางแย่เสียยิ่งกว่าตาย”
”เยี่ยมมาก”
หนิงไต้จะไม่เกลียดไป๋รั่วได้เยี่ยงไร?
นางปฏิบัติต่อไป๋รั่วด้วยหัวใจหากแต่ไป๋รั่วกลับจะควักหัวใจของนางออกให้ตายแทน !
ครานี้นอกจากจะเปิดเผยไป๋รั่วแล้วหนิงไต้ก็อยากจะเห็นผลลัพท์ของไป๋รั่วด้วย !
บัดนี้… เมื่อไป๋รั่วตกไปอยู่ในกำมือของไป๋หยาน จุดจบของนางย่อมเรียกได้ว่าน่าสังเวช
อย่างน้อยก็แย่กว่าถูกประหารชีวิต!
หนิงไต้เดินจากไปแล้วส่วนหนานกงอี้ก็กล่าวคำใดไม่ออกอีกครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าวังหลวงจะไม่ใช่บ้านของนางอีกต่อไป
”ไป๋หยาน… ” หนานกงอี้มองใบหน้าอันงดงามของไป๋หยาน เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เสียใจ ทั้งเจ็บปวดล้ำลึก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นตี้คังยืนเคียงข้างนาง ชายก็รูปงาม หญิงสาวก็แสนสวย นับเป็นคู่สร้างคู่สมที่สมบูรณ์แบบยิ่ง ช่างเป็นภาพบาดตาเขาเสียเหลือเกิน
ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของเขา หากไป๋หยานเป็นชายาเขา เมื่อไป๋เสี่ยวเฉินถือกำเนิดจากไป๋หยาน ไป๋เสี่ยวเฉินก็จะเป็นบุตรชายของเขา ทว่านางไป๋รั่วหญิงสารเลวนั่นกลับทำลายการแต่งงานของเขากับไป๋หยาน !
นับแต่ต้นจนจบไป๋หยานไม่ได้มองหนานกงอี้เลยแม้แต่น้อย นางเดินอย่างแช่มช้าไปอยู่ข้างพระวรกายไทเฮา นางช่วยพยุงหญิงชราไว้
”เมื่อครู่ทำให้ทรงหวาดกลัวหรือไม่เพคะ ?”
ไทเฮาส่ายพระเศียรพร้อมกับตบมือของไป๋หยานด้วยความรัก “หลานรัก ที่สุดความทุกข์ทรมานของเจ้าก็จบสิ้นเสียที ข้ามิได้ทำให้สิ่งที่เยี่ยเอ๋อฝากฝังไว้ต้องสูญเปล่า
ครั้นได้ยินไทเฮากล่าวถึงหลานเยี่ยไป๋หยานก็เม้มริมฝีปากไม่กล่าวคำใดอีก
”หลานรักเจ้ามากับข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ข้ามีบางสิ่งจะมอบให้เจ้า”
”เพคะ”
แม้ไป๋หยานจะได้เข้าเฝ้าไทเฮาน้อยกว่าพบปะผู้คนตระกูลหลานอย่างไรก็ตามนางกลับรู้สึกว่าไทเฮาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ใส่ใจนางอย่างแท้จริง
ครานี้ตี้คังไม่ได้บังคับให้ไป๋หยานติดตามเขาหลังจากไป๋หยานจากไปพร้อมไทเฮา นัยน์ตาสีเข้มของเขาก็กวาดไปทางหนานกงอี้ พร้อมกันนั้นริมฝีปากของเขาก็แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
”นำตัวเขาไปกับข้า!”
”พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
องครักษ์ทั้งสองเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
”อ๋องคัง”หนานกงหยวนประหลาดใจ “ผู้ที่กระทำผิดก็คือ ไป๋รั่ว ไม่เกี่ยวอะไรกับอี้เอ๋อ ท่าน … ”
ก่อนที่หนานกงหยวนจะทันกล่าวจบน้ำเสียงที่เย็นชาของตี้คังก็ดังขึ้น
”การแอบมองภรรยาของข้าก็นับเป็นความผิดใหญ่หลวงแล้ว!”
