จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 391-395
บทที่ 391 : อาจารย์ที่ไม่เหมือนอาจารย์และศิษย์ที่ไม่เหมือนศิษย์ (2)
จากนั้นใบหน้าของนางก็ยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิมหนักขึ้นไปอีก
”ยาเม็ดสีทองขั้นหก”ไป๋หยานกล่าวด้วยสีหน้าดำคล้ำ นางกวาดตาที่โชนประกายแสงจ้าไปทางผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า “ก่อนที่ข้าจะออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าได้เขียนอธิบายถึงวิธีปรุงยานี้ให้แก่พวกท่านแล้ว ทั้งข้ายังให้เวลาพวกท่านตั้งหลายเดือนเพื่อพัฒนาฝีมือในการปรุงยา ยากนักหรือไร ที่จะทำให้สำเร็จในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี่ ? นี่พวกท่านคิดยั่วโมโหข้าใช่หรือไม่ ?”
ฉิวชู่หรงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก”ไม่…มิใช่เช่นนั้นศิษย์รักฟังคำอธิบายของข้าก่อน ข้าประสบความสำเร็จในการปรับแต่งยาเม็ดสีทองแล้วนะ แต่บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ข้าได้พบกับเจ้า จึงทำให้ข้าตื่นเต้นมากเกินไป”
เขารู้สึกว่าหากมองในฐานะอาจารย์เขาก็ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย! แต่ผู้ใดใช้ให้ศิษย์ของเขามีความสามารถมากกว่าเขาเล่า
ในเรื่องการปรุงยานั้นศิษย์ของเขาได้คอยช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างมาก ทั้งยังช่วยแนะนำพวกเขาให้คิดค้นยาแปลก ๆ ใหม่ ๆ ขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย
นอกจากนี้เมื่อพวกเขาสอนวิชาให้นางความเร็วในการฝึกฝนของนางนั้นก็รวดเร็วผิดปกติ กระทั่งพวกเขาตกใจ ทั้งยังไม่สามารถหาโอกาสที่จะตำหนินางได้เลย
เช่นนั้นท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องรับฟังการดุด่าของนาง
”งั้นรึ?” ไป๋หยานยิ้มเยาะ “ข้าจะให้ท่านยืมเตาหลอมยาของข้า ท่านช่วยหลอมยาเม็ดสีทองมาให้ข้าตอนนี้เลยจะได้หรือไม่ ข้าอยากจะดูสิว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ท่านขยันฝึกปรุงยา หรือมัวแต่ยุ่งอยู่กับอิสตรี”
อาจารย์สามไม่ชื่นชอบสิ่งใดนอกจากระบายความต้องการทางเพศเช่นนั้นการปรุงยาของเขาจึงย่ำแย่ที่สุดในบรรดาอาจารย์ทั้งสามคน ! แม้ว่าเขาจะพยายามฝึกหนักแล้วก็ตามที
ครั้นเห็นไป๋หยานนำเตาหลอมออกมาวางข้างหน้าเขาฉิวชู่หรงก็เหยียดมือสั่น ๆ ออกมา เพื่อปฎิบัติภารกิจหลอมยาเม็ดสีทอง
ยิ่งเขาประหม่ามากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งทำผิดพลาดมากเท่านั้น เพียงไม่นานก็เกิดเสียงดังในหม้อแสดงชัดว่าเขาล้มเหลวในการหลอมยา
โชคดีที่เตาหลอมของไป๋หยานนั้นประมุขสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อนางแม้ว่าการปรุงยาจะล้มเหลว เตาหลอมก็จะไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด ฉิวชู่หรงหยิบสมุนไพรออกมาอีก หวังจะหลอมยาใหม่
ทว่าครานี้เขาก็ยังคงล้มเหลวเฉกเช่นเคย!
