จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 361-365
บทที่ 361 : ไป๋เซียว vs หนานกงอี้ (3)
นัยน์ตาของไป๋เซียวพลันเย็นชาเขารีบพุ่งตัวเข้าหาหนานกงอี้ ขณะเดียวกันก็วาดดาบยาวทิ้งรอยดาบไว้ในอากาศ จู่ ๆ อุณหภูมิโดยรอบก็ลดต่ำลง ความหนาวเย็นแผ่กระจายไปทั่ว ทั้งสนามประลองตกอยู่ในความเงียบงัน
ภายใต้ความเงียบงันความกดดันอันแข็งแกร่งรุนแรงก็แผ่กระจายออกมา
“เมื่อครู่นี้หนานกงอี้กินยาอะไร ? เหตุใดจู่ ๆ เขาจึงทะลุจากระดับตี้เจี่ย (ขั้นที่ 2) ไปถึงระดับเทียนเจี่ย (ขั้นที่ 3)ได้”
“เพื่อให้เกิดการเป็นธรรมระหว่างการทดสอบดูเหมือนว่าจะมีกฎระเบียบไม่ให้ใช้ยาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง การกระทำของหนานกงอี้เมื่อครู่ผิดระเบียบ พวกเขาจะเพิกเฉยในเรื่องนี้กระนั้นหรือ ?”
”เขาบ้าไปแล้วหนานกงอี้เป็นบ้าไปแล้ว !”
ทุกคนต่างสูดอากาศเย็นๆ ที่แผ่กระจายอยู่โดยรอบ หนานกงอี้กล้ากินยาระหว่างการประลอง เขาคงเชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องเขางั้นสิ ?
ยามนี้พลังของหนานกงอี้เริ่มคงที่แล้วเขามองไป๋เซียวผู้ซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหา มุมปากของเขายกโค้ง
”ช่วยไม่ได้!”
บูม!
หนานกงอี้กระแทกฝ่ามือออกไปดังเปรี้ยงราวกับฟ้าร้องฝ่ามือนั้นพุ่งเข้าปะทะหน้าอกของไป๋เซียว ทันใดนั้นเองร่างของไป๋เซียวก็กระดอนกลับ พลันรอยเลือดก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋เซียว มือที่ถือดาบยาวพลันสั่นคลอนเล็กน้อย
ถึงกระนั้นนัยน์ตาของไป๋เซียวก็ยังคงมุ่งมั่นเขารีบพุ่งตัวเข้าหาหนานกงอี้อีกครั้ง
”ปัง!”
กำปั้นของฉู่อีอี้กระแทกลงบนเสาต้นหนึ่งนางลุกขึ้นยืนทันที นางกำหมัดแน่นกระทั่งมือสั่น
”ศิษย์ที่ถูกส่งมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้คือผู้ใดกัน?”
หลังจากเสียงของนางหลุดรอดออกมาผู้คุ้มกันจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังของนางก็ป้องหมัดพลางกล่าวว่า “องค์หญิงน้อย เท่าที่ข้าน้อยทราบ ศิษย์ที่นำทีมมาที่นี่ มีชื่อว่าลู่จีเฟิง”
“ลู่จีเฟิงผู้นี้เป็นใคร ?” ฉู่อีอี้ย่นคิ้วเล็กน้อย นางนึกไม่ออกว่าลู่จีเฟิงคือคนไหน นางหยุดคิดพร้อมกับหัวเราะเยาะ “ในฐานะศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่รู้รึว่า การใช้ยาเม็ดต้องห้ามที่อันตรายนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฏ เขาไม่สนใจกฎของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ความผิดนี้ เขาต้องได้รับการลงโทษ !”
มุมปากของผู้คุ้มกันยกโค้งเหงื่อเย็น ๆ พลันปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ขณะกล่าวว่า “องค์หญิงน้อย ท่านต้องการตักเตือนลู่จีเฟิง กระนั้นหรือ ?”
