จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 491-495
บทที่ 491 : พยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (2)
“เอิ่ม…”ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าว พร้อมกับลูบคาง นัยน์ตากลมโตโค้งราวพระจันทร์เสี้ยว แลดูฉลาดและงดงาม “ที่นั่นคือสรวงสวรรค์ที่แท้จริง มีมวลบุปผาแวดล้อมขุนเขาทั้งสองด้าน ภูเขาสีแดงดั่งโลหิต ทั้งยังมีภูเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกฝนเหล่าอสูร ผู้เฝ้าภูเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์นั่นคือหนึ่งในสี่สัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้ใดไปถึงที่นั่นได้ ทว่าข้าคุ้นเคยกับมันดี แล้วข้าจะพาพวกเจ้าไปที่นั่น”
นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งแดนอสูรหากนางพาคนไปฝึกซ้อมในภูเขาอสูรศักดิ์สิทธิ์ วิหคอัคคีจะปฏิเสธได้อย่างไร
นอกจากนี้หลานเสี่ยวหยุนก็ยังเป็นน้องสาวของพี่สะใภ้ !
หากวิหคอัคคีไม่เห็นด้วยนางจะให้เสด็จพี่จัดการ !
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวหลานเสี่ยวหยุนก็ปรารถนาจะได้เห็นด้วยตาตนเอง แม้แต่ฉู่อีอี้เองก็ยังหันไปมองตี้เสี่ยวอวิ๋น แววตาของหญิงสาวทั้งสองเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
”วิหคอัคคี? นั่นไม่ใช่สัตว์เทพในตำนานหรอกหรือ สัตว์เทพผู้คุ้มกันแดนสวรรค์นั่นมีอยู่จริง ๆ หรือนี่ ?”
”สัตว์เทพอะไรกัน? กล้าใช้คำที่น่าละอายนี่เรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กระนั้นรึ ? วิหคอัคคีเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแดนอสูรไม่ใช่สัตว์เทพ !” ใบหน้าที่สวยงามของตี้เสี่ยวอวิ๋นแลดูขุ่นเคือง นางกล่าวถึงแดนสวรรค์ด้วยความขยะแขยง เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบความหน้าซื่อใจคดของแดนสวรรค์
”ทว่าตอนนี้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เหลือเพียงวิหคอัคคีเท่านั้น… ” สีหน้าของตี้เสี่ยวอวิ๋นแลดูเศร้าเล็กน้อย “นอกจากสัตว์เลี้ยงตัวน้อยข้างกายพี่สะใภ้ของข้าซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพยัคฆ์ขาวแล้ว สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อีกสองก็หายสาบสูญไปนานแล้ว”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีสี่ชนิดได้แก่ วิหคอัคคี พยัคฆ์ขาว มังกรเขียว และเต่าดำ
หลายพันปีที่ผ่านมาสัตว์ทั้งสี่คอยปกป้องทิศทั้งสี่ของแดนอสูรพวกมันต่างก็เป็นนายพลในการปกป้องดินแดนนี้
ทว่าตอนนี้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ มีเพียงวิหคอัคคีที่ยังมีชีวิต กับเสี่ยวมี่ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของพยัคฆ์ขาว
ทว่าผู้สืบทอดก็เป็นเพียงผู้สืบทอดหาใช่พยัคฆ์ขาวตัวจริงไม่พยัคฆ์ขาวผู้สง่างามในครานั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว
ฉู่อีอี้และหลานเสี่ยวหยุนต่างมองตี้เสี่ยวอวิ๋นด้วยสายตางุนงงดูเหมือนว่าพวกนางกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เสี่ยวอวิ๋น”หลานเสี่ยวหยุนกัดริมฝีปากพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใดเราก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นเผลอหลุดเล่าออกมาพวกนางทั้งสองก็รู้ชัดว่าตัวตนของตี้เสี่ยวอวิ๋นนั้นไม่ธรรมดาแน่ พวกนางต่างก็คิดว่า ไป๋เสี่ยวเฉินสามารถเรียกสัตว์อสูรได้ ความคิดบางอย่างพลันวาบผ่านเข้าในหัวของพวกนาง
”พวกเราเป็นทีมเดียวกัน”ตี้เสี่ยวอวิ๋นเก็บอารมณ์พลางเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “หากเจ้าทั้งสองกล้าทิ้งข้า ข้าก็จะครอบครองพี่สะใภ้แต่เพียงผู้เดียว !”
