จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 621-625
บทที่ 621 : จากลา (2)
“เหตุใดองค์ราชาถึงทำเช่นนี้?” ผู้อาวุโสรองกัดฟันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีคำทำนายในแดนอสูรนี้ว่าข้าจะต้องรอผู้ที่ถูกลิขิตมา มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถให้กำเนิดองค์ชายได้ และมีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถช่วยแดนอสูรได้ในกาลข้างหน้า ! แดนอสูรมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับข้า เพียงเสียสละสตรีสักคนจะเป็นไรไป” เสียงของชายหนุ่มฟังดูช่างโหดร้ายไร้ความปรานี ทุกคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือก
สมองของไป๋หยานราวกับโดนระเบิด
นางหลับตาลงเล็กน้อยพลันถ้อยคำของบิดานางในชาติก่อนก็กลับมาวนเวียนในความคิดของนาง
“หยานเอ๋อพ่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเสียสละมารดาของเจ้าเพื่อครอบครัวเรา”
แดนอสูรมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับข้าการเสียสละสตรีสักคนจะเป็นไรไป ?
ถ้อยคำเหล่านั้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสมองของนางกระทั่งกรงเล็บเล็ก ๆ ยื่นออกมาสะกิดขานาง ส่งผลให้นางหลุดจากความมึนงง
สายลมราตรีช่างหนาวเย็นทำให้หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางยิ่งเย็นจัด
เสี่ยวมี่ต้องการพูดบางอย่างทว่าไป๋หยานรีบปิดปากมันไว้ นางอุ้มมันขึ้นอย่างรวดเร็ว นางรู้สึกว่ากลิ่นอายรอบ ๆ ตัวเสี่ยวมี่กำลังแปรเปลี่ยนไป ทว่านางก็ยังคงมองบุคคลทั้งสองเบื้องหน้า
“องค์ราชา… ” ผู้อาวุโสรองตกตะลึง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสาร “อย่างไรเสีย ราชินีก็เป็นพระมารดาขององค์ชายน้อย พระองค์จะ … ”
“เพียงเพราะนางเป็นมารดาของโอรสข้าข้าจึงมอบความเมตตาให้แก่นางอย่างมากมาย หากนางอยู่ในแดนอสูรอย่างรู้ อะไรควรไม่ควรก็ดี แต่หากนางกล้าที่จะจากข้าไป ข้าก็จะไม่ยอมให้นางได้พบหน้าองค์ชายน้อยอีกตลอดชีวิต !” นัยน์ตาของชายผู้นั้นแสดงให้เห็นถึงเจตนาสังหาร รอยยิ้มของเขาเย้ยเยาะ ถ้อยคำของเขาเลือดเย็น
สมองของผู้อาวุโสรองยังคงสับสนเขาลังเลอยู่เพียงครู่ กำลังชั่งใจว่าจะบอกผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้ดีหรือไม่ ?
“นอกจากนี้… ” ชายผู้นั้นยังกล่าวต่อ “ผู้ใดก็รู้เรื่องนี้ไม่ได้นอกจากเจ้า เช่นนั้นเพื่อไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหล แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ห้ามไม่ให้บอกเข้าใจหรือไม่ ?”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ราชา” ผู้อาวุโสรองก้มหัวตัวสั่น
เขารู้ถึงความโหดร้ายขององค์ราชามาเนิ่นนานหากแต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่า ราชินีเป็นคนพิเศษขององค์ราชา ไม่คาดคิดชายผู้นี้กลับซ่อนความเย็นชาไว้ภายใน
ขนาดพระมารดาขององค์ชายน้อยเขาก็ยังสามารถฆ่าได้
ผู้อาวุโสรองคิดก่อนจะเอ่ยถามประโยคสุดท้าย “องค์ราชา กระหม่อมได้ยินมาว่า ครั้งที่พระองค์อยู่ในแดนมนุษย์ ทรงยอมราชินีทุกเรื่อง กระทั่งนางไม่อยากมาแดนอสูรพระองค์ก็ไม่ทรงบังคับ ทว่าเหตุใดตอนนี้ … ”
“เพราะข้าต้องการให้นางเต็มใจรับตำแหน่งราชินีเมื่อนางเต็มใจที่จะเป็นราชินีชะตากรรมของนางก็จะผนึกเข้ากับแดนอสูร หาไม่แล้วเหตุใดข้าจะต้องตามใจนางด้วยเล่า ?”