ยามเมื่อเขาข่มขู่เส้นผมสีเงินยวงของชายหนุ่มยิ่งแลดูเหมือนปีศาจ ครั้นเขาถอนสายตาจากร่างของหนานกงหยวน ริมฝีปากของเขาก็เชิดขึ้นอย่างเย็นชา “หากมีใครกล้าเอ่ยคำว่า หนานกงอี้ อีกครั้ง หัวของมันผู้นั้นจะหลุดจากบ่าโดยไม่มีการละเว้น !”
เมื่อประโยคนี้จบลงหนานกงหยวนก็หวาดกลัว กระทั่งรีบปิดปากเงียบไม่กล้ากล่าวคำใดอีก
ภายใต้แรงผลักดันอันทรงพลังของชายหนุ่มผู้นี้ทุกคนต่างก็ตื่นเต้น แม้แต่คนของพรรคสัตว์อสูรเองก็ยังล่าถอยไปสองสามก้าว
หลี่หมิงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนในโลกนี้มีบุรุษที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย
ทั้งบุรุษผู้นี้ยังเป็นบิดาของนายน้อยไป๋อีกด้วย!
บทที่ 277 : ความโอหังของตระกูลไป๋ (2)
”พี่ใหญ่”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกัดริมฝีปากของนางทว่าที่สุดนางก็ก้าวออกไปสองก้าวอย่างกล้าหาญ เพื่อกล่าวทักทายตี้คัง
ครู่หนึ่งนัยน์ตาที่เยือกเย็นของตี้คังก็กวาดมาครั้นเขาเห็นตี้เสี่ยวอวิ๋นที่มีใบหน้ายุ่งย่น เขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหน้าเสียนางเกือบจะร้องไห้
แสดงว่า…ที่นางยืนอยู่ตรงนี้มาประมาณครึ่งค่อนวัน พี่ชายของนางกลับไม่รับรู้ว่านางอยู่ที่นี่เลยกระนั้นหรือ ?
นี่คือพี่ชายแท้ๆ ของนางกระนั้นหรือ ?
”ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วเช่นนั้นเจ้าก็ช่วยปกป้องเฉินเอ๋อหน่อย หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นกับเขา ข้าจะกลับมาจัดการเจ้า”
กล่าวจบตี้คังก็จากไป
เขามักมาไวไปไวเสมอ
ครานี้เขานำหนานกงอี้ไปกับเขาด้วย
สำหรับชะตากรรมของหนานกงอี้นั้นเกรงว่ามีเพียงตี้คังเท่านั้นที่รู้
ตี้เสี่ยวอวิ๋นบิดชายกระโปรงอย่างเศร้าใจ”เฉินเอ๋อ พี่ชายของข้านี่สมกับเป็นผู้อยู่ในจุดสูงสุดจริง ๆ เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นี่ขนาดน้องสาวของเขาผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเขา เขายังไม่รับรู้เลยว่ามีข้าอยู่ที่นี่”
“อาหญิงท่านอย่าเศร้าใจไปเลย เฉินเอ๋อจะไม่เพิกเฉยต่อท่าน เหมือนที่ป๊ะป๋าวายร้ายทำกับท่านหรอก”
ครั้นเห็นสภาพน่าสมเพชของตี้เสี่ยวอวิ๋นหัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินก็เศร้าตามไปด้วย เขาทำเลียนแบบผู้ใหญ่ โดยยกมือขึ้นแตะศีรษะของนางอย่างปลอบใจ
”จริงหรือ?” ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นพลันสว่างไสวขึ้น นางกุมมือของไป๋เสี่ยวเฉิน พลางกล่าวด้วยท่าทางเศร้า ๆ “เช่นนั้นเจ้าก็หอมอาหญิงของเจ้าสักหน่อยจะเป็นไร”
”หม่ามี้บอกเฉินเอ๋อว่าชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน … ”
ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วอย่างน่ารักพร้อมกับปฏิเสธคำขอของตี้เสี่ยวอวิ๋น ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นน้ำตาเอ่อที่บริเวณขอบตาของตี้เสี่ยวอวิ๋น
”นะ… เฉินเอ๋อหอมแก้มอาหญิงหน่อย”
เขาทนไม่ได้ที่จะทำให้ตี้เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้นเขาจึงเขยิบเข้าไปใกล้ และหอมแก้มนาง
นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นสุกใสใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนางเบ่งบานราวดอกไม้บาน
”อาหญิงท่านไม่รู้สึกเศร้าที่ป๊ะป๋าวายร้ายไม่สนใจท่านแล้วเหรอ ?”