”ตักเตือนงั้นรึ? ไม่จำเป็นต้องตักเตือนอะไรเขา หากแต่ภายหลังการแข่งขันจบลงให้พาเขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ !”
ฉู่อี้อี้กำหมัดแน่นนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดใช้ชื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
”ไป๋หยาน”ฉู่อีอี้กล่าวพลางหันมามองไป๋หยาน “เจ้าต้องการให้ข้าส่งคนไปยุติการแข่งขันครั้งนี้หรือไม่ ?”
นัยน์ตาของไป๋หยานจับจ้องอยู่บนเวทีประลองตลอดเวลามือทั้งสองของนางเกาะกุมกันไว้อย่างเงียบ ๆ นางสูดลมหายใจเข้าลึก “ยังไม่ต้อง”
ไป๋เซียวกำลังมุ่งมั่นมากหากนางยุติการแข่งขันในเวลานี้ ย่อมเป็นการขัดขวางการฝึกฝนในภายหน้าของเขา
นั่นเป็นสาเหตุที่นางไม่ช่วยเขา
“แต่หากเซียวเอ๋อตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ข้าจะเป็นคนลงมือเอง ไม่ต้องกังวล” นัยน์ตาไป๋หยานฉายประกายจาง ๆ น้ำเสียงของนางหนักแน่นเย็นชา
ลู่จีเฟิง? ศิษย์ชั้นในงั้นรึ ?
ดูเหมือนว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องชำระล้างครั้งใหญ่
การประลองบนเวทีนั้นพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือก่อนหน้านี้หนานกงอี้ถูกไป๋เซียวโจมตี ทว่าตอนนี้หลังจากที่หนานกงอี้ได้พัฒนาความแข็งแกร่งของตน ไป๋เซียวก็ตกเป็นรอง
ใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋เซียวซีดลงเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่ดุเดือดนี้ได้
ปัง
ภายใต้การโจมตีของหนานกงอี้หน้าอกของไป๋เซียวถูกฟาดอีกครั้งส่งผลให้ไป๋เซียวล้มลงบนเวทีประลอง เลือดพุ่งออกจากปากของเขา
คราวนี้ไป๋หยานทนนั่งต่อไปไม่ไหวแล้วนางลุกขึ้นยืนทันที แม้ว่าไป๋เซียวจะตำหนินาง นางก็ไม่สามารถทนดูเขาพ่ายแพ้ได้
***จบบทไป๋เซียว vs หนานกงอี้ (3)***
บทที่ 362 : ไป๋เซียว vs หนานกงอี้ (4)
ในขณะที่ไป๋หยานต้องการจะขึ้นไปบนเวทีประลองนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากพื้นเวทีประลองด้วยท่าทางที่ยังแลดูแข็งแรง เขาเงยหน้าขึ้นมองหนานกงอี้ด้วยสายตาดุดัน ร่างกายของเขาสั่นไหว
”ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่แพ้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำลายเกียรติของข้า !” เขาเช็ดเลือดที่มุมปากล่าง แววตาของเขาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
เสียงของไป๋เซียวทำให้ไป๋หยานชะงักฝีเท้านางพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋เซียว หัวใจของนางเริ่มสับสน
”เซียวเอ๋อ…”
เด็กหนุ่มคนนี้สมแล้วที่เป็นน้องชายของนาง
ปากของไป๋หยานขยับนางยิ้มอย่างขมขื่น หลายปีที่ผ่านมา นางเองก็ดื้อรั้นเช่นนี้มิใช่หรือ ? แม้จะรู้ว่าข้างหน้ามีอันตราย ทว่านางก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ยามนี้ไป๋เซียวก็ไม่ต่างกับนาง
”ฮะ!” หนานกงอี้ยิ้มแดกดัน “ไป๋เซียว เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้เสียเถอะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า หากเจ้ายังขืนดื้อรั้น ย่อมไม่ต่างจากรนหาที่ตายนะ ?”