ชายผู้นั้นกวาดสายตาเย็นชาไปมองผู้อาวุโสรองผู้เอ่ยถาม
อาวุโสรองไม่กล่าวคำใดหลังจากเงียบไปนาน เขาก็เอ่ยตอบว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้ว จากนี้ไปกระหม่อมจะเพิ่มคนคอยติดตามราชินีให้มากขึ้น … ”
“เจ้าไปได้แล้วข้ายังมีบางเรื่องที่ต้องจัดการ” ชายผู้นั้นโบกมือเบา ๆ
ครั้นได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสรองก็ป้องกำปั้น ก่อนจะหันหลังจากไป บางทีเขาอาจตกใจมากเกินไป กระทั่งทำให้ทุกย่างก้าวของเขาแลดูสั่น ๆ
หลังจากที่ร่างของอาวุโสรองหายลับตาไปแล้วร่างของชายผู้นั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน ภายใต้ค่ำคืนสีเลือด ความสงบก็กลับคืนมาอีกครั้ง
หลังต้นไม้มือของไป๋หยานขยับออกห่างจากปากของเสี่ยวมี่ เสี่ยวมี่ถอนหายใจฮึดฮัดพลางกัดริมฝีปาก “นายหญิง ข้าไม่คาดคิดเลยว่า องค์ราชาจะเป็นคนเช่นนี้”
ไป๋หยานหลับตาลงช้าๆ และเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาของนางก็พลันเย็นชา
***จบบทจากลา (2)***
บทที่ 622 : จากลา (3)
“เรื่องยังไม่กระจ่างอย่าเพิ่งด่วนสรุปนอกจากนี้ข้าเชื่อในตัวตี้คัง … ”
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาเอาอกเอาใจและจดจ่ออยู่กับนาง เพียงเพราะนางเป็นมารดาของเฉินเอ๋อ
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
“นายหญิงผู้ใดจะรู้จักฉู่อี้เฟิง ในแดนอสูรนี้เว้นแต่องค์ราชาแล้ว ผู้ใดบ้างจะรู้จักฉู่อี้เฟิง ?” เสี่ยวมี่กล่าวด้วยความโกรธ
หากรู้เช่นนี้ครั้งนั้นข้าไม่ควรเชื่อองค์ราชาจนทำให้นายหญิงต้องเจ็บปวด
นัยน์ตาเย็นชาของไป๋หยานกวาดมองหน้าของเสี่ยวมี่ที่กำลังเศร้าสร้อย”เรื่องนี้ อย่าให้เฉินเอ๋อรู้ ทั้งห้ามบอกเสี่ยวอวิ๋นด้วย”
“นายหญิง… ”
“กลับกันก่อนเถอะ”
มือทั้งสองของไป๋หยานกุมกันแน่นภายใต้แสงจันทราใบหน้าของนางแลดูซีดจางมาก
*****
ณวังไป๋เยว่
ตี้เสี่ยวอวิ๋นนั่งเท้าคางรอไป๋หยานอย่างใจจดใจจ่อใบหน้าของนางแลดูเบื่อหน่าย นิ้วมือที่สวยงามของนางเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ
ทันใดนั้น
ประตูห้องพลันเปิดออกตี้เสี่ยวอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ นางรีบก้าวเข้าไปหาไป๋หยานอย่างตื่นเต้น
“พี่สะใภ้ไยพี่กลับมาช้าจัง ? พี่พบพี่ชายของข้าหรือไม่ เขาพูดอะไรบ้าง ?”
ทันทีที่นางกล่าวจบนางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ใบหน้าของนางเคร่งเครียด หัวใจของนางพลันอึดอัด
“พี่สะใภ้เหตุใดสีหน้าของท่านจึงแลดูไม่ดีเลยล่ะ ?
น้ำเสียงของนางขาดห้วงนัยน์ตาของนางมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอ หรือว่าไม่อาจช่วยเฉินเอ๋อได้ ?
“เสี่ยวอวิ๋น”ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นมองตี้เสี่ยวอวิ๋น “ข้ามีบางอย่างอยากถามเจ้า”
“อะไรหรือ?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นกระพริบตา พลางมองไป๋หยานอย่างสงสัย
“ผู้อาวุโสรองของสภาผู้อาวุโสซื่อสัตย์หรือไม่?”