“เขาชอบทำให้ข้าเศร้าเสมอแหละ”ตี้เสี่ยวอวิ๋นเชิดคางขึ้น “หากมิใช่เพื่อเจ้า และพี่สะใภ้ ข้าจะไม่มีวันออกมาพบเขาแน่ ๆ”
ครานี้เป็นไป๋เสี่ยวเฉินบ้างที่หน้าเสีย
นี่เขาถูกหลอกใช่หรือไม่? เขาถูกอาหญิงโง่ ๆ คนนี้น่ะนะหลอก ?
”เฉินเอ๋อคิดถึงหม่ามี้ขึ้นมาทันที… ”
อย่างน้อยหม่ามี้ของเขาก็ไม่เคยโกหกและทุกครั้งเป็นเขาต่างหากที่ต้องแอบหอมแก้มหม่ามี้
”อู๊คคคคค”
มังกรแก้วส่งเสียงประท้วงมันกระดิกหางต่อหน้าไป๋เสี่ยวเฉิน พร้อมกับยื่นหัว
ขอหอมบ้างสิ…
ไป๋เสี่ยวเฉินเข้าใจความหมายของมังกรแก้วได้อย่างรวดเร็วพลันอารมณ์ของเขาก็ฉุนขึ้นมาทันที “มังกรแก้ว เจ้าช่างน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน เจ้าเป็นผู้ชายนะ ข้าจะไม่จูบเจ้าแน่”
ฮึ! เจ้าไม่ทำก็อย่าทำสิ
มังกรแก้วรู้สึกหงุดหงิดก่อนจะล่าถอยไป กะแค่หอมสัตว์อสูรนี่เป็นเรื่องใหญ่โตนักเหรอ
”มังกรแก้วหากเจ้ากล้าที่จะขอหม่ามี้เช่นนี้ หม่ามี้จะฆ่าเจ้า และแม้ว่านางจะไม่ฆ่าเจ้า ป๊ะป๋าของข้าก็จะฆ่าเจ้าแทน”
ไป๋เสี่ยวเฉินเชิดคางของเขาขึ้น
ทันใดนั้นเองร่างของมังกรแก้วก็สั่นเทาคนทั้งสองนั่นเขาไม่กล้าวุ่นวายด้วยเป็นแน่
หากข้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพวกเขาข้าคิดว่า เจ้านายตัวน้อยของข้าคงได้กินเนื้อมังกรย่างแน่
เนื่องจากการปราบสัตว์อสูรให้เชื่องจบลงแล้วผู้คนส่วนใหญ่จึงแยกย้าย บรรดาเด็กอายุห้าขวบที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทดสอบต่างก็ถูกทหารองครักษ์ส่งตัวกลับ
ทว่าก็มีบางคนยังคงยืนอยู่ที่นี่พวกเขาต่างก็ตกใจ และดูเหมือนจะสับสน
”ปรากฎว่าข่าวที่หนานกงหลินเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงนั้น ไป๋รั่วเป็นผู้เผยแพร่ ก็แล้วเหตุใดในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาไม่เคยนึกสงสัยกันบ้างเลย”
บทที่ 278 : ความโอหังของตระกูลไป๋ (3)
“ไป๋รั่วน่าเกลียดชังจริง ๆ นางปล้นตำแหน่งพระชายาไปจากไป๋หยาน ทั้งยังแย่งฐานะเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงไปจากบุตรชายของไป๋หยานอีก ! ข้าไม่รู้ว่านางกระทำสิ่งไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร ?”