ไป๋เซียวเช็ดเลือดที่มุมปากล่างเขามองหนานกงอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ข้าเพียงอยากให้โลกได้รู้ว่า น้องชายคนนี้จะคอยอยู่เบื้องหลังให้การสนับสนุนพี่สาวเสมอ !”
เขาต้องการปกป้องนางแม้จะต้องสละชีวิตทั้งชีวิต เขาก็ยินดี !
ถ้อยคำของเด็กหนุ่มราวสายลมอันอบอุ่นพัดผ่านหูไหลลงสู่หัวใจของไป๋หยาน
มีน้องชายเช่นนี้ชั่วชีวิตนี้ข้ายังต้องการสิ่งใดอีก ?
หลังจากเข้าสู่เวทีประลองไป๋เซียวก็ไม่สนใจมองไป๋หยาน ใจเขาจดจ่ออยู่เพียงการต่อสู้
เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้
นัยน์ตาของเขาแน่วแน่จับจ้องราวดาบแหลมร่างของเขาราวกับสายฟ้า พุ่งไปทางหนานกงอี้อย่างรวดเร็ว
หนานกงอี้ยิ้มอย่างเสียดสีชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเขาเอื้อมมือออกไปกุมด้ามดาบของไป๋เซียวแน่น จากนั้นก็ชกหมัดเข้าไปที่หัวใจของเด็กหนุ่ม
โชคดีที่ไป๋เซียวเบี่ยงตัวหลบการโจมตีของหนานกงอี้ได้ทันอย่างไรก็ตามหลังจากที่ไป๋เซียวหลบหมัดนั้นมาได้ หนานกงอี้ก็จู่โจมโหมกระหน่ำราวพายุ
*****
”สถานที่นี้น่ะหรือที่ศิษย์รักของเราอาศัยอยู่เนิ่นนานหลายปี?”
บนถนนในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรหลิวฮั่วฉิวชู่หรงขมวดคิ้วแน่นจนยับย่น นัยน์ตาของเขากวาดมองทั่วสถานที่นี้อย่างไม่เกรงใจ สถานที่นี้หากเทียบกับเกาะศักดิ์สิทธิ์แล้ว อาจกล่าวได้ว่าที่พักอาศัยของบรรดาศิษย์นอกยังดูดีเสียกว่า
เป็นการยากที่จะจินตนาการได้ว่าศิษย์รักของข้าเคยอยู่ที่นี่เนิ่นนานหลายปี ?
“น้องสามศิษย์รักของเราบอกว่า นางไม่ต้องการให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระของนาง จะเป็นการดีกว่าหรือไม่ หากเราจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของนาง”
เขากล่าวเช่นนี้ด้วยความตึงเครียดนัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าจดหมายจากฉู่อีอี้เขียนมาว่าอย่างไร ? ชายคนนั้นกล้าดียังไงถึงได้มารังควานศิษย์รักของเรา ? แล้วอาจารย์อย่างเราจะปล่อยไปเฉย ๆ งั้นรึ ? จะไม่ช่วยเหลือนางเลยหรือไร ?”
เจิ้งฉีถอนหายใจ
เป็นเรื่องง่ายและประหยัดแรงงานในการรับศิษย์ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ ทำให้พวกเขาไม่เบื่อหน่ายนัก แต่ทว่า แทนที่พวกเขาจะสอนนางกลับถูกนางสอนการปรุงยามากกว่านี่สิ
หากพวกเขาไม่ช่วยเหลือนางพวกเขาจะควรค่าแก่การให้นางนับถือว่าเป็นอาจารย์อย่างนั้นรึ ?