ครั้นเห็นสีหน้าของไป๋หยานยิ่งดำคล้ำลงเรื่อยๆ ฉิวชู่หรงก็รีบร้องออกมาว่า “ตอนที่ข้าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าประสบความสำเร็จในการปรุงยานี้แล้วจริง ๆ นะ หากเจ้าไม่เชื่อก็ถามพี่ใหญ่กับพี่รองได้”
ทันทีที่เจิ้งฉีและเหรินอี้ได้ยินพวกเขาทั้งคู่ต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความท้อแท้
เมื่อเห็นเช่นนั้นฉิวชู่หรงถึงกับบีบน้ำตาออกมาสองหยด พลางจ้องมองไป๋หยานอย่างเศร้าใจ
ไป๋หยานถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้นางก้าวช้า ๆ ไปหยุดเบื้องหน้าของฉิวชู่หรง พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อน ๆ
”เริ่มจากปรุงยานี่ตามวิธีการที่ข้าบอกท่านจากนั้นข้าจะคอยชี้แนะท่านเอง”
”ได้”
ฉิวชู่หรงเช็ดหัวตาในเมื่อศิษย์รักยกโทษให้เขาแล้ว สีหน้าของเขาก็กลับคืนสู่ปกติ หากเขาล้มเหลวอีกครั้ง ครานี้เกรงว่าศิษย์รักจะต้องตำหนิเขาอย่างรุนแรงเป็นแน่
*****
ห้องเก็บสมบัติทั้งห้องเงียบสนิท
ตระกูลหลานนำโดยท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานจ้องมองคู่ศิษย์อาจารย์ด้วยความตกใจ
เจ้าเคยเห็นลูกศิษย์คนใดกล้าดุอาจารย์บ้างหรือไม่?
เจ้าเคยเห็นอาจารย์คนใดกลัวศิษย์ของตนดุบ้างหรือไม่?
เจ้าเคยเห็นศิษย์ชี้แนะอาจารย์ในการปรุงยาหรือไม่?
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างปรากฏชัดในสายตาของพวกเขาแล้ว
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ของไป๋หยานเป็นถึงผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ! พวกเขาทั้งแข็งแกร่ง แข็งแรง และมีอำนาจ
ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศิษย์ กลับกลายเป็นสุนัขตัวน้อยที่วอนขอความเมตตากระนั้นรึ ?
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากผู้ใดก็ได้ช่วยบอกเขาทีเถิดว่า เหตุใดผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลานสาวที่น่ารักของเขา ?”
***จบบทอาจารย์ที่ไม่เหมือนอาจารย์และศิษย์ที่ไม่เหมือนศิษย์ (2)***
บทที่ 392 : เกิดเรื่องแล้ว (1)
ช่วงเวลานี้เกิดความผิดพลาดอย่างรุนแรงภายในเตาหลอม
หน้าผากของฉิวชู่หรงเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเขาจ้องมองเตาหลอมอย่างกังวลใจ ไม่กล้าแม้แต่จะละสายตามองไปที่อื่น
ที่สุด…
ขณะที่เขายังเป็นกังวลอยู่นั้นกลิ่นหอมจาง ๆ พลันลอยออกมาจากเตาหลอม
สำเร็จ!