เชอะ!
อย่างไรเสียไป๋เสี่ยวเฉินก็เป็นหลานชายของนางส่วนไป๋หยานก็เป็นพี่สะใภ้ของนาง หากสองสาวกล้าทอดทิ้งนาง นางก็จะครอบครองสองแม่ลูกไว้เพียงผู้เดียว
”เจ้ากล้ารึ!” ฉู่อีอี้โมโห ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางเต็มไปด้วยความโกรธ “ตี้เสี่ยวอวิ๋น ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า ข้าไม่มีวันให้โอกาสนั้นกับเจ้า ! แม้ไป๋หยานจะไม่รับรักพี่ชายของข้า ทว่านางก็เป็นพี่สาวของข้าเสมอ !
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหรี่ตาที่สวยงามของนางลง”เจ้าต้องการที่จะต่อสู้กับข้าใช่หรือไม่ ?”
“ก็มาต่อสู้กันข้าเกรงแต่ว่าเจ้าจะไม่กล้าเท่านั้นแหละ ?” ฉู่อีอี้ไม่ยอมแพ้ นางจ้องมองตี้เสี่ยวอวิ๋นด้วยความโกรธ
ทั้งสองคนตั้งท่าที่จะต่อสู้เพียงแต่เกี่ยงกันว่าผู้ใดจะเปิดฉากก่อน
หลานเสี่ยวหยุนวิ่งเข้าไปกั้นกลางระหว่างหญิงสาวทั้งสองทั้งยังบังคับให้ทั้งคู่แยกจากกัน
เมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวทั้งสองหันไปคนละทางแล้วหลานเสี่ยวหยุนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “บางทีตอนนี้ พี่ไป๋หยานอาจมีน้องสาวคนใหม่แล้วก็เป็นได้ เราต้องร่วมมือกันสิอย่าทะเลาะกัน”
ชั่วพริบตาความตึงเครียดระหว่างหญิงสาวทั้งสองก็มลายหายไป
***จบบทพยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (2)***
บทที่ 492 : พยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (3)
“เสี่ยวหยุนพูดถูกเราต้องร่วมมือกัน ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ปล้นพี่สะใภ้”
”ไปกันเถอะข้ารู้แล้วว่าตอนนี้ไป๋หยานน่าจะอยู่ที่ใด ไปหานางกันเดี๋ยวนี้เลย”
ฉู่อีอี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นท่าทางของนางเต็มไปด้วยความมาดมั่น นางเดินนำไปข้างหน้าโดยไม่กล่าวคำใด ทุกคนต่างก็เดินตามนาง เพราะในนามขององค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกนางไม่ถูกขัดขวาง ทั้งยังผ่านเข้าสำนักเวชโอสถอย่างง่ายดาย
เพียงทว่า…
ในมุมมองของหลานเสี่ยวหยุนนางมักคิดเสมอว่า ตอนที่ศิษย์ของสำนักเวชโอสถรู้ว่าฉูอีอี้เป็นองค์หญิงน้อยแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สายตาที่พวกเขามองนางไม่ได้แสดงถึงความเคารพนบนอบ ทว่ากลับเป็นความหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
ครั้นเห็นสายตาเช่นนั้นหลานเสี่ยวหยุนก็เกาศีรษะตนเองโดยไม่รู้ตัว นางมองฉู่อีอี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ไม่รู้ว่าเพื่อนของนางไปทำอะไรให้ผู้ใดโกรธ? หรือเพื่อนของนางจะเป็นโจรหญิงที่ชอบล่าพรหมจรรย์ของชายหนุ่ม พวกเขาถึงได้หวาดกลัวถึงเพียงนี้ ?