”ในฐานะที่บ้านสกุลไป๋เป็นพวกชนชั้นสูงมาก่อนหากข่าวนี้แพร่ออกไปพวกเขาจะต้องเสียหน้าอย่างมากเป็นแน่”
ครั้นได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านี้หนานกงหลินก็ยืนอย่างสิ้นหวังในลานหลังวังหลวง
ทันทีที่ไป๋รั่วและหนานกงอี้ถูกนำตัวออกไปหนานกงหยวนก็สะบัดก้นจากไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เขาไม่แม้แต่จะหันมามองหนานกงหลินด้วยซ้ำ
หนานกงหลินจึงกลายเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ
ณโรงน้ำชา แห่งหนึ่ง
ไป๋เซียวนั่งอยู่ในโรงน้ำชาในมือถือถ้วยชา เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “เว่ยชิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ผู้ที่นั่งต่อหน้าเขาก็คือชายหนุ่มผู้ซึ่งเขาช่วยชีวิตไว้ครั้งที่แล้ว
เว่ยชิงยิ้มกล่าวตอบว่า”ข้าเกือบจะหายดีแล้ว ขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่คาดฝันว่าวันนี้จะได้พบเจ้าที่นี่”
ไป๋เซียวกล่าวต่อว่า”เจ้าเคยช่วยข้าไว้เมื่อหลายปีก่อน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าอาจจะตายไปแล้ว ที่ข้าช่วยเจ้าย่อมเป็นการสมควรแล้ว”
”ไม่เลยนั่นมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
เว่ยชิงยิ้มเจื่อนๆ เรื่องที่เขากังวลใจก็คือเขามีปัญหากับศิษย์ของสำนักเวชโอสถ เช่นนั้นเขาจะลากสหายของเขาลงน้ำครำด้วยได้อย่างไร ?
เว่ยชิงไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้?
ครั้นเห็นเว่ยชิงไม่ต้องการจะพูดมากไปกว่านี้ไป๋เซียวก็ไม่ถามอะไรอีก แววตาของเขาสงบและมั่นคง “เว่ยชิง ข้าช่วยเจ้ามิใช่เพียงเพราะเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ หากแต่เป็นเพราะเจ้าคือสหายคนหนึ่งของข้า ชีวิตนี้ ข้าเองก็มีสหายไม่มากนัก หากสหายข้ามีปัญหา ข้าก็ยินดีร่วมเผชิญปัญหานั้นด้วย”
”ขอบใจมากน้องชาย”เว่ยชิงยกมือขึ้นตบไหล่ของไป๋เซียวพลางหัวเราะ “ยามนี้ข้ายังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า หากแต่ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกข้าว่าพี่สาวของเจ้าเป็นผู้มอบยาที่เจ้าใช้ช่วยข้าให้แก่เจ้า ข้ายังไม่ได้ขอบใจนางเป็นการส่วนตัวเลย”
ในช่วงเวลาที่เว่ยชิงบาดเจ็บนั้นเขาได้ออกไปพักฟื้นนอกเมือง ทำให้ไม่มีโอกาสได้พบกับไป๋หยาน
เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นหน้าไป๋หยาน
ปัง!