ฉิวชู่หรงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เขาเช็ดหยาดเหงื่อที่หน้าผาก ก่อนจะหันไปหาไป๋หยาน
”ศิษย์รักข้าปรุงยาสำเร็จแล้ว… ”
สวรรค์ย่อมรู้ดีว่าเมื่อครู่เขากลัวจนน้ำตาแทบเล็ด เพราะตอนนี้ไป๋หยานช่วยแนะนำเขาเป็นการส่วนตัว หากเขายังทำไม่ได้นางคงต้องอารมณ์เสียและดุเขาเป็นแน่
โชคดีที่เขาประสบความสำเร็จในที่สุด
”ส่งยานั่นมาให้ข้า”
หน้าผากที่เคยยับย่นของไป๋หยานค่อยๆ คลายออก นางยื่นมือไปที่ฉิวชู่หรง
ฉิวชู่หรงรีบนำยาออกมามอบให้ไป๋หยานเขายืนสงบนิ่งเพื่อรอรับคำชม
ไป๋หยานหันหลังกลับนางก้าวช้า ๆ เข้าไปหาท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน
”เมื่อไม่นานมานี้ไทเฮาได้แจ้งแก่ท่านแล้วใช่หรือไม่ว่า…ไม่ว่าข้าจะเป็นบุตรสาวของหลานเยี่ยลูกสาวของท่านหรือไม่ ตระกูลหลานก็จะยังคงเป็นครอบครัวของข้าเสมอ”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานเผยยิ้มอย่างมีความสุข
แท้จริงแล้วหลานสาวผู้นี้เป็นความภาคภูมิใจของเขามาโดยตลอด
”ชั่วชีวิตของเยี่ยเอ๋อทำเรื่องผิดพลาดมากมายทว่าสิ่งที่นางทำได้ถูกต้องที่สุด ก็คือการรับเจ้าเป็นบุตรสาวของตน”
ไป๋หยานยิ้ม”ท่านตา ความแข็งแกร่งของท่านใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว เป็นการยากที่จะก้าวหน้าขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามหากท่านใช้ยาเม็ดสีทองนี้ ท่านก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหวังเจี่ย (ขั้นที่ 4) ได้ ภายหลังจากที่ยาเม็ดย่อยสลายอย่างสมบูรณ์”
ในฐานะผู้นำของตระกูลชั้นนำระดับขั้นความแข็งแกร่งของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานจัดอยู่ในระดับเทียนเจี่ย (ขั้นที่ 3) ตามปกติ แต่หากเขาแข็งแกร่งได้ถึงระดับหวังเจี่ย (ขั้นที่ 4) เขาก็จะสามารถเทียบได้กับบรรดาราชนิกูล บางทีอาจจะชิงบัลลังก์ได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามยาเม็ดนี้ไม่ได้ส่งผลรุนแรงนัก มันไม่สามารถทำให้คนฝ่าขึ้นสู่ระดับหวังเจี่ย (ขั้นที่ 4) ได้ในทันที หากแต่จะต้องรอยาย่อยสลายอย่างช้า ๆ
ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะนานเป็นปีขึ้นอยู่กับสถานการณ์
”นี่มัน… ” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานตกตะลึง นัยน์ตาของเขาเบิกกว้าง เขาจับจ้องไปที่ยาเม็ดสีทองบนมือของไป๋หยาน
มียาเม็ดชนิดนี้ในแผ่นดินใหญ่ด้วยหรือ? เหตุใดพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ?
ครั้นเห็นสายตาประหลาดใจของทุกคนฉิวชู่หรงก็เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ
”ยาเม็ดสีทองนี่ศิษย์ของข้าเป็นผู้คิดค้นขึ้นไม่มีผู้ใดในแผ่นดินใหญ่ที่สามารถปรุงขึ้นมาได้ ยกเว้นพวกเราศิษย์อาจารย์ ! จำต้องอาศัยความแม่นยำในการปรุงยา หากเป็นผู้อื่นปรุง ก็อาจลดทอนประสิทธิภาพ หรือไม่ก็อาจทำให้ตัวระเบิด ถึงแก่ความตายทันทีก็เป็นได้”
