จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 366-370
บทที่ 366 : ไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (4)
ไป๋หยานกอดไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมกับจูบหน้าผาก
”เจ้าก็เป็นยอดดวงใจของแม่ไง”
ใบหน้าเล็กๆ ของ ไป๋เสี่ยวเฉินแดงระเรื่อ เขาจูบแก้มไป๋หยาน “หม่ามี้ก็เป็นยอดดวงใจของเฉินเอ๋อเช่นกัน”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นมองไป๋หยานทีมองไป๋เสี่ยวเฉินทีทันใดนั้นนางก็อยากมีบุตรชายขึ้นมาบ้าง
*****
ชั่วขณะนี้ไป๋เซียวหันกลับไปแล้ว เขาก้าวช้า ๆ เข้าหาหนานกงอี้ ซึ่งทรุดอยู่บนพื้น ด้วยสีหน้าเย็นชา
”เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร อย่าเข้ามานะ !”
หนานกงอี้ตื่นตระหนกเขาคิดอะไรไม่ออกเลย ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เหตุใดไป๋เซียวจึงสามารถก้าวข้ามไปอีกขั้นได้
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าก่อนหน้านี้ไป๋เซียวได้มาถึงระดับสูงในขั้นตี้เจี่ย (ขั้นที่ 2) ทั้งที่ยังอายุน้อย มาบัดนี้ไป๋เซียวได้ทะลุผ่านระดับเทียนเจี่ย (ขั้นที่ 3) เรียบร้อยแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดก็คงไม่อาจล้มเด็กคนนี้ได้
และหากเขาไม่ได้กินยาพลังของเขาก็หาใช่พลังระดับเทียนเจี่ย (ขั้นที่ 3) ไม่
ทั้งยามนี้พลังของเขาก็กลับคืนสู่ระดับตี้เจี่ย(ขั้นที่ 2) แล้วด้วย
”คราก่อนนั้นเจ้าไม่ยอมรับพี่สาวของข้า เจ้ามิอาจฝืนความรู้สึกของเจ้า หากแต่เจ้ากลับทำให้พี่สาวของข้าต้องอับอายขายหน้า ?
ไป๋เซียวเหยียบหน้าอกของหนานกงอี้พลางจ้องมองเขา
หนานกงอี้กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งเขาหันมามองไป๋เซียว “ไป๋เซียว ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงเจ้าจะเอาชนะข้าได้ กระทั่งขึ้นเป็นผู้นำในการแข่งขันครั้งนี้ อย่างไรเสียดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีวันยอมรับเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า !”
ต้องการที่จะเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์กระนั้นรึ? ฝันไปเถอะ มีรึดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะยอมรับเจ้า ? แค่ไป๋จื่อพูดคำเดียว เจ้าก็คงไม่มีทางได้เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
”ข้าเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ก็เพื่อพี่สาวของข้า”
ไป๋เซียวกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
และเมื่อไป๋เซียวกล่าวเช่นนี้ก็ได้เวลาตายของหนานกงอี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งของหนานกงอี้ขึ้นสู่ระดับเทียนเจี่ย(ขั้นที่ 3) ได้ ก็เพราะเขาใช้ยาเม็ดเพื่อเพิ่มพลังให้ตนเอง เช่นนั้นจะนำมาเทียบกับการพัฒนาจากพรสวรรค์ที่แท้จริงของไป๋เซียวได้อย่างไร ?
ผลลัพธ์ของการประลองในครั้งนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้ว
”ช้าก่อน!”
ในขณะที่ไป๋เซียวกำลังจะปลิดชีพหนานกงอี้นั้นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านหลัง
ผู้คนต่างพากันหันมองโดยรอบทันใดนั้นเองพวกเขาก็เห็นลู่จีเฟิงเดินมาจากด้านหลัง พร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกัน
ถัดจากลู่จีเฟิงก็คือหญิงสาวหัวโล้นหน้าผากของนางนั้นถูกสักด้วยคำเหยียดหยามจนสะดุดตา
อย่างไรก็ตามเนื่องจากอำนาจบารมีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้ที่ต้องการจะหัวเราะเยาะพลันหยุดชะงัก พวกเขาไม่กล้าหัวเราะ ทว่าก็หน้าแดงด้วยความขบขัน
”ไป๋เซียว”ลู่จีเฟิงไม่ได้มองหนานกงอี้ผู้ซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น เขามองไป๋เซียวด้วยแววตาหยิ่งผยอง “ก่อนอื่นข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่สามารถคว้าชัยชนะในการประลอง หากแต่ข้า…ต้องขออภัยที่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบว่า เจ้าถูกลบชื่อออกจากการแข่งขัน ! ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ตาม
ครั้นได้ยินไป๋เซียวก็ไม่ได้แสดงออกใด ๆ สำหรับเขาแล้วสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าการเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือ การช่วยระบายแค้นให้พี่สาวของเขา
ในขณะที่ลู่จีเฟิงกำลังรอคำตอบของไป๋เซียวอยู่นั้น เสียงหัวเราะเย็น ๆ พลันดังมาจากด้านล่าง
”นี่เป็นการตัดสินใจของเจ้าหรือเป็นการตัดสินใจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันแน่ ?”