จู่ๆ มือ ๆ หนึ่งก็ทุบลงบนโต๊ะเบื้องหน้าไป๋เซียว ไป๋เซียวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันไปช้า ๆ ดวงตาของเขามองไปยังกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึง
ใบหน้าของหยูหรงแลดูหยิ่งผยองนางเองที่เป็นคนตบโต๊ะเบื้องหน้าไป๋เซียวอย่างแรง มุมปากของนางยกโค้งขึ้นเยาะเย้ย
หยูฮูหยินก็มองไป๋เซียวด้วยสายตารังเกียจดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน
แม้แต่ไป๋เฉิงเซียงเองก็ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขาปฏิบัติต่อบุคคลที่หยูหรงกำลังประจันหน้าอย่างเย็นชาราวกับมิใช่บุตรชายของตน
”ไป๋เซียวเจ้าคงไม่คิดว่า บ้านสกุลไป๋ของเราจะมีวันนี้ !” หยูหรงหัวเราะน้อย ๆ “แล้วพี่สาวของเจ้าไป๋หยานเป็นเช่นไรบ้างเล่า ? ยามนี้ตระกูลไป๋ของข้าได้รับการสนับสนุนจากพรรคสัตว์อสูรแล้ว ไหนเลยจะต้องกลัวหอบุปผาที่คอยให้การสนับสนุนนาง ? ”
เว่ยชิงโกรธมากเขาอยากจะลุกขึ้น ทว่าไป๋เซียวกดมือของเขาไว้แน่น พร้อมกันนั้นประกายตาเย็นชาก็จ้องมองหยูหรง
”ออกไปซะ!”
”เจ้า… ” ใบหน้าของหยูหรงเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อถึงเวลานั้น เด็กนรกนี่ยังจะกล้าพูดแบบนี้อีกหรือไม่ ?
หยูฮูหยินยิ้มอย่างเย็นชา”หรงเอ๋อ เหตุใดถึงมัวพูดไร้สาระกับคนใกล้ตายเช่นนั้นเล่า ? เมื่อหลินเอ๋อกลายเป็นหัวหน้าพรรคสัตว์อสูร หากต้องการชีวิตของสองพี่น้องไป๋หยาน ก็มิใช่แค่คำพูดข่มขู่หรอกจริงหรือไม่ ? ”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวใบหน้าของหยูหรงก็ดีขึ้น นางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่ หลินเอ๋อของเรานั้นยอดเยี่ยมมาก ตลอดชีวิตของเจ้าก็ไม่มีวันสูงส่งเช่นนั้นได้ ! เมื่อมีพลังของหลินเอ๋ออยู่ในมือ ก็ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่กล้าจะไม่เชื่อฟังคำพูดของเขา”
นางหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อว่า “แม้แต่อ๋องคังก็จะต้องมาเป็นสามีของจื่อเอ๋อด้วย”
แม้ว่าไป๋จื่อจะถูกตี้เสี่ยวอวิ๋นจับโกนหัวทั้งยังสลักคำว่า “แพศยา” หากแต่ผู้ใดจะกล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพรรคสัตว์อสูรเล่า ?
บทที่ 279 : ความโอหังของตระกูลไป๋ (4)
”ไป๋เซียว”
ไป๋เฉิงเซียงกล่าว”เห็นแก่ที่เจ้าเป็นบุตรชายของข้า ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากจะกลับไปอยู่บ้านสกุลไป๋หรือไม่ ?”
ครั้นมองใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึกของไป๋เฉิงเซียงแล้วไป๋เซียวก็เย้ยหยัน “ที่ท่านยังคิดว่าข้าเป็นบุตรชายของท่าน ก็เพียงเพราะว่าลูกชู้ที่อยู่ในท้องของหยูหรงไม่มีอีกแล้วใช่หรือไม่ ? โชคไม่ดีที่ในตระกูลไป๋นั้น ข้ามีพี่สาวเป็นญาติเพียงคนเดียวของข้า ผู้อื่นใดนอกเหนือจากนั้นหาได้มีความหมายกับข้าไม่”
”โอหังนัก!” ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงเปลี่ยนไปอย่างมาก “เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือว่า ? หลินเอ๋อกำลังจะกลายเป็นผู้นำของพรรคสัตว์อสูร ในไม่ช้าหลินเอ๋อก็จะยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด เจ้าควรกลับไปที่บ้านสกุลไป๋มากกว่าคอยติดตามไป๋หยานเช่นนี้”
หลายวันที่ผ่านมาไป๋เฉิงเซียงยังไม่กล้าอ้างถึงพรรคสัตว์อสูรว่าเป็นผู้คอยให้การสนับสนุนเขา แต่เพียงเพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมานี้ ไป๋รั่วบอกกับเขาว่าพรรคสัตว์อสูรกำลังมา ทั้งฮ่องเต้ก็มีรับสั่งเรียกนางเข้าวัง