โดยทั่วไปแล้วยาเม็ดระดับหกที่ใช้ในการฝึกฝนจะสามารถใช้งานได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหวังเจี่ยขึ้นไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ไป๋หยานจึงหาวิธีลดผลกระทบของยา เพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ถึงระดับหวังเจี่ยสามารถใช้ยาเม็ดนี้ได้
เพียงครู่ทุกคู่สายตาต่างก็หันมาจับจ้องไป๋หยานเป็นตาเดียวแววตายกย่องและชื่นชมทำให้นางไม่สบายใจนัก
เพราะตำรับยาเม็ดสีทองนี่เป็นสิ่งที่นางได้รับเมื่อครั้งนางอยู่ในชีวิตก่อนหน้านี้ที่ประเทศจีน ครั้นนางมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางก็พบว่าตำรายาของโลกแห่งนี้ล้าหลังกว่า เมื่อเทียบกับประเทศจีนที่นางเคยอาศัยอยู่
แม้ว่านางจะพัฒนาตำรับยาหลายชนิดในประเทศจีนทว่านางก็มิใช่ผู้คิดค้นสูตรยาเม็ดสีทองนี้
”แค่ก”ไป๋หยานกระแอมขึ้นอย่างละอาย “ท่านตา ท่านให้คนอื่นออกไปก่อนเถิด อาจารย์ทั้งสามต้องการเวลาในการฝึกฝนมากกว่านี้”
หากเป็นก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานคงกลัวว่าฉิวชู่หรงจะตำหนิไป๋หยาน ทั้งจะไม่ยอมรับยาเม็ด
ทว่าบัดนี้เมื่อเขาได้เห็นมุมมองที่ผู้อาวุโสทั้งสามมีต่อไป๋หยานแล้วเขาก็รับยามาพร้อมรอยยิ้มโดยไม่เกรงใจ
***จบบทเกิดเรื่องแล้ว (1)***
บทที่ 393 : เกิดเรื่องแล้ว (2)
“เช่นนั้นพวกท่านก็ค่อยๆ ฝึกฝนไปแล้วกันนะ” เขาหันกลับมาพลางกระแอมต่อหน้าฝูงชนที่อ้าปากค้างอยู่ข้างหลัง “พวกเราอย่าอยู่รบกวนผู้อาวุโสทั้งสามเลย กลับไปพักผ่อนกันเถอะ”
จากนั้นท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็หันหลังเดินออกจากห้องเก็บสมบัติไป
คนที่เหลือต่างก็ทะยอยออกไปอย่างต่อเนื่องเพียงพริบตาก็เหลือแค่ผู้อาวุโสทั้งสามในห้องเก็บสมบัติ
”ศิษย์รัก”ฉิวชู่หรงถูมือตนเองอย่างไม่สบายใจนัก “เจ้าเห็นหรือไม่ บัดนี้ข้าทำสำเร็จแล้ว … ”
ไป๋หยานหยิบกระดาษสีแดงออกมาจากสาบเสื้อของนางจากนั้นก็โยนไปที่อาวุโสสาม
”ข้าได้จดบันทึกรายละเอียดวิธีการกลั่นยาทั้งหมดรวมถึงทำเครื่องหมายข้อควรระวังทั้งหมดให้แก่ท่านแล้ว ท่านสามารถฝึกฝนได้เลย ส่วนเตาหลอมนั่นข้าให้พวกท่านยืมก่อน แต่หากพวกท่านทำบ้านสกุลหลานระเบิดอีกล่ะก็…ฮึ่ม”
ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาของฉิวชู่หรงพลันสว่างวาบขึ้นเขารีบยกมือขึ้นคว้าตำรับยาจากมือของไป๋หยาน
ทว่าเขายังไม่ทันได้แตะต้องกระดาษเหรินอี้ก็ผลักเขาออก “หลบไป ตำรายาต้องมอบให้ข้าก่อน”
ฉิวชู่หรงโกรธ”เหตุใดต้องให้เจ้าก่อน ? เจ้าเป็นใครกัน ?”
”ข้าเป็นพี่รองไงข้าควรได้ก่อนเจ้า เพราะเจ้ามันอ่อน รอให้ข้าศึกษาซะก่อนเจ้าค่อยเอาไป เจ้ากำลังพึงใจแม่ม่ายของผู้อาวุโสหกอยู่มิใช่หรือ เหตุใดเจ้าไม่ไปเล่นกับนางก่อนล่ะ อย่าเพิ่งมารบกวนข้า”
เหรินอี้กล่าวอย่างมั่นใจ
”แค่กๆ ” เจิ้งฉีกระแอมแห้ง ๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าดุดัน “ข้าอาวุโสกว่าพวกเจ้า เช่นนั้นต้องเป็นของข้าจึงจะถูกต้อง … ”
”อย่ายุ่ง!”
ครั้นเจิ้งฉีกล่าวจบเหรินอี้และฉิวชู่หรงก็หันศีรษะกลับมามองพร้อมกับตะโกนด้วยความโกรธ
เพื่อตำรายาแล้วผู้ใดสนใจความอาวุโสกันเล่า ? หากพวกเขาร่วมมือกัน เจิ้งฉีผู้ซึ่งมีอาวุโสกว่าก็แค่อ่วม !