หาไม่แล้วเหตุใดชายผู้นั้นถึงต้องกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินชื่อของนางด้วยล่ะ?
ยามนี้ฉู่อีอี้เอาแต่มองหาไป๋หยาน นางไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของหลานเสี่ยวหยุน ทั้งยังไม่รู้ว่าชื่อเสียงของตนโด่งดังในขั้วอำนาจหลัก หากแต่โด่งดังในด้านที่ว่า นางคือปีศาจสาวน้อยผู้สร้างความหายนะ
*****
ภายในห้อง
ไป๋หยานนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนางพริ้มตาหลับ ขนตายาวงอนแลดูระยิบระยับ
ตี้คังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียง เขากำลังจ้องมองใบหน้าที่สดสวยและงดงามของนาง ดูเหมือนว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ
ทว่า…
เสี่ยวมี่ที่นอนเหยียดยาวอยู่ข้างๆ พลางกลิ้งตัวไปบนร่างของไป๋หยาน ท้ายสุดอุ้งเท้าของมันก็ไปแปะอยู่บนหน้าอกของนาง
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของตี้คังพลันดำคล้ำลงเรื่อย ๆ เขาผุดลุกขึ้น จากนั้นก็ตรงเข้าไปคว้าหางของเสี่ยวมี่โดยไม่พูดไม่จา เขาดึงหางมันจนมันตื่นจากการหลับใหล
เสี่ยวมี่ลืมตาขึ้นด้วยความกลัวทันใดนั้นมันก็เห็นสีหน้าดำคล้ำของตี้คัง มันกลัวจนเกือบหมดสติ
ฮือฮือ มันยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันขัดใจเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ตั้งแต่เมื่อใด ?
ตี้คังไม่ใส่ใจสายตาที่หวาดกลัวของเสี่ยวมี่เขาคว้ามันออกไปนอกประตูจากนั้นก็โยนมันลงที่พื้นหน้าประตู
”เจ้าอยู่กับนางมากี่ปีแล้ว?”
น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำทว่ามันกลับชอนไชเข้าไปในรูหูของเสี่ยวมี่ราวเสียงของปีศาจ เสี่ยวมี่ลืมตาขึ้นมองด้วยความหวาดกลัว มันจ้องมองตี้คังด้วยแววตาน่าสงสาร
”ห้า… ห้าปี … ”
”ห้าปี…เหตุใดเจ้าไม่ทำสัญญากับนางล่ะ?” คิ้วของตี้คังย่นเข้าหากัน ทั้งสีหน้าของเขาก็แลดูไร้อารมณ์
”เอ่อคือ… นายหญิงไม่ยอมให้ข้าทำ” เสี่ยวมี่ร้องไห้อย่างขมขื่น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการทำสัญญา ทว่าเป็นเพราะนายหญิงไม่ยอมให้ข้าทำสัญญากับนาง นางกลัวว่าหากนางตาย ข้าจะต้องตายไปพร้อมกับนางด้วย”
หากทำสัญญาต่อกันเมื่อเจ้าของเสียชีวิต สัตว์ในพันธะสัญญาจะต้องตายตามอย่างแน่นอน
เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมาไป๋หยานจึงไม่เคยทำสัญญากับเสี่ยวมี่
”เจ้าต้องทำสัญญากับนาง”น้ำเสียงของชายหนุ่มแน่วแน่จริงจัง
”เพื่อ…อะไร?” เสี่ยวมี่มองเขา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ยามอยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ มันไม่สามารถกล่าวคำได้จบประโยค ร่างของมันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“เมื่อคืนราชครูส่งจดหมายมาถึงข้า เขาบอกว่าเจ้าต้องทำสัญญากับนาง”