”พี่ใหญ่พี่รอง” ฉิวชู่หรงขมวดคิ้ว “ไม่นานมานี้มีคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรามาที่อาณาจักรหลิวฮั่วเพื่อคัดสรรคน ข้าแน่ใจว่านางจะต้องสนใจ เช่นนั้นเราจึงควรไปที่วังหลวงเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ เราอาจได้พบกับนาง”
“ก็ดี…”เหรินอี้พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็คว้าคนที่เดินอยู่บนถนนคนหนึ่งมาเพื่อไถ่ถามว่า “วังหลวงของอาณาจักรของเจ้าอยู่ที่ใด ?”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเขารีบร้อนออกมาพวกเขาจึงไม่ได้นำผู้ติดตามมาด้วย ไม่ได้แจ้งกระทั่งให้ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรหลิวฮั่วแห่งนี้ทราบ แต่โดยทั่วไปแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์มักจะยืมพื้นที่ในวังหลวงของอาณาจักรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการจัดงานประลอง
***จบบทไป๋เซียว vs หนานกงอี้ (4)***
บทที่ 363 : ไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (1)
“พวกท่านจะไปที่วังเพื่ออะไร?”
โชคไม่ดีเอาเสียเลยเพราะคนที่เหรินอี้คว้าจับไว้ก็คือไป๋เฉิงเซียง ไป๋เฉิงเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะมองชายชราอีกสองคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยท่าทางรำคาญใจ
ชายชราพวกนี้ไม่รู้หรือไรว่า วังหลวงมิใช่สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปได้ ?
ในความเป็นจริงเหรินอี้เองก็เคยเห็นภาพเหมือนของไป๋เฉิงเซียงมาก่อน ทว่าก็นานมากแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับยามนี้ เวลาที่ผ่านมาเพียงไม่กี่เดือนกลับทำให้ไป๋เฉิงเซียงดูแก่กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความแตกต่างระหว่างภาพเหมือนกับตัวจริง เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้เฒ่าทั้งสามจะจำชายวัยกลางคนผู้อยู่ข้างหน้าพวกเขาไม่ได้ ว่าคือไป๋เฉิงเซียง
เหรินอี้กระตือรือร้นที่จะได้พบกับไป๋หยานเช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ตระหนักถึงท่าทีดูถูกของไป๋เฉิงเซียง
”แน่นอนว่าที่ข้าไปที่นั่นก็เพื่อตามหาใครบางคน บอกข้าหน่อยสิว่าวังหลวงไปทางใด !”
ไปที่วังหลวงเพื่อตามหาคนกระนั้นรึ?
ไป๋เฉิงเซียงยิ่งแสดงทีท่าดูหมิ่นชายชราเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัดนี่ พวกชายชราเหล่านี้คงจะได้ยินเกี่ยวกับการรับสมัครคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โชคไม่ดีเอาเสียเลย เพราะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่รับสมัครชายชรา
“พวกท่าน”ไป๋เฉิงเซียงกระแอมแล้วแสร้งถาม “ข้าบังเอิญรู้จักคนในวังหลวง พวกท่านกำลังตามหาผู้ใด บางทีข้าอาจช่วยพวกท่านได้”
เหรินอี้รู้สึกเหมือนมองเห็นทางสว่าง”จริงหรือ พวกเรากำลังตามหาไป๋หยาน ตอนนี้ไป๋หยานอยู่ในวังหลวงใช่หรือไม่ ?”
ไป๋หยาน!
ชื่อนี้ทำให้ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงเปลี่ยนไปทันทีชายชราพวกนี้ตามหาลูกสาวเนรคุณของเขา…ไป๋หยาน
สงสัยว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับนางเป็นแน่หาไม่แล้วเหตุใดจึงได้พยายามตามหานางเล่า ?