ครั้นเห็นชายชราทั้งสามกำลังจะต่อสู้กันเพื่อแย่งตำรายาไป๋หยานก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ว่า “พวกท่านจะไม่คัดลอกตำรากระนั้นหรือ ?”
เสียงของนางราวกับสายลมกรรโชกส่งผลให้ชายชราทั้งสามที่กำลังทะเลาะกันเสียงดังเงียบเสียงลงทันที
เมื่อครู่… พวกเขาลืมเรื่องการคัดลอกตำรายาไปได้ไงนี่ ?
ทั้งยังต้องเสียหน้าต่อหน้าลูกศิษย์อีก
”คือ…” ใบหน้าเหี่ยว ๆ ของเจิ้งฉีเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาอยากจะกล่าวบางอย่าง เพื่อลบความละอาย ทว่ายามนี้เขากลับไม่สามารถกล่าวคำใดออก
ไป๋หยานเหลือบตามองพวกเขา”ยังคงใช้กฎเดิม จดจำตำรายา จากนั้นก็เผาตำราซะ หากผู้ใดกล้าเผยแพร่ออกไป อย่าหวังว่าจะได้จากข้าอีกเลย”
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็พยักหน้ารับอย่างจริงจัง
”ไม่ต้องกังวลศิษย์รัก พวกเราจะไม่เปิดเผยตำรายา แม้แต่ท่านประมุขข้าก็จะไม่ยอมให้เขาได้ล่วงรู้”
จากคำพูดของเจิ้งฉีเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้นำพาความยิ่งใหญ่ของท่านประมุขเลย
ไป๋หยานหัวเราะอย่างไม่รู้จะกล่าวคำใดดีนางหันหลังเดินจากไปท่ามกลางความมืดในยามราตรี
*****
ราตรีที่มืดสนิทท้องฟ้ายามค่ำคืนช่างเงียบสงบ
บนเส้นทางที่เงียบเหงาบุรุษในอาภรณ์สีม่วง เส้นผมสีเงินยวงยืนอยู่ภายใต้สายลมเย็น เขาหล่อเหลาราวกับเทพปีศาจผู้สามารถสะกดสิ่งมีชีวิตทั้งหมดให้ตะลึงงัน
”บอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้นถึงต้องมาพบกับข้าดึกดื่นเช่นนี้ ? แล้วเรื่องที่ข้าให้ไปจัดการเป็นอย่างไรบ้าง ?”
”องค์ราชากระหม่อมได้แจ้งให้ท่านราชครูทราบแล้ว เขากำลังดำเนินการอยู่ แต่ที่กระหม่อมมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่นี่ก็เพราะยังมีอีกเรื่อง”
”เรื่องใด?”
ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเย็นชา
”ขณะนี้ที่ป่าสัตว์อสูรกำลังระส่ำระสายหัวหน้าเผ่าต่างๆ ก็กำลังเกิดข้อพิพาทเช่นกัน และหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป โลกอาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย”
สีหน้าของตี้คังยังคงสงบนิ่งแสงจันทร์กระทบแผ่นหลังของเขา ขับให้เสื้อผ้าของเขาสว่างไสว งดงาม
”สัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุดอยู่ในระดับใด?”