สันนิษฐานได้ว่าจุดประสงค์ของการมาเยือนวังหลวงในครั้งนี้ก็คือการนำหลินเอ๋อเข้าร่วมพรรคสัตว์อสูร และแสดงความเคารพหลินเอ๋อในฐานะผู้นำ
มันจึงทำให้เขามั่นใจและไม่ต้องหลบหน้าหลบตาคนอื่นอีกต่อไป
ทุกคนในโรงน้ำชาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงฮือฮา
พรรคสัตว์อสูรสำหรับโลกนี้นับเป็นกลุ่มที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ที่ไม่มีผู้ใดสามารถลบหลู่ได้
บัดนี้… หนานกงหลินจะกลายเป็นผู้นำน้อยของพรรคสัตว์อสูรเชียวรึ ?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตระกูลไป๋เริ่มออกมาโอ้อวดตนเองอีกครั้ง
”ข้า…ไป๋เซียว อยากติดตามไป๋หยานมากกว่าจะอยู่ที่บ้านสกุลไป๋” ใบหน้าของไป๋เซียวนั้นเย็นชา น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “ไม่ว่านางจะไปที่ใด ข้าก็พร้อมจะติดตามนาง ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีวันพรากจากนาง !”
”เอาล่ะข้าหวังว่าเจ้าจะไม่นึกเสียใจให้กับสิ่งที่เจ้ากระทำในวันนี้”ไป๋เฉิงเซียงกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉย “นอกจากนี้เมื่อเหล่าสรรพสัตว์นับหมื่นต่างนอบน้อมต้อนรับข่าวการถือกำเนิดของหลินเอ๋อ พรรคสัตว์อสูรย่อมรู้ดีว่าหลินเอ๋อคือคนที่พวกเขาต้องยอมรับ ด้วยเหตุผลนี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่มีสมองกล้าปฏิเสธตระกูลไป๋ !”
เขาเชื่อว่าในอนาคตไป๋เซียวจะต้องนึกเสียใจเป็นแน่
”ไปกันเถอะ”
กล่าวจบไป๋เฉิงเซียงก็หันหลังหมายจะเดินจากไป
ผู้ใดจะรู้ว่าเขายังมิทันจะก้าวเท้าออกมาจากโรงน้ำชาด้วยซ้ำ เขาก็ถูกชายคนหนึ่งชนเข้าให้
คนผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีริมฝีปากบางราวกับใบมีดทันทีที่คนผู้นั้นแลเห็นไป๋เฉิงเซียงโผล่หัวออกมาจากบ้านตระกูลไป๋ เขาก็ตกตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสะใจขณะกล่าววาจา “เจ้าบ้านไป๋…เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
”ขุนพลหลิน?”
ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงเย็นชาเขาและขุนพลหลินไม่ค่อยกินเส้นกันนัก ขุนพลหลินจึงชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา
”ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? แล้วเจ้าล่ะ ตอนนี้เจ้าควรจะอยู่ในวังหลวงมิใช่รึ ทว่าเหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ ?”
”การทำให้สัตว์อสูรเชื่องนั้นจบลงแล้วข้าเลยออกมาได้ไงล่ะ”
ขุนพลหลินยิ้มนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแววเสียดสี
”การทำให้สัตว์อสูรเชื่องงั้นรึ? อะไรคือการทำให้สัตว์อสูรเชื่อง ?” ไป๋เฉิงเซียงตกตะลึงขณะเอ่ยถาม
ขุนพลหลินแกล้งทำเป็นประหลาดใจ”เจ้าบ้านไป๋ ไม่รู้หรือไรว่า วันนี้เพื่อค้นหาคนของเผ่าสัตว์อสูร คนจากพรรคสัตว์อสูรได้นำมังกรขนาดใหญ่มาให้เด็กอายุห้าขวบทุกคนในอาณาจักรนี้ทดสอบโดยการทำให้มันเชื่อง”
ทันใดนั้นเองสายตาของทุกคนในโรงน้ำชาต่างก็หันมามองสมาชิกทั้งสามของครอบครัวไป๋เฉิงเซียงเป็นตาเดียว
ก็ไป๋รั่วบอกว่าจุดประสงค์ของพรรคสัตว์อสูรคือการรับหนานกงหลินเข้าร่วมพรรค แล้วมันกลายเป็นการทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้อย่างไร ?