ครั้นเห็นใบหน้าชราภาพของเหรินอี้ที่กำลังตื่นเต้นนัยน์ตาเป็นประกายแจ่มจ้า ไป๋เฉิงเซียงก็ยิ่งมั่นใจ
”พวกท่านข้าขอแนะนำว่า พวกท่านไม่ควรตามหานาง มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกท่านจะมีปัญหาได้” ไป๋เฉิงเซียงจิกริมฝีปากกล่าวเสียงสูง
”เจ้าหมายถึงอะไร?” เหรินอี้กล่าวพร้อมนิ่วหน้าเล็กน้อย
”ไป๋หยานไปทำให้ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคืองนางคงไม่มีทางรอดชีวิตเป็นแน่ ข้าคิดว่า คนแก่อย่างพวกท่าน อย่าไปหานางเลยจะดีกว่า รักษาชีวิตไว้เถอะ เพราะหากคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์โกรธก็ไม่มีผู้ใดช่วยพวกท่านได้นะ”
ไป๋เฉิงเซียงกล่าวคำเหล่านี้แน่นอนว่ามิใช่เพื่อช่วยชายชราทั้งสาม เขาพิจารณาแล้วว่า หากชายชราทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับไป๋หยาน แล้วพวกเขาไปหาไป๋หยานในตอนนี้ ไป๋หยานก็อาจจะฆ่าพวกเขาปิดปากก็เป็นได้
ยามนี้นางเด็กทรพีไป๋หยานมีอำนาจมากส่วนชายชราพวกนี้ก็อ่อนแอมากเช่นกัน แค่อ้าปากพูดกับนางก็คงโดนนางฆ่าตายแล้ว
เขาเลยวางแผนว่าจะชักชวนชายชราพวกนี้ให้ติดตามเขากลับไปยังบ้านสกุลไป๋ ภายใต้การคุ้มครองของบ้านสกุลไป๋ ชายชราทั้งสามก็อาจจะบอกเรื่องที่ไป๋หยานเคยทำเรื่องผิด ๆ ออกมา
ใบหน้าของเหรินอี้แข็งค้าง
ชายชราทั้งสามหันมองหน้ากันและต่างก็เห็นความแปลกใจในดวงตาของกันและกัน
ไป๋หยานไปยั่วยุศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเรื่องใดกัน? งงในงง ? ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนใดต่างหากที่กล้ากระตุ้นอารมณ์โทโสของนาง ?
”ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไป๋หยานไปยั่วยุนั่นมีนามว่ากระไรหรือ?” เจิ้งฉีเอ่ยถามใบหน้านิ่ว
”ลู่จีเฟิง”
ลู่จีเฟิง? เขาคือผู้ใด ?
ฉิวชู่หรงนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะพูดเออออขึ้นว่า “ดูเหมือนว่า ศิษย์ในที่เป็นผู้นำของอาณาจักรหลิวฮั่วจะชื่อลู่จีเฟิง ชายผู้นี้กล้ามากจริง ๆ”
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะรุกรานศิษย์ผู้ล้ำค่าของเขาเลย แม้แต่ศิษย์หลัก แต่ละคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นผู้คุ้มกันประตูสู่เกาะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะได้รับยาเม็ดอายุวัฒนะจากศิษย์รักของพวกเขา
ทว่าศิษย์คนหนึ่งในอาณาจักรนี้กลับกล้าที่จะทำให้นางขุ่นเคืองงั้นรึ? ช่างกล้าเหลือเกิน !
***จบบทไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (1)***
บทที่ 364 : ไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (2)
ช่วงเวลานี้ฉิวชู่หรงดูเหมือนจะลืมไปว่ามีคนเพียงไม่กี่คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่รู้จักตัวตนแท้จริงของไป๋หยาน แม้แต่ศิษย์หลักเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นนาง เช่นนั้นลู่จีเฟิงจะรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นเจ้าเกาะศักดิ์สิทธิ์ ?”