”ระดับจุนเจี่ย(ขั้นที่ 5)”
ฮัวหยูกล่าวตอบตามจริง
***จบบทเกิดเรื่องแล้ว (2)***
บทที่ 394 : เกิดเรื่องแล้ว (3)
”ระดับจุนเจี่ย(ขั้นที่ 5) กระนั้นรึ ? ตอนนี้ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรในแผ่นดินใหญ่นี้อ่อนแอมาก”
สัตว์อสูรในแผ่นดินใหญ่มิอาจเทียบกับสัตว์อสูรในแดนอสูรได้เลยเช่นนั้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมาตี้คังจึงไม่รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเหล่านี้ กระทั่งได้ยินฮัวหยูรายงาน นัยน์ตาของตี้คังพลันหรี่ลง แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“อย่างไรก็ตามถึงความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเหล่านี้จะอ่อนด้อยมาก ทว่าก็ยังดีที่ยังพอจะปกป้องเฉินเอ๋อได้ หากพวกมันต้องตายก็นับว่าน่าเสียดาย ฮัวหยู…ข้าจะไปที่ป่าสัตว์อสูรด้วยตัวเอง เจ้าจงอยู่ปกป้องราชินีและองค์ชายน้อยที่นี่”
”พ่ะย่ะค่ะองค์ราชา”
ฮัวหยูลดศีรษะลงเอ่ยกล่าวอย่างนอบน้อม
*****
วันรุ่งขึ้น
บนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนของอาณาจักรผู้คนต่างกำลังกล่าวขานกันอย่างเซ็งแซ่ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังเมื่อวานนี้
ในปากของหวังเสี่ยวผางอัดแน่นไปด้วยซาลาเปาขณะรับฟังบทสนทนาของผู้คน ก้อนเนื้อบนใบหน้าที่อวบอ้วนของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ไป๋เสี่ยวเฉินเจ้าเป็นพี่ใหญ่ของข้า นับแต่นี้ข้าก็จะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องคุ้มครอง ผู้ใดก็ตามที่กล้าข่มขู่ข้า ข้าจะรายงานกับพี่ใหญ่ของข้า”
แท้จริงแล้วหวังเสี่ยวผางมีอายุมากกว่าไป๋เสี่ยวเฉินสองถึงสามปีแต่เขาคิดว่า หากเขามีพี่ใหญ่ที่ทรงอำนาจถึงเพียงนี้ วันหน้าหากเขาได้กลับบ้านสกุลหวังซึ่งเป็นบ้านใหญ่ของเขา เขาก็อยากจะดูน้ำหน้าผู้ที่ขับเขาออกจากตระกูลนักว่าจะวางตัวอย่างไร !
”หวังเสี่ยวผาง”ไป๋เสี่ยวเฉินมองหวังเสี่ยวผางด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าทำความผิดใด ท่านปู่ของเจ้าถึงได้ขับเจ้าออกจากบ้าน”
หวังเสี่ยวผางเช็ดมุมปาก”ครั้งนั้นข้าทุบตีคนบางคน คนผู้นั้นไปฟ้องท่านปู่ ทั้งยังข่มขู่ท่านปู่ของข้า นอกจากนี้แต่เดิมตระกูลหวังของข้าก็คอยแต่จะเห็นข้าเป็นตัวตลก ท่านปู่ก็เลยขับข้าออกจากบ้าน”
”ก็แล้วเจ้าตีเขาทำไมล่ะ?”
”ข้าไม่ชอบเขา”
เจ้าไม่ชอบเขางั้นเหรอ?
ไป๋เสี่ยวเฉินเบิกตากว้างสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เพียงเพราะเจ้าไม่ชอบเขารึ?
เหตุผลอะไรกันนี่?
ไม่น่าแปลกใจที่ลุงหวังมักจะตีหวังเสี่ยวผางแท้จริงแล้วหวังเสี่ยวผางชอบทุบตีผู้คนโดยไม่มีเหตุผลล่ะสิ
”อ๊า!”
จู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น หวังเสี่ยวผางเกือบจะทำซาลาเปาตกลงพื้นเพราะมือไม้สั่น
แต่…
ยังมิทันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างอ้วน ๆ ของหวังเสี่ยวผางก็ถูกลากหายออกไปนอกเมือง
”เสี่ยวผาง!”
ไป๋เสี่ยวเฉินลุกขึ้นยืน
เสี่ยวมี่ที่กำลังนอนอยู่เคียงข้างลืมตาโพลงขึ้นทันที มันพองขน และมองรอบข้างด้วยสายตาระแวดระวัง
”เสี่ยวมี่เร็วเข้า !”