ตี้คังยกยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และการทำสัญญากับหยานเอ๋อนั้น เจ้าควรทำด้วยตัวเอง เมื่อข้ากลับมาในครั้งหน้า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
”ราชานายน้อยอยากรู้ว่า เหตุใดท่านถึงต้องออกไปข้างนอกบ่อย ๆ นายน้อยไม่ได้ถาม ทว่าเขาอยากรู้ เช่นนั้น … ”
”บอกเขาไปว่าข้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับหยานเอ๋อเพื่อให้นางกลับไปยังแดนอสูร ช่วงนี้ข้าไม่อาจอยู่กับพวกเขาสองแม่ลูก” ตี้คังกล่าวพลางหรี่ตาลง แววตาเย็นชาเปล่งประกายแสงอ่อน ๆ “หากมีคนสร้างปัญหาให้หยานเอ๋อ เจ้าก็จัดการแทนข้าได้เลย ที่เหลือข้ารับผิดชอบเอง”
***จบบทพยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (3)***
บทที่ 493 : พยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (4)
บุตรชายของเขาต้องไม่เป็นเด็กใจอ่อน
ผู้ใดทำให้ขุ่นเคืองก็สังหารมันซะเขาจะจัดการกับทุกสิ่งที่เหลือให้เอง !
”ข้าจะบอกนายน้อย”
เสี่ยวมี่ยังคงก้มหัวร่างของมันยังคงสั่น
ใบหน้าราวปีศาจร้ายของตี้คังฉายแววแห่งความสุข
”ราชาองค์นี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ”
ทั้งที่เขาไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เหตุใดทุกคนถึงกลัวเขา ?
แน่นอนว่าคนทั่วไปต่างก็กลัวเขาเว้นแต่หยานเอ๋อ หากนางเห็นสถานการณ์เช่นนี้อาจจะคิดว่าเขารังแกเสือขาวตัวน้อยก็เป็นได้
ใบหน้าของเสี่ยวมี่เผยรอยยิ้มประจบประแจง”ราชา เหตุใดท่านชอบทำตัวให้แลดูน่ากลัวนักล่ะ ? ข้าว่า ท่านต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ ๆ จะเป็นการดีกว่า หากท่านสามารถหยุดยั้งกลิ่นอายที่ชั่วร้ายของท่านไว้ได้”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าต้องมีความกล้าหาญอย่างยิ่งถึงจะเผชิญหน้าองค์ราชาผู้นี้ได้ตลอดเวลา ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านายหญิงกับนายน้อยทนเขาได้อย่างไร ?
”อืม”
หน้าผากที่เคยย่นและคิ้วที่เคยขมวดของตี้คังพลันคลายออก เขาควรจะฝึกยับยั้งแรงกดดันมหาศาลของตน อย่างน้อยก็ต่อหน้าผู้ที่หยานเอ๋อห่วงใย เขาต้องไม่ทำอย่างที่เคยทำ
หาไม่แล้วหยานเอ๋อจะโกรธเขา
ดวงตากลมโตของเสี่ยวมี่ฉายแววตื่นตกใจนี่ราชาเห็นด้วยกับมันงั้นหรือ ?
ในขณะที่เสี่ยวมี่ยังคงตกตะลึงอยู่นั้นร่างของตี้คังพลันหายวับราวกับสายลมที่ไร้ร่องรอย เหลือเสี่ยวมี่ยืนงงอยู่เพียงลำพัง
ชั่วครู่เสี่ยวมี่ก็หมุนตัว ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปในห้อง
*****
ภายในห้องไป๋หยานยังคงหลับสนิท และบทสนทนาเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้นางตื่น
ในใจของเสี่ยวมี่นึกสงสัยนายหญิงเป็นคนหูไว แค่เสียงเพียงเล็กน้อยนางก็ตื่นแล้ว ทว่าเหตุใดตอนนี้นางยังไม่ตื่นล่ะ ?