“ฮึ!” ไป๋เฉิงเซียงยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เขากล่าวอย่างเย็นชา “หลานชายของข้าต้องทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยเทียว”
หากหลินเอ๋อทำไม่สำเร็จเด็กที่เหลือก็ไม่มีทาง
ขุนพลหลินหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“หลานชายของเจ้าบ้านไป๋นั้นทรงพลังจริงๆ เขากล้าแตะมังกร ในขณะที่เด็กคนอื่นกลับไม่อาจหาญเทียบเท่าเขา ทว่าน่าเสียดายทันทีที่มังกรคำราม เขาก็กลัวกระทั่งฉี่ราด ฮ่าฮ่าฮ่า”
บทที่ 280 : ไป๋เฉิงเซียงสิ้นหวังแล้ว
ท่าทางภาคภูมิใจของไป๋เฉิงเซียงเปลี่ยนเป็นแข็งค้างภายใต้เสียงหัวเราะขบขันของขุนพลหลินและแล้วนัยน์ตาของไป๋เฉิงเซียงก็เปลี่ยนเป็นโกรธ “เจ้ากล่าววาจาไร้สาระอันใด ?”
”ไร้สาระกระนั้นรึ?” ขุนพลหลินสบประมาท “ในไม่ช้าผู้ที่ไปเยือนวังหลวงก็จะกลับคืนมา เมื่อนั้นคนทั้งโลกก็จะรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น และเจ้าก็จะได้รู้เองว่าขุนพลหลินผู้นี้กล่าววาจาไร้สาระหรือไม่ ?”
ร่างของไป๋เฉิงเซียงสั่นสะท้านใบหน้าของเขาซีดเผือด
อีกด้านหนึ่งหยูหรงกรีดร้องนางเดินเข้าไปหาขุนพลหลินอย่างเกรี้ยวกราด
“ข้าจะฉีกปากของเจ้าไม่ให้เจ้าได้กล่าววาจาไร้สาระอีกต่อไป ! หลินเอ๋อจะล้มเหลวได้อย่างไร ? ไม่มีทาง !”
หากเป็นอดีตขุนพลหลินอาจจะกลัวเกรงตระกูลไป๋อยู่บ้าง ทว่ายามนี้ไป๋รั่ว และองค์รัชทายาทต่างก็ตกอับแล้วทั้งคู่ เขาไม่จำเป็นต้องทนคนพวกนี้อีกต่อไป
เช่นนั้นเขาจึงยกขาของเขาขึ้นถีบหน้าอกของหยูหรงกระทั่งหยูหรงผงะถอยหลังไปสองสามก้าว
”พวกบ้า!” เขาปัดเสื้อผาวเบา ๆ พร้อมกับกล่าวเย้ยหยัน “ตระกูลไป๋สามารถเลี้ยงดูบุตรสาวเยี่ยงไป๋รั่วได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนดีนัก ! ยามนี้ ไป๋รั่วยอมรับแล้วว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับไป๋หยาน นางเป็นคนวางแผนทั้งหมด เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเรื่องทั้งหมดอีกกระนั้นรึ ? ”
ร่างของไป๋เฉิงเซียงแข็งค้างเขาค่อย ๆ หันหน้าไปมองหยูหรง “ทั้งหมดนี่ เป็นสิ่งที่รั่วเอ๋อทำจริง ๆ งั้นหรือ ?”