“พี่สะใภ้เหตุใดท่านถึงได้ถามคำถามนี้กับข้า ? ผู้อาสุโสรองทำอะไรให้พี่ขุ่นเคืองงั้นหรือ ?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นหยุดร้องไห้ “แต่เท่าที่ข้ารู้ คนในสภาผู้อาวุโสยกเว้นผู้อาวุโสใหญ่แล้ว ที่เหลือพี่ชายของข้าเป็นผู้คัดเลือกทั้งสิ้น พวกเขาทุกคนล้วนภักดีอย่างไม่ต้องสงสัย”
ยกเว้นอาวุโสใหญ่
ถ้อยคำของตี้เสี่ยวอวิ๋นฟังดูคลุมเครือชั่วขณะหนึ่ง ไป๋หยานสะดุดคิดว่า ไยชายผู้นั้นจึงไม่ยอมให้ผู้อาวุโสรองบอกผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ในสภาผู้อาวุโสยกเว้นผู้อาวุโสใหญ่แล้วคนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนได้รับการคัดเลือกจากตี้คัง พวกเขาน่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุด
“เช่านั้นข้าขอถามเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง”ไป๋หยานหลับตา ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ ใบหน้าของนางซีดกว่าเดิม “มีวิธีการใดบ้างที่เจ้าจะปลอมตัวเป็นใครสักคนให้เหมือนแม้กระทั่งกลิ่นอาย ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหัวเราะน้อยๆ “พี่สะใภ้ล้อข้าเล่นหรือ ? เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาอาจเป็นเรื่องง่าย แต่กลิ่นอายนั้นมีมาแต่กำเนิด จะเปลี่ยนได้อย่างไร ?
ไป๋หยานกำมือแน่นพลางยิ้มรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านางแลดูเศร้ามาก
“เข้าใจแล้ว… ”
การปลอมตัวในแดนมนุษย์ก็ถือว่าประหลาดมากพอแล้วแต่ก็ยังพอเข้าใจได้
ทว่ากลิ่นอายของบุคคลย่อมไม่อาจปลอมแปลงได้!
แม้ว่านางจะมีความสามารถในการปรุงยาทั้งสามารถรวบรวมพลังชี่ได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเลียนแบบกลิ่นอายของผู้อื่น
นอกเสียจากการลอกหนังของอีกฝ่ายออกมา
และนางก็ไม่พบสถานการณ์เดียวกับชิงเซียะในร่างของชายผู้นั้นเช่นนั้นนางจึงไม่อาจปฏิเสธกลิ่นอายที่ไม่มีวันปลอมแปลงได้
“พี่สะใภ้เกิดอะไรขึ้น?” ตี้เสี่ยวอวิ๋นดึงแขนเสื้อของไป๋หยานพลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “อย่าทำให้ข้ากลัวสิ เสด็จพี่ให้ข้าดูแลพี่สะใภ้ อย่าทำอะไรผิดพลาด … ”
คำว่าเสด็จพี่ทำให้ใบหน้าของไป๋หยานเคร่งขรึมลงอีกครั้งนางถอนหายใจ“เสี่ยวอวิ๋น ข้าอยากอยู่คนเดียว”
***จบบทจากลา (3)***
บทที่ 623 : จากลา (4)
“อืม”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นรับคำก่อนจะเดินไปที่ประตู เมื่อนางไปถึงประตู นางก็หันกลับมามองไป๋หยาน “พี่สะใภ้ หากมีผู้ใดรังแกพี่ พี่ต้องบอกข้านะ ข้าจะให้เสด็จพี่จัดการ”
“ข้าไม่เป็นไรไม่ต้องห่วง” ไป๋หยานฝืนยิ้ม
ตี้เสี่ยวอวิ๋นที่ไร้เดียงสานางช่างไม่รู้อะไรเลย
ตี้เสี่ยวอวิ๋นออกไปแล้ว
ไป๋หยานและเสี่ยวมี่อยู่กันตามลำพังโชคดีที่ไป๋เสี่ยวเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ไป๋หยานลูบขนเสี่ยวมี่ในอ้อมแขน พลางวางศีรษะของนางไว้บนขนนุ่ม ๆ ของมัน
ครู่หนึ่งไป๋หยานก็ค่อย ๆ ผละจากเสี่ยวมี่ นางยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า พลันเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
รอยยิ้มนั้นเศร้ามากกระทั่งเสี่ยวมี่ยังถึงกับเป็นกังวล