”เดี๋ยวก็รู้ว่าใครเป็นใคร”
เจิ้งฉีค่อยๆ คลายคิ้วที่ยับย่นของเขา เขายิ้มน้อย ๆ ขณะมองไปที่ไป๋เฉิงเซียง
”เมื่อเจ้ารู้จักไป๋หยานเจ้าก็ควรรู้จักไป๋เฉิงเซียง”
ไป๋เฉิงเซียง“… ”
ก็เขานี่แหละคือไป๋เฉิงเซียง
”บอกให้ไป๋เฉิงเซียงไสหัวไปตายซะ !” มุมปากของเจิ้งฉียิ้มเยาะแฝงเจตนาสังหาร “อีกอย่าง บอกมาว่าวังหลวงไปทางใด ?”
ไป๋เฉิงเซียงกำลังสับสนตาเฒ่าผู้นี้มาจากที่ใดกันนี่ ?
ทว่าภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหารของชายชราไป๋เฉิงเซียงก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาทันที เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก “ตรงไปทางทิศตะวันออก 500 ก้าว จากนั้นก็เลี้ยวไปทางทิศตะวันตก จะพบวังหลวงอยู่ห่างออกไปไม่เกิน 800 ก้าว”
”โอ้! ขอบใจ”
เจิ้งฉีป้องหมัดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา”เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเราไปกันเถอะ !”
ก่อนที่ฉิวชู่หรงจะจากไปเขาไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองไป๋เฉิงเซียง “อย่าลืมบอกคนตระกูลไป๋ด้วยว่า ให้ไสหัวไปหาที่ตายในวังหลวงภายในครึ่งชั่วยาม หากมาช้าอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ !”
”…”
ไป๋เฉิงเซียงตกตะลึง
ใบหน้าของไป๋เฉิงเซียงซีดลงเล็กน้อย”นี่พวกเจ้าไม่รู้จักฐานะของไป๋เฉิงเซียงกระนั้นหรือ ?”
”เจ้าขยะนั่นมีฐานะใด?”
ท่าทางเยาะเย้ยถากถางของฉิวชู่หรงพร้อมด้วยแรงกดดันอันแข็งแกร่งของเขาทำให้ไป๋เฉิงเซียงกลืนคำพูดประชดประชันลงคอโดยไม่รู้ตัว
เขาเคยเจ็บปวดมามากทั้งยังจำได้ไม่เคยลืม หากอีกฝ่ายร่วมมือกันต่อสู้กับเขา เขาอาจต้องอัปยศเช่นที่ผ่านมา !
เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าชายชราทั้งสามคนนี้ไม่ธรรมดา และเป็นธรรมดาที่ยามนี้เขาจะไม่กล้าหือ แม้แต่จะบอกว่าเขาคือไป๋เฉิงเซียง เขาก็ยังไม่กล้าเลย
”ไป๋เฉิงเซียงเป็นพ่อตาของลู่จีเฟิงผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ พวกท่านคงไม่ต้องการที่จะปะทะกับเขา เพื่อสร้างตนเป็นศัตรูกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรอกนะ ?” ไป๋เฉิงเซียงกลัวว่าชายชราเหล่านี้จะไปหาเขา เพื่อสะสางบัญชี เขาเลยรีบกล่าวดักทันทีว่า “ที่ข้าเตือนก็เพราะเป็นห่วงพวกท่านหรอกนะ … ”
”ศิษย์ในกล้าพูดอวดอ้างว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นของเขาได้อย่างไร? ฝันกลางวันเสียจริง !” ฉิวชู่หรงขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย “ส่วนเจ้า อย่ามัวพูดมาก แค่นำคำสั่งของเราไปบอกก็พอ”
ไป๋เฉิงเซียงไม่กล้ากล่าวคำใดอีกเขามองชายชราที่หันหลังเดินจากไป ด้วยดวงตามืดมน
ครั้นพวกเขาหายลับตาไปไป๋เฉิงเซียงก็เตะตอไม้ข้างทางอย่างกักขฬะ
”ไอ้พวกชั่วเอ๊ย! เจ้าอยากให้ข้าตายงั้นรึ ? ข้าไม่กลัวหรอกเว้ย รู้หรือไม่ข้ามีดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนหลัง ? เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าพวกเจ้าจะร้องไห้ขอความเมตตา ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไป !”