”ไม่จริง!” หยูหรงคำรามออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด ทว่าความตื่นตระหนกในแววตาของนางนั้นปิดไม่มิด ไป๋เฉิงเซียงสามารถสังเกตเห็นได้
หยูหรงกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า”เจ้าวางตัวเป็นคนดีมีน้ำใจ ไยถึงใส่ความผู้อื่นเช่นนี้ได้ ?
”เหตุใดข้าต้องใส่ความนางล่ะ?” ขุนพลหลินเชิดริมฝีปากขึ้นอย่างเหน็บแนม “นอกจากนี้ ไป๋รั่วยังทำเรื่องเลวร้ายอีกมากมาย เช่นฆ่าน้องชายของหลิวเอ๋อนางกำนัลคนสนิทของนาง เพื่อบังคับให้หลิวเอ๋อทำงานให้นางโดยไม่ต้องกังวลใด ๆ ทั้งยังลักพาคนในครอบครัวของท่านโหราจารย์หลู เพื่อให้ท่านโหราจารย์ประกาศว่าโอรสของนางเป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง”
บูม!
แค่บอกว่าไป๋รั่ววางแผนใส่ความไป๋หยานเรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนในโรงน้ำชาฮือฮา
อย่างไรก็ตามไป๋เซียวไม่อาจได้ยินถ้อยคำใด ๆ ได้อีก สมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่ว่าไป๋รั่ววางแผนใส่ความไป๋หยาน
ไป๋รั่วนางปีศาจ !
เจตนาสังหารพุ่งออกมาจากแววตาที่เย็นชาของไป๋เซียวร่างของเขาสั่นเทิ้ม และเขากำหมัดแน่นด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
”หลินฟางอี้เจ้ากล้าทำร้ายข้า ทั้งยังใส่ความรั่วเอ๋อ ! พรรคสัตว์อสูรไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเป็นแน่ !” หยูหรงลุกขึ้นจากพื้น พร้อมกับมองหลินฟางอี้อย่างโกรธเคือง
หลินฟางอี้เบ้ปากเขาไม่สนใจถ้อยคำของหยูหรงเลยแม้แต่น้อย
”เรื่องสุดท้ายที่ข้าอยากจะบอกก็คือไป๋รั่วจงใจปลงพระชนม์ฮองเฮา หากแต่ผู้ใดจะรู้ว่าฮองเฮายังไม่สิ้นพระชนม์ ทั้งยังมาเป็นพยานความชั่วร้ายของไป๋รั่วอีก ตอนนี้ไป๋รั่วน่ะเหรอ นางกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงทีเดียว”
ไป๋เฉิงเซียงแทบทรุดร่างของเขาสั่นเทา ใบหน้าซีด ๆ ของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
”ไม่มีทางหลินเอ๋อจะล้มเหลวได้อย่างไร แล้วรั่วเอ๋อจะสังหารฮองเฮาได้อย่างไร ? … ”
ดูเหมือนว่าเรื่องราวที่ได้รับรู้ยังทำร้ายไป๋เฉิงเซียงและพวกพ้องไม่รุนแรงพอ หลินฟางอี้จึงกล่าวต่อว่า “โอ้…ใช่…ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญที่สุดไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดคือผู้ที่ทำให้มังกรเชื่อง ? ”
ไป๋เฉิงเซียงเอ่ยถามเสียงแข็ง”ผู้ใด ?”
“ไป๋เสี่ยวเฉินไงไป๋เสี่ยวเฉินประสบความสำเร็จในการทำให้มังกรแก้วเชื่อง และเขาคือราชวงศ์สัตว์อสูรที่แท้จริง”
นัยน์ตาของไป๋เฉิงเซียงเบิกกว้างขึ้นทันใดหน้าซีด ๆ ของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ไป๋เสี่ยวเฉินทำให้สัตว์อสูรเชื่องได้อย่างไร?
ท่านแม่!” หยูหรงกรีดร้อง พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาหญิงชราผู้ซึ่งเป็นลมหมดสติ นางล้มลงกับพื้นด้วยไม่อาจทนรับความเป็นจริงได้อีกต่อไป