“เสี่ยวมี่เมื่อไม่นานมานี้ ข้าฝันหลายสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้าและตี้คัง … ”
“ภาพในฝันของข้านั้นเหมือนจริงมากราวกับทุกอย่างได้เกิดขึ้นจริง และเพราะภาพเหล่านั้นทำให้ข้าคิดจะลองยอมรับเขา”
“เช่นนั้นข้าเลยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้เดิมทีข้าคิดว่าคนในแดนอสูรสามารถปลอมแปลงกลิ่นอายของผู้อื่นได้ ข้าจึงกลับมาถามเสี่ยวอวิ๋น … ”
เสี่ยวมี่ไม่พูดคำใดมันแลบลิ้นออกมาเลียมือของไป๋หยาน ดูเหมือนมันจะพยายามปลอบโยนนางโดยไม่ใช้คำพูด
“ไม่คาดคิดเสี่ยวอวิ๋นกลับกล่าวว่า ไม่มีผู้ใดในแดนอสูรสามารถทำได้ แม้ว่านางจะโง่ ทว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งแดนอสูร นางมีชีวิตอยู่ที่นี่มานานหลายร้อยปี หากคนของแดนอสูรมีความสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนั้น นางจะไม่รู้ได้อย่างไร ?”
เพราะเป็นคำกล่าวของตี้เสี่ยวอวิ๋นไป๋หยานจึงเชื่อ แม้นางจะไม่อยากเชื่อเลยว่าตี้คังจะเอาอกเอาใจ ดูแลนาง เพียงเพราะชะตากรรมของนางเกี่ยวข้องกับแดนอสูร
“นายหญิงท่านจะทำเช่นไรต่อไป ?” เสี่ยวมี่ก้มหัวลง “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ข้าก็พร้อมสนับสนุนท่าน หากท่านต้องการไปจัดการตี้คัง ข้าก็พร้อมที่จะไปกับท่าน”
“ข้าต้องการให้โอกาสเขาภายในครึ่งเดือนนี้ หากเขามาหาข้า มาอธิบายให้ข้าเชื่อใจเขาได้ ข้าก็จะยอมเชื่อเขา”
อืม…
นางต้องการให้โอกาสเขาอีกครั้ง
นางไม่เชื่อจริงๆ ว่า วันนี้ นางกำลังหลงกลชายเจ้าเล่ห์ผู้นั้น !
“นายหญิงข้าจะรอเป็นเพื่อนท่าน”
เสี่ยวมี่ซบหัวเล็กๆ ของมันในอ้อมแขนไป๋หยาน “ข้าเห็นด้วย นับแต่ได้พบกันคราแรก เห็นได้ชัดว่าเขายอมให้ท่านเป็นที่หนึ่งในใจเสมอมา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตามตื๊อท่านเพียงเพราะนายน้อย”
ไป๋หยานไม่กล่าวคำใดนางหลับตาลงช้า ๆ ภาพในอดีตไหลวนเวียนในใจของนาง
ตี้คังข้าจะเชื่อท่านจนวินาทีสุดท้าย หากภายในครึ่งเดือนนี้ ท่านมาอธิบายให้ข้าฟัง ข้าก็จะเชื่อท่าน
*****
ณภูเขาในแดนอสูรที่ปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์อันเงียบสงบ
ชิงเซียะกำลังเดินไปเดินมาด้วยความกังวลใจประกายแสงแห่งความหวังส่องสว่างในดวงตาของนาง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงใครบางคนเดินมาจากด้านหลัง นางจึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ นางเห็นชายผู้นั้นปรากฏตัวต่อหน้านาง
“เป็นไงบ้าง?” นางเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
ชายผู้นั้นปรากฏตัวในรูปลักษณ์เดิมของตนเรือนผมของเขากลายเป็นสีดำ เขาจ้องมองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบ ๆ พลางกล่าวเบา ๆ ว่า “เพราะวันนี้ท่านราชครูเข้าสันโดษ ทั้งองค์ราชาก็ไม่ได้ประทับอยู่ภายในวัง เช่นนั้น วันนี้ข้าจึงใช้หุ่นพยนต์รายงานตำแหน่งของราชินีให้ข้า”
“อย่าเรียกราชินีนางไม่คู่ควร !” ใบหน้าของชิงเซียะหงิกงอ นางไม่พอใจมากที่เรียกไป๋หยานเช่นนั้น จึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชายผู้นั้นต้องการกล่าวบางอย่างหากแต่เขาก็ไม่ได้พูด “ชิงเซียะ เจ้าขอให้ข้าช่วยเจ้า ข้าก็ช่วยเจ้าแล้ว ครานี้ตัวตนของข้าจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจำต้องหนีออกจากที่นี่ ก่อนที่ท่านราชครูจะออกจากสันโดษ”