เสียงของไป๋หยานไม่ดังไม่เบาหูของทุกคนต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ลู่จีเฟิงขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าไป๋หยานที่เดินมาถึงเวทีประลอง เขากล่าวอย่างเย็นชา “คำพูดของข้าถือเป็นตัวแทนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ! ไป๋เซียวผู้นี้อาจจะแข็งแกร่ง ทว่าเขาโหดเหี้ยมเกินไป อีกฝ่ายก็พ่ายแพ้แล้ว เขายังต้องการจะให้ตายอีก เราไม่ต้องการคนที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ !”
***จบบทไป๋เซียวก้าวข้ามไปอีกขั้น (4)***
บทที่ 367 : อาจารย์อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกลัว (1)
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ “ข้าจำได้ว่าหนึ่งในกฎระเบียบของการประลองก็คือ ห้ามกินยาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งแบบชั่วคราวไม่ว่าจะเป็นยาชนิดใดก็ตาม ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกินยาของหนานกงอี้เมื่อครู่”
คำกล่าวหานี้ทำให้ลู่จีเฟิงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เพื่อให้ท่าทางประหลาดใจนี้ดูมิใช่การเสแสร้ง เขาจึงหันไปมองหนานกงอี้
”เจ้ากินยางั้นรึ?”
หนานกงอี้เหงื่อแตกด้วยความเจ็บปวดทว่ายังกัดฟันกล่าวว่า “นางใส่ร้ายข้า”
ลู่จีเฟิงกำชับเขามาก่อนหน้านี้แล้วว่าหากมีผู้ใดถามเกี่ยวกับเรื่องการกินยาก็อย่าได้ยอมรับ !
”เมื่อครู่ข้ามัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องบางอย่าง ก็เลยไม่ได้อยู่ในสนามประลอง เช่นนั้นข้าจึงไม่เห็นหนานกงอี้กินยาด้วยตาตนเอง ข้าไม่รู้ว่ามีผู้ใดได้เห็นหรือไม่ ?”
ลู่จีเฟิงมองคนโดยรอบอีกครั้ง
แท้จริงแล้วเขาจับตาดูการประลองนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้คลาดสายตาเลยแม้แต่น้อย แต่หากเขายอมรับว่าหนานกงอี้กินยา เขาก็จะไม่สามารถขับไล่ไป๋เซียวได้ เนื่องจากเกรงกลัวกฎระเบียบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เช่นนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย
ผู้คนต่างหันมองหน้ากันจากนั้นต่างก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เขากินยาหรือ ? พวกเราเองก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
”ใช่แล้วเนื่องจากพวกเราต่างก็ไม่เห็น นั่นย่อมแสดงว่า เขาไม่ได้ใช้ยาเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งแบบชั่วคราว หากเจ้าต้องการที่จะใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าควรหาเหตุผลที่ดีกว่านี้ เจ้ากล้ามาก กล้าใส่ความผู้อื่นต่อหน้าคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ? ”
ถ้อยคำของคนเหล่านั้นทำให้ไป๋จื่อยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ นัยน์ตาที่ชั่วร้ายราวกับใบมีดของนางกราดไปมองไป๋หยาน
นี่แหละคือข้อดีของการใช้อำนาจ! ไม่ว่าไป๋หยานจะพยายามมากเพียงใด นางก็ไม่มีวันมีอำนาจได้ถึงเพียงนี้หรอก
”เจ้าเห็นหรือไม่?” ลู่จีเฟิงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “มิใช่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่โปรดปรานเขา ทว่าหนานกงอี้ไม่ได้กินยา เช่นนั้น เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกกระนั้นรึ ?”