เสี่ยวมี่ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจ
เป็นเพราะตี้คังต้องการให้นายหญิงของมันมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นเช่นนั้นขณะที่เขาพูด เขาก็ใช้กำแพงเวทกางกั้นเพื่อไม่ให้เสียงของเขาและมันหลุดรอดเข้าไปในห้อง
“ข้าขอโทษนะนายหญิงแต่ราชาบอกว่าข้าต้องทำสัญญากับท่าน”
แววตาของเสี่ยวมี่แสดงความรู้สึกผิดขณะที่มันพูดในใจ
หากนายหญิงตื่นขึ้นมานางย่อมจะไม่เห็นด้วยกับการผูกพันธะสัญญา เช่นนั้นเขาจะต้องแอบทำลับ ๆ เท่านั้น
*****
ชั่วขณะนี้ไป๋หยานกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น นางรู้สึกเพียงลิ้นอันอบอุ่นเลียคิ้วของนาง จากนั้นก็มีพลังไหลเข้าหัวนางดูเหมือนจะเปิดความทรงจำบางอย่างของนาง
ท้องฟ้าฉาบไปด้วยเลือดสนามรบเต็มไปด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
สถานที่แห่งนี้แลดูคุ้นเคย
ไป๋หยานแลเหมือนงงงวยเล็กน้อย
ครั้งที่นางทำสัญญากับตี้คังนางก็สามารถเห็นสถานที่แห่งนี้จากความทรงจำของนาง เหตุใดตอนนี้นางถึงมาอยู่ที่นี่อีกเล่า ?
”ราชินีคนเหล่านี้ปล่อยให้กระหม่อมจัดการเอง พระองค์เสด็จออกไปจากสถานที่แห่งนี้ก่อน ไปหาองค์ราชา ! เร็ว !”
บูม!
ประโยคนี้ราวกับดาบคมที่ลอยข้ามแม่น้ำแห่งความทรงจำอันยาวนาน มันพุ่งเข้าแทงหัวใจของไป๋หยานอย่างไร้ความปรานี
หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับมีเลือดหลั่งรินทั้งความเศร้า ทั้งความโกรธต่างประดังหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของนาง ทำให้หัวใจของนางไม่อาจรับไหว ยามนี้หัวใจของนางแทบแหลกสลาย
”ไม่…ไม่! ”
ดูเหมือนว่าความทรงจำต่างๆ ของไป๋หยานจะค่อย ๆ ไหลออกมา นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหวั่นกลัว นางมองเห็นเด็กหนุ่มผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวราวหิมะที่ยืนอยู่ในความเวิ้งว้างว่างเปล่า
ดาบคมจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านท้องฟ้าลงมาทิ่มแทงเด็กหนุ่มในชุดขาว
เด็กหนุ่มในชุดขาวใช้ร่างของตนแทนปราการป้องกันการโจมตีทั้งหมดให้สตรีที่กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งอยู่ด้านหลังเขา !
ยามนี้ไป๋หยานรู้สึกถึงอารมณ์ของสตรีที่กำลังเศร้าโศกหัวใจสลายได้อย่างชัดเจน
ทั้งนางยังสามารถจดจำได้ในทันทีว่าสตรีที่ได้รับการปกป้องอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มนั้นก็คือตัวนางเอง !
เหตุใด? เพราะเหตุใดความทรงจำของนางจึงแสดงแต่ภาพเหล่านั้น ภาพที่ทำให้นางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และความขุ่นเคือง !
***จบบทพยัคฆ์ขาวเทพแห่งสงคราม (4)***
บทที่ 494 : แม้ตายก็ไม่ยอมแพ้
”ฮ่าๆ ๆ ๆ !”
ยามนี้เด็กหนุ่มมีดาบนับจำนวนไม่ถ้วนปักอยู่บนแผ่นหลังทว่าเขากลับไม่ยอมล้ม เขาปล่อยให้โลหิตของตนย้อมเสื้อสีขาวราวหิมะ เขาหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งและมั่นใจ
“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้กระนั้นหรือ ? เสียดายนะ เพราะหากข้าไม่สามารถปกป้องราชินี และไม่ได้แก้แค้นให้พี่ชายที่แสนดีของข้า มังกรเขียว และเต่าดำ ข้าก็จะไม่ยอมตาย !”