***จบบทจากลา (4)***
บทที่ 624 : จากลา (5)
ชิงเซียะตกใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เจ้าเปิดเผยตัวตนของเจ้าได้อย่างไร ? หากเจ้าไปแล้วผู้ใดจะช่วยข้าอีกล่ะ”
“เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะราชินีฉลาดมาก หากใช้หุ่นพยนต์แปลงร่างเป็นองค์ราชา นางย่อมไม่เชื่อเป็นแน่ ข้าจึงเรียกผู้อาวุโสรองออกมา เพื่อสร้างเรื่องให้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ท่านราชครูต้องรู้แน่ว่าข้าทำอะไรลงไป” ชายผู้นั้นยิ้มอย่างขมขื่น
เขารู้ว่าเขาต้องตายแน่ แต่หากเขาหลบหนีไปภายในวันสองวันนี้ ย่อมจะเป็นการดีกว่าสำหรับเขา
“ผู้อาวุโสรอง”ใบหน้าของชิงเซียะแลดูไม่มีความสุข “ข้าจำได้ว่า ในสภาผู้อาวุโส ผู้อาวุโสใหญ่สำคัญที่สุด เหตุใดเจ้าไม่ไปพบผู้อาวุโสใหญ่โดยตรง ?”
“ชิงเซียะเจ้ายังไม่เข้าใจ” ชายผู้นั้นส่ายศีรษะ พลางยิ้มอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสใหญ่คือบุคคลที่อยู่มาก่อนแดนอสูรจะถูกผนึก เขารู้เรื่องมากเกินไป หากเป็นเขา เขาจะไม่มีวันเชื่อข้าเลย”
ชิงเซียะกัดริมฝีปากพลันแววตาของนางก็เปล่งประกายขุ่นเคือง “ข้าไม่สนหรอก เจ้าต้องช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย ! ข้าอยากให้นางตาย !”
“ชิงเซียะ!” ชายผู้นั้นโกรธ พร้อมกับตวาดออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้ากำลังพูดอะไร ? นางเป็นราชินีนะ”
“ข้าบอกแล้วว่านางมิใช่ราชินี ข้าต่างหากที่เป็นราชินี !” ใบหน้าของชิงเซียะเย็นชา “ข้าจะให้นางตาย เหตุใดนางถึงตายไม่ได้ ! ข้าจะเป็นราชินีแห่งแดนอสูร ! แต่หญิงผู้นั้นกลับเข้ามาแทนที่ข้า ทั้งเข่นฆ่าคนเผ่าอสรพิษของข้า ข้าอยากให้นางตาย ! ”
ชั่วขณะนี้นัยน์ตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มันแหลมคมราวกริชที่พร้อมจะจ้วงแทงได้ทุกเมื่อ ทั้งชั่วร้าย ทั้งเหี้ยมโหด
ชายผู้นั้นตกตะลึงเขามองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของนาง เขาได้แต่นิ่งอึ้ง “ชิงเซียะ เจ้าเปลี่ยนไป ตอนนี้เจ้ามุ่งหวังเพียงแค่ให้ได้ตำแหน่งราชินี เจ้ามิใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว … ”
“เจ้าต้องช่วยข้าในแดนอสูรนี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าได้ !” ชิงเซียะพยายามทำเสียงอ่อนหวาน หากแต่นางก็มิอาจซ่อนเร้นแววตาที่น่ากลัวของตนได้
ชายคนนั้นหลับตาพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ได้…ข้าจะช่วยเจ้า และนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย”
“จำไว้ด้วยว่าเจ้าต้องฆ่าไอ้เด็กน้อยนั่นพร้อมกับแม่ของมัน ข้าไม่เชื่อข่าวลือของแดนอสูรนั่นหรอก ข้าจะมีลูกกับองค์ราชา ต่อให้ไม่มีหญิงผู้นั้นองค์ราชาก็สามารถมีองค์ชายได้ และลูกของข้าต้องฉลาดและน่ารักกว่าเด็กนั่น ! “ชิงเซียะยกมุมปากของนางขึ้นยิ้ม “นอกจากนี้ ข้ายังจำได้ว่าองค์ราชาดูเหมือนจะมีกลุ่มอัศวินเงาที่ทรงพลังมาก ๆ ?”