ทันที่ที่ไป๋เสี่ยวเฉินพูดจบเสี่ยวมี่ก็ไม่สนใจแล้วว่ามันกำลังอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย มันขยายร่างใหญ่ขึ้น จากก่อนหน้าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของแมวน้อย บัดนี้มันกลายร่างเป็นเสือขาวตัวน้อย
”ไปเร็ว!” ไป๋เสี่ยวเฉินหันกลับมาขึ้นขี่เสี่ยวมี่ จากนั้นก็กวดไล่ตามหวังเสี่ยวผางที่ถูกลากไป
กว่าที่ฝูงชนผู้ซึ่งตกอยู่ในความหวาดกลัวจะกลับมารู้สึกตัวพวกเขาก็เห็นไป๋เสี่ยวเฉินไล่ตามสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์นั่นไป ใครบางคนรีบไปที่บ้านสกุลหลานเพื่อแจ้งให้คนบ้านสกุลหลานรับรู้
มารดาของไป๋เสี่ยวเฉินเป็นถึงศิษย์ของผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์หากการแจ้งเตือนของพวกเขาสามารถช่วยไป๋เสี่ยวเฉินไว้ได้ ไป๋หยานย่อมจะต้องขอบคุณพวกเขา เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดยอมละทิ้งโอกาสที่ดีเช่นนี้
ยามนี้ไป๋หยานกำลังนั่งอยู่ที่สนามหญ้าทันใดนั้นเองบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็รีบเข้ามาหาด้วยอาการกระวนกระวาย ร่างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ
”แม่นางไป๋เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !”
ไป๋หยานขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองบ่าวรับใช้นางพบว่ามีชายแปลกหน้าติดตามเขามาด้วย ใบหน้าของชายผู้นั้นแลดูตื่นตกใจเล็กน้อย
”เกิดอะไรขึ้น”
”คือ… เกิดเรื่องกับนายน้อยแล้ว”
***จบบทเกิดเรื่องแล้ว (3)***
บทที่ 395 : เกิดเรื่องแล้ว (4)
เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเอ๋อ
ไป๋หยานหน้าซีดเผือดนางร้อนรนแทบอยู่ไม่สุข
”เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเอ๋อ?” นางเอ่ยถาม ขณะใช้มือยึดต้นไม้แก่ ๆ ต้นหนึ่งไว้
”แม่นางไป๋หยาน”ชายแปลกหน้าที่อยู่หลังบ่าวรับใช้ก้าวออกมา “ข้าเห็นกับตาตนเองว่าเด็กชายคนหนึ่งถูกสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ลากไปตามท้องถนน จากนั้นข้าก็เห็นนายน้อยไป๋กวดไล่ตามไป ข้าจึงเกรงว่านายน้อยไป๋อาจจะได้รับอันตราย”
”สิ่งที่เจ้าเห็นคืออะไร?” ไป๋หยานหน้าซีดยิ่งกว่าเดิมนางกัดฟันเอ่ยถาม
วันนี้นางอนุญาตให้เฉินเอ๋อออกไปเล่นข้างนอกได้และเฉินเอ๋อสัญญาว่าจะกลับมาหลังจากที่ไปพบหวังเสี่ยวผางแล้ว ไม่คาดคิด จะมีบางเรื่องเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ
”มันดูเหมือนงูเขียวขนาดใหญ่… ”
งูเขียวขนาดใหญ่งั้นรึ?
มันคือ…
”ฮัวหยู!”
เรื่องที่ตี้คังจากไปนั้นไป๋หยานรู้ดีอยู่แล้ว
และนางก็รู้ว่าตี้คังสั่งให้ฮัวหยูคอยแอบติดตามให้การปกป้องนางอย่างลับ ๆ
เช่นนั้นทันทีที่นางร้องเรียกฮัวหยูก็ปรากฏตัวคุกเข่าต่อหน้านาง
”เป็นนางใช่หรือไม่?” ไป๋หยานเอ่ยถามขณะกำมือแน่น
ตี้คังเคยเล่าว่าสตรีเผ่าอสรพิษในแดนอสูรชื่นชอบเขาทั้งยังพยายามตามตื๊อเขา ท้ายสุดถึงกับหนีออกจากแดนอสูรเพื่อตามหาเขา เช่นนั้นทันทีที่นางได้ยินคำบอกเล่าของชายแปลกหน้า ความคิดแรกของนางก็คือน่าที่จะเป็นอสรพิษสาวที่ชื่อชิงหลวน
หน้าผากของฮัวหยูมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึม เขาคิดว่าแม้ชิงหลวนต้องการที่จะเปิดฉากโจมตี เป้าหมายของนางก็ควรที่จะเป็นว่าที่ราชินี นางไม่ควรหาญกล้าเปิดฉากโจมตีองค์ชายน้อย
นอกจากนี้เป็นที่รู้กันดีว่า หากทำร้ายองค์ชายน้อยสายเลือดราชวงศ์แห่งแดนอสูรซึ่งมีฐานะเป็นถึงกษัตริย์องค์ต่อไป ชิงหลวนก็ไม่ต่างจากกบฏ
ฮัวหยูไม่คิดว่าความรักของอิสตรีจะน่ากลัวถึงเพียงนี้นางคว้าตัวสหายขององค์ชายน้อยไป ก็เพื่อบีบบังคับองค์ชายน้อยให้ต่อสู้กับนาง !