”ตัวข้าคือพยัคฆ์ขาวตราบใดที่ยังไม่ล้มก็ยังสามารถสู้ได้ !”
เด็กหนุ่มดึงดาบที่ทิ่มแทงร่างของเขาออกยามนี้เขาดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ เขาดูเปี่ยมด้วยอำนาจ และทรงพลัง !
บนท้องฟ้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งอีกนับไม่ถ้วนพวกมันรวมตัวกันเป็นกองทัพไม่ต่างจากภูเขาลูกโต ทว่าเด็กหนุ่มที่มีดาบนับร้อยเล่มปักอยู่บนหลังนั้นก็ไม่ได้ยำเกรงแต่อย่างใด
เขาคือนายพลแห่งแดนอสูรเทพแห่งสงครามพยัคฆ์ขาว ! หน้าที่ของเขาคือปกป้องราชินี ยามที่ราชินีตกอยู่ในอันตราย เขาจะล้มไม่ได้เป็นเด็ดขาด !
”พอแล้ว!”
ไป๋หยานยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากจากนัยน์ตาทั้งสอง
นางมองดาบเหล่านั้นตัดแขนของเด็กหนุ่มเสื้อขาวราวหิมะของเขาชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงสด
ทว่าเขายังคงยืนหยัดแม้ว่าดาบจะเสียบทะลุอกควักหัวใจของเขาออกมา สีหน้าของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่านัยน์ตาของเขายามนี้ไม่สดใสเช่นเดิมแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาก็แข็งค้างแลดูน่ากลัว
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาตายแล้ว!
เพื่อปกป้องแดนอสูรเทพเจ้าแห่งสงครามยินดีพลีชีพ แม้ต้องตาย !
ทว่าเขาก็ยังคงต่อสู้จนลมหายใจสุดท้าย
ดั่งคำสาบานที่เขาเพิ่งกล่าวออกมาตราบใดที่เขาไม่ล้ม เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ เขาจะต่อสู้กับคนเหล่านี้จนกว่าจะตาย !
ยามนี้แม้แต่ศัตรูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยังรู้สึกสะเทือนใจไปกับความจงรักภักดีของเด็กหนุ่มในชุดขาวราวหิมะผู้นี้
เขายอมกลืนกินวิญญาณตนเอง!
ด้วยจิตวิญญาณนี้จะช่วยสนับสนุนทุกการกระทำเพื่อปกป้องผู้ที่เขาอุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้การคุ้มครอง !
ทว่าผลที่ตามมาก็คือเมื่อปราศจากวิญญาณก็ไม่มีชีวิตหลังความตาย !
”พยัคฆ์ขาว!”
สตรีข้างหลังเขาไอสองครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น
สีหน้าของนางอ่อนล้านัยน์ตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความโกรธนางพร้อมที่จะเข่นฆ่าทุกชีวิตบนโลก เพื่อให้พวกมันได้รับความเจ็บปวดอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
“พอได้แล้วเจ้าทำดีมากพอแล้ว เจ้าสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบ ข้าสาบาน หากชาติภพหลังความตายมีจริง ต่อให้อยู่ท่ามกลางหมู่คนนับหมื่นนับพัน ข้าก็จะตามหาพวกเจ้าทั้งสามให้พบ ! ข้าจะทำให้ผู้คนทั้งโลกต้องน้อมเคารพหลุมศพพวกเจ้า !”
*****
เคารพศพ!