“พี่ใหญ่”ไป๋เซียวกล่าวอย่างเป็นกังวล เพราะเกรงว่าไป๋หยานจะนำพาเรื่องเดือดร้อนมาสู่ตัวนางเอง “ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะได้เข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ? ข้าจะสร้างโลกให้พี่ด้วยพลังของข้าเอง”
หัวใจของไป๋หยานพลันอบอุ่นขึ้นทันทีนางยิ้มเอ่ยกล่าวว่า “เซียวเอ๋อ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้ ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำสิ่งใด”
นางมองทุกคนที่อยู่ณ ที่นั้น
”พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าหนานกงอี้ไม่ได้กินยา ?”
ผู้คนต่างเงียบกริบแม้ว่านางจะมีพรรคสัตว์อสูรหนุนหลัง ทว่านี่คือศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะกล้ามีปัญหากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เล่า
ทว่าจู่ๆ ท่ามกลางฝูงชนกลับเกิดเสียงสองเสียงดังทะลุกลางปล้องขึ้นมา
”ข้าเห็น”
”ข้าก็เห็นเช่นกัน”
เสียงสองเสียงนี้ทำให้บริเวณโดยรอบเวทีทั้งหมดเงียบงัน
ไป๋หยานเหลียวไปมองจึงได้เห็นไทเฮาพร้อมด้วยเด็กชายคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน
ทันทีที่เด็กชายแลเห็นไป๋หยานแววตาของเขาก็เบิกบานสดใส เขาวิ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
”อาจารย์หญิง… ”
เขากล่าวทักด้วยท่าทางเขินอายบิดไปบิดมา
เด็กชายผู้นี้ก็คือหนานกงซุ่น ผู้ซึ่งไป๋เสี่ยวเฉินให้การช่วยเหลือ กระทั่งนำกลับไปยังคฤหาสน์โบราณ อย่างไรก็ตามหลังจากไป๋หยานรับเขาเป็นศิษย์ นางก็ไม่มีเวลาสนใจเขาอีก ทว่าเขากลับโผล่ออกมาช่วยนางในเวลาเช่นนี้
ส่วนอีกคนที่พยายามช่วยนางยืนยันก็คือไทเฮา แม้กระทั่งไป๋หยานเองก็ไม่เข้าใจ นางและไทเฮาไม่ได้พบกันมาระยะหนึ่งแล้ว เหตุใดไทเฮาถึงยอมเคียงข้างนางเช่นนี้ ?
”ไทเฮา!”
ใบหน้าของหนานกงหยวนแลดูวิตกกังวลหนานกงซุ่นเป็นเพียงบุตรชายคนหนึ่งของเขา เช่นนั้นเขาย่อมสามารถตัดทิ้งได้
ทว่าไทเฮาเป็นถึงเสด็จแม่ของเขาทั้งเขาเองก็เป็นลูกกตัญญู เขาจะละเลยนางได้อย่างไร ?
หากแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งมากอาณาจักรรวมกันสักร้อยอาณาจักรก็หาใช่คู่ต่อสู้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ !
”อีอี้เสี่ยวอวิ๋น” ไป๋หยานเลิกคิด นางยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “เว้นแต่ไทเฮา และซุ่นเอ๋อแล้ว คนที่เหลือข้าได้บันทึกชื่อไว้หมดแล้ว รายชื่อเหล่านี้ถูกขึ้นบัญชีดำ ในภายหน้าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อยาของหอบุปผา”
***จบบทอาจารย์อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกลัว (1)***
บทที่ 368 : อาจารย์อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกลัว (2)
หมอปรุงยาที่เหวินหรู่เป็นผู้ฝึกฝนก็เกือบจะผ่านหลักสูตรกันหมดแล้วถึงเวลาที่จะสร้างโรงโอสถขึ้นในหอบุปผาแล้ว เมื่อถึงยามนั้นจะดูสิว่าคนขี้ขลาดเหล่านี้จะมีสีหน้ายังไง ?
ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมเป็นธรรมดาที่นางจะไม่หวั่นเกรง
อย่างไรก็ตามคนพวกนั้นต่างก็ไม่เข้าใจว่าการที่นางไม่ขายยาให้พวกเขานั้นจะส่งผลกระทบใดกับพวกเขา ?