ใบหน้าของชายผู้นั้นขมขื่นยิ่งขึ้นเขารู้ว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่เขาจะหนี หากเขาไม่ใช้โอกาสนี้ เกรงว่า เขาจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
“ชิงเซียะหากข้าต้องตาย ข้าหวังว่าเจ้าจะจดจำข้าไว้”
“ไม่ต้องกังวลเจ้าช่วยเหลือข้ามามาก ข้าจะต้องจดจำเจ้าแน่” น้ำเสียงของ ชิงเซียะนุ่มนวล ทว่าในใจนางกลับเย้ยเยาะ
ชั่วชีวิตนี้ชายเพียงผู้เดียวที่นางจะจดจำก็คือองค์ราชา ชายผู้นี้เป็นใครกัน ? หากมิใช่เพื่อผลประโยชน์แล้ว นางไม่มีวันยอมเสียเวลามาทำตัวใกล้ชิดเขาหรอก
ชายผู้นั้นลืมตาแววตาของเขาแลดูมั่นคง “เช่นนั้น ข้าก็จะช่วยเจ้า”
ขอเพียงนางจดจำเขาไว้ต่อให้ต้องทำผิดพลาดมากสักเพียงใด ? ผู้ที่ไม่อาจมองเห็นเดือนเห็นตะวันตลอดทั้งปีทั้งชาติเช่นเขาก็พอใจแล้ว เพียงมีคนยอมเป็นเพื่อนกับเขา
เขาจะกล้าขอความรักจากนางได้อย่างไร?
*****
แดนอสูร…
บริเวณชายแดน
ชายหนุ่มยืนนิ่งสงบเรือนผมสีเงิน และอาภรณ์สีม่วงของเขาเปี่ยมเสน่ห์ราวเทพบุตร สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ขณะมองศัตรูที่อยู่ในชุดเกราะสงคราม
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายเจ้าจะยอมแพ้ดี ๆ หรือยอมใช้ชีวิตแบบตายเสียดีกว่าอยู่”
***จบบทจากลา (5)***
บทที่ 625 : จากลา (6)
คนเหล่านั้นไม่เคยคิดเลยว่าชายผู้นี้จะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
และจากถ้อยคำของชายผู้นี้หากพวกเขาไม่ตายเสียก่อน หมายความว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรก
ตุ้บ!
ชายคนหนึ่งวางอาวุธลงกับพื้นเมื่อคนหนึ่งเริ่ม อีกคนก็วางอาวุธลงตาม หลังจากนั้นทุกคนต่างก็คุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยเสียงสั่นเทา “พวกเรา น้อมคารวะองค์ราชา”
ฮัวหยูผู้ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งยืนตะลึงอยู่เป็นนาน
พวกเจ้าเป็นเทพมิใช่หรือ? เทพเจ้าไยจึงอ่อนแอเยี่ยงนี้ล่ะ ? คุกเข่าให้แม้แต่สัตว์อสูร
นี่ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?