สองคำนี้ทำให้ไป๋หยานรู้สึกเช่นเดียวกับหญิงสาวผู้นั้น ความรู้สึกยามนี้ปนเปไปด้วยความโกรธ ความสิ้นหวัง และความเศร้าโศก ทำให้ไป๋หยานคิดอะไรไม่ออก
”หยุดหยุดนะ เจ้าได้ยินที่ข้าพูดมั้ย ? … ”
หากเจ้ากลืนกินวิญญาณตนเองจนหมดเจ้าก็จะไม่มีชีวิตหลังความตายอีก !
ร่างของไป๋หยานสั่นสะท้านนางยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าแข็งทื่อของเด็กหนุ่ม มือของนางลูบไล้ใบหน้าเขา ทว่ากลับไม่เหลืออะไรนอกจากอากาศธาตุ
ใช่…นางไม่ได้อยู่ตรงนั้นภาพที่เห็นอยู่ในความทรงจำของนางเท่านั้น
ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ไร้ประโยชน์
ทว่าทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มขยับตัว นัยน์ตาที่ว่างเปล่าของเขาหันมาทางไป๋หยาน
ไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาของนางหรือไม่หากแต่นางรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะมองนาง
”ข้าไม่เป็นไรเราทุกคนต้องมีชีวิตหลังความตาย หากเจ้าไม่หยุดกลืนกินวิญญาณตนเอง เจ้าจะไม่เหลือชีวิตหลังความตาย เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่สามารถปกป้องข้าได้อีก”
ไป๋หยานไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะเห็นนางจริงหรือไม่นางเพียงหวังแม้หวังนั้นจะริบหรี่ก็ตามที
ครั้นนางกล่าวเช่นนี้ดาบในมือของเด็กหนุ่มพลันหลุดจากฝ่ามือทันที ร่างที่มั่นคงของเขาพลันล้มลง จากนั้นความทรงจำของไป๋หยานก็สูญสลายทุกฉากพลันดับวูบจากห้วงคิดของนาง
***จบบทแม้ตายก็ไม่ยอมแพ้***
บทที่ 495 : เจ้าคือความสุขของข้า
”นายหญิงตื่นเถอะ … ”
น้ำเสียงกระวนกระวายดังขึ้นข้างหูของไป๋หยานนางค่อย ๆ ลืมตา ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสปลายหางตา นางไม่รู้ว่าหยาดน้ำตาเปียกหมอนของนางตั้งแต่เมื่อไร ?
ภาพนั้นยังคงติดตาหัวใจของนางยังคงเจ็บปวด
”เสี่ยวมี่…เจ้าโง่เป็นความผิดของเจ้า เจ้าทำให้หม่ามี้ร้องไห้ !” ไป๋เสี่ยวเฉินแก้มป่องด้วยความโกรธ เขาใช้มือเล็ก ๆ เช็ดคราบน้ำตาให้ไป๋หยาน “หม่ามี้อย่าร้องไห้เลยนะ เฉินเอ๋อจะร้องตามแล้วนะ”
ปกติไป๋เสี่ยวเฉินเป็นที่หนึ่งในหัวใจของไป๋หยานทว่าบัดนี้นางไม่สนใจผู้ใด ทั้งไม่สนใจไป๋เสี่ยวเฉินด้วย
ยามนี้สายตาของนางจับจ้องที่เสี่ยวมี่ตลอดเวลา”เมื่อครู่นี้เจ้าแอบทำพันธะสัญญากับข้าใช่หรือไม่ ?”
เสี่ยวมี่พยักหน้าอย่างอ่อนใจ”นายหญิง ข้าผิดไปแล้ว หากท่านประสงค์ จะตีข้าก็ได้ ขอเพียงท่านยกโทษให้ข้า…ข้า … ”
มันยังพูดไม่ทันจบไป๋หยานก็ยกมือขึ้นรั้งร่างของมันเข้ามาโอบกอดไว้แน่น
กอดแรงจนมันหายใจแทบไม่ออก
ครั้นเห็นท่าทางของไป๋หยานที่แลดูเป็นทุกข์อย่างมากมันก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
”เสี่ยวมี่”ไป๋หยานกอดเสี่ยวมี่แน่น น้ำเสียงของนางสั่นเครือ “จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับอันตรายใด ๆ ผู้ใดกล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะสับมันเป็นหมื่น ๆ ชิ้น !”