ฝูงชนได้แต่ตกตะลึง
ยาอะไรยาอะไรกัน ? หอบุปผาขายยาด้วยกระนั้นรึ ?
โดยปกติแล้วหมอปรุงยาจะไม่ขายยาเม็ดที่ตนปรุง หากไม่จ้างหมอปรุงยา ก็ไม่สามารถซื้อยาเองได้ ?
ทว่าตอนนี้นางบอกว่าหอบุปผาจะขายยา ?
ผู้คนรู้สึกเสียใจเล็กน้อยแต่แล้วก็ตั้งสติได้
แม้ว่ายาจะมีความสำคัญแต่หากต้องตาย จะมีโอกาสใช้ยาได้อย่างไร ? พวกเขาเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ดีว่าในยามนี้ต้องเลือกสิ่งใด
”ดี”
ฉู่อีอี้เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มไม่น่าแปลกใจเลยที่ไป๋หยานไม่ยอมให้นางแสดงฐานะแท้จริงออกมา ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า นางเองก็ต้องการที่จะเห็นโฉมหน้าแท้จริงของคนเหล่านี้
ในขณะที่ฉู่อีอี้กำลังคิดที่จะเปิดเผยฐานะของตนเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของไป๋จื่อก็ดังมาจากด้านข้าง
“กะแค่ยาเม็ดเห็นเป็นเรื่องใหญ่โตไปได้ ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มียาตั้งมากมาย ที่สำคัญที่สุดมีหมอปรุงยาอยู่ด้วย หากพวกเจ้าต้องการยา ข้าย่อมสามารถหามาขายให้พวกเจ้าได้”
พวกเขาแลดูมีความสุขขึ้นอย่างน้อยเมื่อเลือกเข้าข้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็ยังพอได้ผลประโยชน์อยู่บ้าง
ในทางกลับกันใบหน้าของลู่จีเฟิงแลดูน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย “จื่อเอ๋อ หมอปรุงยาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนของท่านประมุข ท่านทั้งสามต่างก็เป็นหัวหน้าคณะผู้อาวุโส”
“พี่ลู่อย่าได้คิดมากเลย ทันทีที่ข้าเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะไปพบท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ข้าเป็นคนน่ารักมาก เชื่อแน่ว่าท่านผู้อาวุโสทั้งสามจะต้องชอบข้า ท่านว่าจริงหรือไม่ ?” จื่อเอ๋อเล่นลิ้น นางเอ่ยกล่าวด้วยท่าทีไร้เดียงสา
ลู่จีเฟิงชอบสตรีที่ไร้เดียงสาและตรงไปตรงมาเสมอ แต่ครานี้ถ้อยคำของจื่อเอ๋อทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยมีโอกาสได้พบผู้อาวุโสทั้งสามก็เพียงบังเอิญเท่านั้น โดยปกติแล้วเขาไม่เห็นท่านทั้งสามเลย อย่าว่าแต่ไป๋จื่อ เกรงว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้
ฉู่อีอี้กำลังจะหยิบป้ายประจำตัวออกมายืนยันฐานะของตนแต่ครั้นได้ยินประโยคดังกล่าว มือของนางพลันสั่นเทาด้วยความตกใจ ป้ายประจำตัวของนางพลัดตกลงบนพื้นทันที
นี่…เจ้ายังกล้าคิดเองเออเองอีกเจ้ากล้ากลั่นแกล้งศิษย์ของผู้อาวุโสทั้งสาม ทั้งยังอยากให้ผู้อาวุโสทั้งสามชอบนางอีกกระนั้นรึ ?
”นี่คืออะไร”ไป๋จื่อมองป้ายประจำตัวของฉู่อีอี้ที่ตกลงบนพื้น นางกำลังจะหยิบป้ายจากพื้นขึ้นมา ทว่าเวลาเดียวกันนั้นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็รีบเข้ามารายงาน
”นายท่านลู่บรรดาผู้อาวุโสมาถึงแล้ว หัวหน้าคณะผู้อาวุโสทั้งสามก็มาถึงแล้วเช่นกัน!”