*****
ณวังหลวง
ภายนอกวังหลวงอันงดงามผู้คุ้มกันหลายคนกำลังรอคอยอย่างนอบน้อม
ทันทีที่พวกเขาเห็นชายชราทั้งสามคนเดินมาพวกเขาต่างก็รีบกรูกันเข้าหาชายชรา พร้อมกับเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ที่สุด พวกท่านก็มาถึงเสียที พวกเรามารอรับพวกท่าน นายท่านลู่สั่งให้พวกเรามารอท่านผู้อาวุโสทั้งสามที่นี่”
เหรินอี้ยิ้มเยาะเขาเม้มริมฝีปากกล่าวว่า “ดูเหมือนว่า ข่าวที่พวกเรามาถึงอาณาจักรหลิวฮั่วจะรั่วไหลนะ ขนาดพวกหมาแมวพวกนี้ก็ยังรู้ว่าพวกเราอยู่ที่ใด”
ฉิวชู่หรงยิ่งพูดด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพมากขึ้น”ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็รู้ว่าพวกเรากำลังมา ก็แล้วเหตุใดจึงไม่มารอรับพวกเราเสียตั้งแต่หน้าประตูเมืองเล่า ? ทว่ากลับมารอกันอยู่หน้าวังนี่ ? รึว่าลู่จีเฟิงดูถูกพวกเราทั้งสามคน ?”
ผู้คุ้มกันเหงื่อแตกนายท่านลู่ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามขุ่นเคืองแล้ว เขาไม่รู้หรือไรว่าผู้อาวุโสทั้งสามดุร้ายจะตายไป ?
***จบบทไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (2)***
บทที่ 365 : ไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (3)
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสามนายท่านลู่เพิ่งได้รับจดหมาย … ”
เขายังไม่ทันพูดจบเจิ้งฉีก็เดินผ่านผู้คุ้มกัน และองครักษ์เสื้อคลุมแดงเข้าวังไปแล้ว
*****
ณสนามประลอง
บนเวทีประลองไป๋เซียวค่อย ๆ พยุงร่างของตนลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง เขายกมือขึ้นเพื่อเช็ดเลือดจากมุมปาก
”มาเลยเจ้าต้องการแสดงอะไรให้ข้าเห็นอีกก็จัดมาได้เลย !” หนานกงอี้หัวเราะร่าอย่างบ้าคลั่ง และดุร้าย
ไป๋เซียวจ้องมองชายที่อยู่ตรงข้ามจากนั้นก็หยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ
ยานี้ไป๋เสี่ยวเฉินให้เขามาเมื่อวานนี้สรรพคุณก็เพื่อใช้ฟื้นฟูร่างกาย
โดยปกติแล้วการใช้ยาเม็ดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการแข่งขันทว่ายาเม็ดเพื่อฟื้นฟู และรักษาร่างกายนั้นได้รับอนุญาตให้ใช้ได้
ไป๋เซียวเปิดฝาขวดออกเทยาเม็ดหนึ่งกลืนลงคอ เพียงครู่ เม็ดยาก็ละลายเปลี่ยนเป็นกระแสอบอุ่นไหลเวียนสู่อวัยวะภายใน หลังจากร่างของเขาได้รับการฟื้นฟู ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มเยาะเย้ย
”เมื่อเจ้าต้องการก็ได้เลย”
ไป๋เซียวโยนดาบที่หักเป็นสองท่อนทิ้งไปจากนั้นร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าอีกครั้ง ทันใดนั้นเองเขาก็ปรากฏกายต่อหน้าหนานกงอี้
บูม!
ฝ่ามือของทั้งสองปะทะเข้าหากันร่างของไป๋เซียวถอยร่นไปสองก้าว มือของเขาสั่น เขารู้สึกมึนงง จึงหยิบขวดยาขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้เขากินยาเพื่อรักษาบาดแผล
ครั้นความเจ็บปวดบรรเทาลงไป๋เซียวก็พุ่งตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาดูมั่นคง อาจหาญและไม่หวั่นไหว
ยาอายุวัฒนะ?