ฮัวหยูอดไม่ได้ที่จะเป่าลมออกปาก พลางหันไปมองบุรุษที่อยู่ข้างกาย ราวกับมองพระเจ้า “องค์ราชานี่น่าจะเป็นคนกลุ่มสุดท้าย ต่อไปเราก็สามารถทำลายตราประทับได้แล้ว”
พวกที่มาต่อต้านก่อนหน้านี้นับสิบๆ คน ล้วนอ่อนแอเกินไป องค์ราชาจึงจัดการพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม และเข่นฆ่าพวกเขาทันที มีเพียงคนกลุ่มสุดท้ายนี้เท่านั้นที่องค์ราชาใช้วิธีการข่มขู่ กระทั่งคนพวกนี้ยอมจำนน
“อืม”ใบหน้าของชายหนุ่มสงบ หากแต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามักจะรู้สึกไม่สบายใจเลย “ฮัวหยู เรื่องที่ข้ามอบหมายให้เจ้า เจ้าจัดการเรียบร้อยหรือไม่”
ฮัวหยูตกตะลึง”องค์ราชาให้ข้าแจ้งราชินีว่า พระองค์จะออกจากพระราชวังเป็นการชั่วคราว”
“ใช่…”
“เอ่อ…” ใบหน้าของฮัวหยูแลดูละอายใจ “ข้าบังเอิญพบแม่นางเซี่ยกลางทาง เช่นนั้นข้าจึงไหว้วานให้นางกลับไปแจ้งองค์ราชินีแทน”
“เจ้าว่าไงนะ”
ตี้ตังเลิกคิ้วนัยน์ตาของเขาขุ่นมัว แรงกดดันอันหนักหน่วงสะท้อนออกมารอบ ๆ กายเขา เขาจ้องมองฮัวหยูด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าไม่ได้กลับวัง เพื่อแจ้งเรื่องนี้กับคนขององค์ราชินีด้วยตนเองงั้นรึ ?”
“องค์ราชาแม่นางเซี่ยดูเหมือนจะค่อนข้างเชื่อถือได้ ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ?”
“บ้าเอ๊ย!”
เสียงของตี้คังชัดว่าโกรธจัด
ที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกไม่สบายใจตลอดทั้งวัน เดิมทีเขาคิดว่าอาจจะมาจากเรื่องการทำลายผนึก ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพราะไป๋หยาน !
ฮัวหยูมองร่างที่หายไปอย่างรวดเร็วของตี้คังด้วยแววตาโง่งม เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจนัก
“หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับราชินี?”
หากเป็นเช่นนั้นจริงแสดงว่าเขาทำงานผิดพลาด และหากเกิดอะไรขึ้นกับราชินีแล้วล่ะก็ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน !
*****
นับแต่คืนนั้นไป๋หยานก็ไม่เคยก้าวออกจากวังไป๋เยว่อีกเลยแม้ว่าตี้เสี่ยวอวิ๋นจะมาที่นี่หลายครั้ง นางเองก็ดูไม่สบายใจนัก นางต้องการจะเปิดปากถามหลายต่อหลายครั้ง ทว่าไป๋หยานก็ไม่ต้องการที่จะพูด เช่นนั้นนางจึงไม่สามารถถามอะไรเพิ่มเติมได้เลย นางทำได้เพียงเข้ามาพักผ่อนในวังแห่งนี้เท่านั้น
ไม่เพียงแต่ตี้เสี่ยวอวิ๋นแม้แต่ไป๋เสี่ยวเฉินก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เช่นนั้นเขาจึงไม่ซุกซนโวยวายเหมือนเมื่อก่อน เพียงอยู่ข้าง ๆ ไป๋หยานอย่างเงียบสงบ
วันนี้ไป๋หยานลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิเอ่ยถามอย่างเฉยเมยว่า “เสี่ยวมี่ นี่ผ่านไปยี่สิบวันแล้วใช่หรือไม่ ?”
เสี่ยวมี่มองใบหน้าซีดขาวของนางอย่างระมัดระวังพลางกล่าวว่า “ใช่ … ”
“เดิมทีข้าคิดจะรอเขาเป็นเวลา 15 วัน ทว่าตอนนี้กลับผ่านไปถึง 20 วันแล้ว” ไป๋หยานกล่าวพร้อมกับยกริมฝีปากขึ้น “นับตั้งแต่พิธีการอันยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย”
หลังจากพิธีราชาภิเษกนางก็เข้าสันโดษ เมื่อนางออกจากสันโดษนางก็ไม่เห็นตี้คังอีกเลย
“นายหญิง…” เสี่ยวมี่รู้สึกได้ถึงความเศร้าในใจของไป๋หยาน มันเม้มปาก “บางทีตี้คังอาจไม่ได้อยู่ในวังก็เป็นได้ ? อาจจะมีคนแปลงเป็นตี้คังจริง ๆ ก็ได้”
ไป๋หยานยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ”ข้าเคยบอกเขาแล้วว่า ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด และกำลังจะทำสิ่งใด เขาจะต้องบอกข้า แม้ว่าเขาไม่มีเวลาจะบอกข้า เขาก็ส่งคนมาแจ้งข้าก็ได้ แต่นี่ไม่มีเลย … ”
***จบบทจากลา (6)***