”นายหญิง?”
เสี่ยวมี่กระพริบตามองไป๋หยานด้วยความสงสัยเห็นได้ชัดว่ามันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกับนายหญิง?
ไป๋เสี่ยวเฉินผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มองไป๋หยานทีมองเสี่ยวมี่ที ใบหน้าที่น่ารักของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
ก็ไหนหม่ามี้บอกว่ารักเขาคนเดียวไง ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงต้องเจอเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ ?
เป็นเวลานานไป๋หยานก็ยังคงไม่ปล่อยเสี่ยวมี่หากแต่นางกลับใช้มืออีกข้างรั้งไป๋เสี่ยวเฉินเข้าสู่อ้อมแขนพลางกอดเขาไว้แน่น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไป๋เสี่ยวเฉินจะดีใจเพียงใดใบหน้าเล็ก ๆ ที่กำลังเศร้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ราวกับฟ้าหลังฝน ยามนี้ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินมีรอยยิ้มที่กระจ่างสดใส
อารมณ์ของไป๋เสี่ยวเฉินเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากกระทั่งเสี่ยวมี่ยังตกตะลึง
”เฉินเอ๋อลูกรักของแม่เจ้าเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของแม่ แม่คิดว่า หากเรามีชีวิตก่อนหน้านี้ เจ้าก็ต้องเป็นลูกชายคนก่อนของแม่ด้วยเช่นกัน”
ไป๋เสี่ยวเฉินซบหน้าลงกับอกของไป๋หยานกระทั่งได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง เขาเผยรอยยิ้มมั่นใจ
”เฉินเอ๋อจะเป็นลูกชายที่ล้ำค่าที่สุดของหม่ามี้เสมอไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ หรือชาติหน้า”
ไป๋หยานตกตะลึงนางอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็กอดเสี่ยวมี่แน่น นางค่อย ๆ หลับตาลง
ภาพที่นางเห็นในความฝันยังคงทำร้ายจิตใจนางอย่างล้ำลึก ทว่ากลับทำให้นางมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม
”หม่ามี้เฉินเอ๋อหายใจไม่ออก”
เสียงอันนุ่มนวลของเจ้าซาลาเปาน้อยทำให้ไป๋หยานกลับมารู้สึกตัวนางคลายอ้อมแขน จากนั้นก็ปล่อยร่างทั้งสองที่นางกอดไว้ในอ้อมแขน
”หม่ามี้…” ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแดง แววตาของเขาแลดูเป็นกังวล “หม่ามี้บอกเฉินเอ๋อได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
ไป๋หยานสงบใจลงพลางสั่นศีรษะเล็กน้อย “ไม่มีอะไร แม่เพียงรู้สึกว่าการได้พบเจ้าทั้งสอง ทำให้แม่มีความสุขเหลือเกิน”
ในชาติภพก่อนของนางแม้จะมีครอบครัว ทว่ากลับเหมือนไม่มี ชีวิตนี้นางอยู่กับเสี่ยวเฉินและเสี่ยวมี่มาหกปี นางมีความสุขและสงบอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เพื่อปกป้องความสุขนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายพวกเขา !
ไป๋หยานเขม็งตานัยน์ตาของนางเปล่งประกายอันหนาวเหน็บ “เสี่ยวมี่ เจ้ารู้เรื่องแดนสวรรค์หรือไม่ ?”
แดนสวรรค์?
เสี่ยวมี่กระพริบตาด้วยความไม่เชื่อมันมองไป๋หยานด้วยความสงสัย
มันพยายามที่จะตอบทว่าในเวลานี้มีเสียงดังมาจากลานหน้าบ้าน
***จบบทเจ้าคือความสุขของข้า***