”ราชินีกระหม่อมก็คิดว่า น่าที่จะเป็นนาง”
”เจ้าหานางพบมั้ย?”
แววตาของไป๋หยานเต็มไปด้วยประกายสังหารหากนังงูเขียวกล้าทำให้เส้นผมของเฉินเอ๋อหลุดร่วงแม้แต่เส้นเดียว นางจะฝังเผ่าอสรพิษทั้งเผ่าให้สิ้นซาก !
”กระหม่อมไม่พบชิงหลวนหรือแม้แต่ร่องรอยขององค์ชายน้อย ทว่ากระหม่อมสามารถติดตามร่องรอยของเสี่ยวมี่ได้”
ครั้นเห็นสีหน้าของไป๋หยานเริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อยๆ ฮัวหยูก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงเหงื่อเย็นที่ซึมบนแผ่นหลังของเขา
”พาข้าไปพบพวกเขา”
ใบหน้าซีดๆ ของไป๋หยานเต็มไปด้วยความโกรธ
เฉินเอ๋อคือ ชีวิตของนาง !
นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายเขา!
เมื่อนังงูเขียวตัวนั้นกล้าที่จะลงมือกับบุตรชายของนางนางก็จะทำให้หญิงผู้นั้นรู้รสชาติของคำว่าตายเสียดีกว่าอยู่ !
*****
ณหุบเขาอันเงียบสงัด
งูเขียวเลื้อยตรงไปข้างหน้า
ร่างของหวังเสี่ยวผางกระแทกเข้ากับพื้นอย่างต่อเนื่องเขาร้องจนเสียงแทบแหบแห้ง ใบหน้าอ้วนกลมของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
”เจ้างูบ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ! ไม่งั้นข้าจะฟ้องพี่ใหญ่ของข้า เจ้าคอยดูให้ดีเถอะ !”
”เจ้าไม่รู้หรือไงว่าใครคือพี่ใหญ่ของข้า? หากบอกเจ้าแล้ว เจ้าต้องตกใจจนตายแน่ ! แม่ของเขาเป็นถึงศิษย์ของผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายังกล้าลักพาข้ามาอีก เขาจะต้องตามมาฆ่าเจ้าแน่ !”
งูเขียวคิดว่าเด็กอ้วนนี่พูดมากเกินไปแล้วมันจึงใช้หางอุดปากเขา
หวังเสี่ยวผางโกรธจัดเขากัดหางงูเขียวทันที หลังจากนั้นเพียงครู่ฟันของเขาก็หัก น้ำตาของเขาไหลออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้น
ก็ปรากฏหน้าผาขวางอยู่เบื้องหน้างูเขียวหยุดชะงัก มันจับหวังเสี่ยวผางแขวนไว้บนหน้าผา ก่อนจะหันหัวกลับไปมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยสายตาเย็นชา
”โฮก!”
เสี่ยวมี่หยุดชะงักทันทีมันคำรามใส่งูเขียว ดวงตาสีฟ้าของมันจับจ้องราวกำลังขู่เตือน
“เสี่ยวมี่”ไป๋เสี่ยวเฉินลูบหัวเสี่ยวมี่พลางหันไปมองงูเขียว “เจ้า…ปล่อยหวังเสี่ยวผางเดี๋ยวนี้”
***จบบทเกิดเรื่องแล้ว (4)***