หัวหน้าคณะผู้อาวุโสคืออะไร? นั่นมิใช่เป็นการพิสูจน์ว่าสถานะของพวกเขาสูงส่งกว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ หรอกรึ แม้แต่ประมุขของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องเกรงใจพวกเขา
ลู่จีเฟิงมองป้ายที่ตกบนพื้นด้วยความสงสัยแต่ครั้นเขาได้ยินการรายงานของผู้คุ้มกัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว พลันนัยน์ตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ
โดยปกติแล้วด้วยฐานะศิษย์ใน ลู่จีเฟิงย่อมไม่เคยมีโอกาสได้ติดต่อกับคนฐานะเช่นฉู่อีอี้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่อาจจำป้ายของนางได้นับแต่แรกเห็น ทว่าหากพินิจพิจารณา เขาก็คงจะเดาฐานะของฉู่อีอี้ได้ไม่ยาก
ในยามนี้หัวหน้าคณะผู้อาวุโสก็เดินเข้ามา !
ลู่จีเฟิงดีใจมากกระทั่งลืมสนใจป้ายที่ตกบนพื้น
ไม่นานนักชายชราสามคนผู้ซึ่งมีบุคคลิกแตกต่างกันก็ก้าวยาว ๆ เข้ามา เขาก้าวเร็วเสียจนอาภรณ์ของพวกเขาปลิวตามทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดิน
ทว่า…
มิรู้ว่าด้วยเหตุใดลู่จีเฟิงจึงรู้สึกว่าท่าทางของชายชราทั้งสามนั้นแลดูดุร้ายราวกับว่าเขาไปทำให้ท่านทั้งสามขุ่นเคือง เขายิ่งสับสนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
***จบบทอาจารย์อยู่ที่นี่แล้วไม่ต้องกลัว (2)***
บทที่ 369 : ตบหน้า (1)
”นายท่านลู่”ผู้คุ้มกันอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าของลู่จีเฟิง “ท่านผู้อาวุโสโกรธเพราะท่านไม่ได้ส่งคนไปรับพวกเขาที่หน้าประตูเมือง”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวลู่จีเฟิงก็ตกใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
ในเมื่อรู้สาเหตุแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เขาก้าวช้าๆ เข้าไปหาเจิ้งฉี และชายชราอีกสองคนพร้อมด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
ไป๋จื่อเดินตามหลังนัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยประกายสดใส นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางไป๋หยานผู้ซึ่งยืนอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยแววตาโอ้อวด
เจ้าล่อลวงอ๋องคังได้แล้วไง? ถึงเวลาหรือยังที่จะยอมจำนนให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ?
ในภายหน้าเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมองหน้าข้าด้วยซ้ำ !
”ผู้อาวุโสทั้งสามครั้งนี้ข้าประมาทเลินเล่อไปจริง ๆ ข้ามิได้ส่งคนไปรอรับพวกท่านที่หน้าประตูเมือง ขอท่านผู้อาวุโสทั้งสามโปรดอย่าได้ถือโทษข้าเลย”
”อืม”เจิ้งฉีเอ่ยตอบเบา ๆ “แล้วเจ้าเป็นใคร ?”
ใบหน้าของลู่จีเฟิงแข็งค้างเขายิ้มเจื่อน ๆ “ข้า…ลู่จีเฟิง ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บางทีฐานะของข้าอาจต่ำต้อยเกินไป เช่นนั้นท่านผู้อาวุโสจึงไม่รู้จักข้า”
”ลู่จีเฟิงงั้นหรือ? ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ นี่เรามีคนชื่อนี้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ ?” เจิ้งฉีเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็ขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ว่ามีคนชื่อลู่จีเฟิงอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ใบหน้าของลู่จีเฟิงซีดไร้สีเลือดเขามองชายชราทั้งสามผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
นี่… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่งเขามาคัดเลือกคนมิใช่หรือ ? เหตุใดท่านผู้อาวุโสถึงไม่รู้จักชื่อของเขาล่ะ ?
เขากล่าวอย่างงงๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสอาจจะเข้าใจผิด โชคดีที่ข้ามีป้ายประจำตัวศิษย์ในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ติดมาด้วย ขอเชิญท่านตรวจดูได้”
ลู่จีเฟิงรีบหยิบป้ายประจำตัวออกมาอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็ส่งมอบให้กับชายชราทั้งสามอย่างระมัดระวัง
สีหน้าของฉิวชู่หรงนั้นเย็นชาเขาคว้าป้ายประจำตัวของลู่จีเฟิงมาถือไว้ในมือ พร้อมกับตวาดออกมาด้วยความโมโห “เจ้ากล้าเสแสร้งแสดงตัวเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังขโมยป้ายประจำตัวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย !
ลู่จีเฟิงมึนงงอย่างเห็นได้ชัดเขาเห็นสายตาของทุกผู้คนหันมาจ้องหน้าเขาเป็นตาเดียว เขาก็รู้สึกอับอาย และโมโหขึ้นทันที
“ผู้อาวุโสทั้งสองบนป้ายนั่นมีชื่อของข้าสลักอยู่ด้วย” เขาพยายามสงบใจอยู่นานก่อนที่จะเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา
ฉิวชู่หรงมองเยาะเย้ยพลางกล่าวว่า”เป็นชื่อของเจ้าแล้วไง ? เมื่อข้าบอกว่าเจ้าไม่ได้เป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”
ลู่จีเฟิงตื่นตระหนกที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายในถ้อยคำดังกล่าวของชายชราเหล่านี้ ชายชราเหล่านี้ต้องการขับไล่เขาออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ ?
ทว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเหตุใดผู้อาวุโสทั้งสามถึงอยากขับเขาออกจากดินแดนศักด์สิทธิ์ ?
เพียงเพราะเขาไม่ได้ส่งคนไปรอรับผู้อาวุโสทั้งสามที่หน้าประตูเมืองแค่นั้นหรือ?
ฝูงชนฮือฮา
ผู้ใดจะคาดคิดว่าลู่จีเฟิงผู้ซึ่งเคยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ บัดนี้กลับกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ?
ไป๋จื่อดึงสติของลู่จีเฟิงกลับมานางเดินถอยห่างออกไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากลู่จีเฟิง ด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบถึงนาง
ทว่าตอนนี้ลู่จีเฟิงไม่สนใจไป๋จื่อแล้ว นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ เขากำมือแน่น “ท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ข้ายอมรับว่า ข้าละเลยพวกท่าน หากแต่ท่านประมุขมอบหมายหน้าที่ในการตัดสินการประลองคัดเลือกครั้งนี้ให้แก่ข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจในเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นใด ทว่าพวกท่านกลับถือสาเรื่องที่ข้าไม่ได้ส่งคนไปรอรับพวกท่านที่หน้าประตูเมือง ถึงขนาดที่พวกท่านต้องขับไล่ข้าออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยกระนั้นหรือ ? ”
น่าประหลาดใจจริงๆ เด็กคนนี้กล้าพูดกับพวกเขาเช่นนี้ได้อย่างไร ?
”ท่านประมุขให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” เจิ้งฉีเอ่ยเยาะเย้ย “องค์หญิงน้อยเองก็อยู่ที่นี่ คงไม่ต้องถึงมือเจ้ากระมัง !”
องค์หญิงน้อย
ลู่จีเฟิงเบิกตากว้างขึ้นทันที
***จบบทตบหน้า (1)***
บทที่ 370 : ตบหน้า (2)
องค์หญิงน้อยอยู่ในอาณาจักรนี้กระนั้นรึ? เหตุใดเขาถึงไม่ได้ข่าวเลย ?
”องค์หญิงน้อย? ผู้ใดคือองค์หญิงน้อยที่ผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวถึง ?
”ชู่ว์องค์หญิงน้อยที่บรรดาผู้อาวุโสกล่าวถึงเป็นคนสำคัญมากเลยนะรู้หรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าธิดาคนเล็กของประมุขแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้รับฉายาว่า ‘องค์หญิงน้อย’ ”
”เช่นนั้นองค์หญิงน้อยจะมาเยือนอาณาจักรกันดารนี่ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก ! ผู้อาวุโสคงเอ่ยถึงคนอื่นเป็นแน่ !”
เจิ้งฉีสะบัดแขนเสื้อของตนจากนั้นก็ก้าวช้า ๆ ไปทางไป๋หยานและฉู่อีอี้
ครั้นเห็นชายชราทั้งสามเดินตรงไปทางไป๋หยานไป๋เซียวก็รีบก้าวออกมายืนขวางหน้านาง พลางจ้องมองชายชราอย่างระแวดระวัง
บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่ลู่จีเฟิงแสดงออก ทำให้เขาไม่ชอบคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
”เซียวเอ๋อไม่เป็นไร พวกเขาไม่ทำร้ายข้าหรอก”
ไป๋หยานตบบ่าของไป๋เซียวพร้อมกับยิ้มนางจ้องมองชายชราทั้งสามที่กำลังเดินตรงมาหานาง
”พวกท่านมีทีท่าดุดันเช่นนี้เห็นบ้างหรือไม่ว่าน้องชายของข้าตกใจหมดแล้ว ?”
ผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งใครๆ ต่างก็เคารพนับถือ ไม่ว่าผู้ใดหากอยู่ต่อหน้าพวกเขาจะต้องวางศักดิ์ศรีทั้งหมดลง
ทว่าไป๋หยานกลับกล่าววาจาเช่นนี้ถ้อยคำของไป๋หยานทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง พวกเขาต่างก็จ้องมองใบหน้างดงามนั้นด้วยความตกใจ
สตรีผู้นี้…ข้าไม่รู้ว่านางโง่หรือบ้าที่กล้าใช้สายตาเช่นนั้นกับท่านผู้อาวุโสทั้งสาม นางไม่กลัวหรือไรว่าท่านผู้อาวุโสจะโกรธนาง กระทั่งลงมือสังหารนาง ?
แววตาของไป๋จื่อส่อประกายน่ากลัวหากนางมีโอกาสได้เห็นภาพที่ร่างของไป๋หยานชุ่มโชกไปด้วยโลหิต แน่นอนว่านางจะต้องสะใจ คิดแล้วนางก็เผยรอยยิ้มชั่วร้าย
ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเจิ้งฉีและผู้อาวุโสอีกสองคนต้องโกรธแน่ ๆ ชายชราทั้งสามกลับมีทีท่าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทำตัวลีบ และถอนแรงกดดันออก
สีหน้าของเหรินอี้แลดูเหมือนกำลังลำบากใจเขายิ้มเจื่อน ๆ ขณะเอ่ยว่า “ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง ข้าลืมไปว่าที่นี่หาใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่”
เวทีประลองทั้งหมดเงียบงันทันใด
ตอนนี้แม้แต่ลู่จีเฟิงศิษย์ในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกขับออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดายทว่าหญิงผู้นั้นกลับกล้าแสดงออกกับผู้อาวุโสทั้งสามเช่นนั้น ที่ซ้ำร้ายก็คือพวกเขากลับไม่ถือสานางเลย ?
นี่มัน…
เกิดอะไรขึ้น
ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่สบายใจโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เข้าข้างลู่จีเฟิง และช่วยใส่ร้ายเมื่อครู่
ทันใดนั้นเองเสียงกรีดร้องก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ทุกคนหันไปตามเสียงร้องจึงได้เห็นฉู่อีอี้รีบหยิบป้ายที่ตกบนพื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วพลางเช็ดมันอย่างระมัดระวัง แลดูนางเป็นทุกข์เป็นร้อนมาก นางหันมองผู้อาวุโสด้วยสายตาโกรธ ๆ
”เป็นความผิดของพวกท่าน! นี่คือป้ายที่ท่านพ่อของข้าแกะสลักให้ข้าด้วยมือตนเอง หากมันเสียหายขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะคิดบัญชีกับพวกท่าน !”
ถึงตอนนี้ที่สุดลู่จีเฟิงก็ได้เห็นป้ายในมือของฉู่อีอี้
ป้ายส่องประกายแสงสีเหลืองเล็กน้อยมองเห็นตัวอักษรฉู่ลาง ๆ บนป้าย
ในโลกนี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ใช้แซ่ฉู่ และได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากท่านผู้อาวุโสทั้งสาม
องค์หญิงน้อยใช่หรือไม่?
เปรี๊ยะ!
เพียงไม่ช้าใบหน้าของลู่จีเฟิงก็ซีดเผือดไร้สีเลือด นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความสยดสยอง ร่างของเขาสั่นสะท้าน ลิ้นของเขาพันกัน “ท่านก็คือองค์หญิงน้อย ฉู่อี้อี้ งั้นหรือ ?”
ก่อนหน้าเขาเคยสงสัยอยู่ว่าเหตุใดหญิงผู้นี้ถึงได้แลดูคล้ายกับฉู่อีอี้นัก
และในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้องค์หญิงน้อยคอยตามติดราวกับเป็นผู้ติดตาม
ลู่จีเฟิงเบนสายตาจากฉู่อีอี้ไปที่ไป๋หยานหัวใจของเขาสั่นสะท้าน กระทั่งเขาไม่กล้าคิดถึงคำตอบ
***จบบทตบหน้า (2)***