แม้ว่าเขาจะไม่มียาเม็ดจิตวิญญาณที่จะใช้พัฒนาความแข็งแกร่งของตนทว่าเขามียาฟื้นฟู และยาอายุวัฒนะ ตราบใดที่เขายังไม่ตาย เขาก็จะไม่ยอมแพ้ !
ในที่สุด…
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหนานกงอี้ค่อยๆ ถดถอยลง โดยเฉพาะภายหลังจากรับฝ่ามือของไป๋เซียวแล้ว ใบหน้าของหนานกงอี้ก็ซีดลงเล็กน้อย ยามนี้แม้แต่การโจมตีของเขาก็ยังสะเปะสะปะ
”ไม่! ข้าจะไม่มีวันแพ้คนเยี่ยงเจ้า ข้าไม่ยอม !”
นัยน์ตาของหนานกงอี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเขารีบพุ่งตัวเข้าหาไป๋เซียว เนื่องจากความร้อนรนกระวนกระวายใจ ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาไร้ระเบียบมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไป๋เซียวใช้โอกาสนี้ชกเข้าที่ใบหน้าของหนานกงอี้ หนานกงอี้ได้เพียงยืนงง ชั่วพริบตา เลือดก็พุ่งออกมาเต็มปากเขา
เวลาเดียวกันนั้นเอง
จู่ๆ พลังภายในของไป๋เซียวก็พลุ่งพล่าน พลังฉีที่อยู่ในบรรยากาศถูกดูดเข้าสู่ร่างของไป๋เซียว
”นี่เขากำลังก้าวหน้าไปอีกขั้นกระนั้นรึ?”
ยามคับขันเช่นนี้ไป๋เซียวกลับก้าวหน้าพัฒนาไปได้อีกขั้นงั้นหรือ ?
ครั้นไป๋เซียวรับรู้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกายของตนเขาก็รีบนั่งสมาธิ เริ่มแรกลมหายใจของเขาสับสนเล็กน้อย แต่ครั้นเขาหายใจเข้าออก เขาก็ค่อย ๆ นิ่งขึ้น
เพียงไม่นานพลังแห่งการก้าวผ่านขั้นก็ทะลุทะลวงเข้ามาในหัวของเขา ผลักดันเขาก้าวขึ้นสู่ระดับขั้นที่สูงกว่า
เขาลืมตาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาที่เฉยเมยของเขา หันไปทางฝูงชน เขาแลเห็นสตรีที่งามพร้อมท่ามกลางฝูงชนนั่น
รอยยิ้มอันอบอุ่นและแจ่มใสปรากฏบนใบหน้าขรึม และหล่อเหลาของชายหนุ่ม
”พี่สาวข้าบอกแล้วว่า ข้าจะไม่แพ้ … ”
ข้าบอกแล้วว่าข้าจะปกป้องพี่ชั่วชีวิต ข้าจะพังตั้งแต่เริ่มต้นได้อย่างไร ?
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกมาเขาเพียงขยับริมฝีปากบอกไป๋หยาน
ครั้นเข้าใจถ้อยคำจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มไป๋หยานก็ยิ้มอย่างสดใส นัยน์ตาเป็นประกาย
”เจ้าคือความภาคภูมิใจของข้า”
ชายหนุ่มบนเวทีประลองผู้นี้คือความภาคภูมิใจของนางนางภูมิใจในตัวเขา
คราวนี้ไป๋เสี่ยวเฉินไม่ชอบใจแล้วเขาดึงแขนเสื้อของไป๋หยาน พลางทำสีหน้าน้อยใจ “หม่ามี้ หากท่านน้าคือความภาคภูมิใจของหม่ามี้ แล้วเฉินเอ๋อล่ะ ?”
***จบบทไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (3)***