จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 726-730
บทที่ 726 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (3)
”เจ้าตำหนักน้อยในที่สุดท่านก็ดีขึ้นแล้ว ข้าเป็นห่วงท่านมาหลายปีแล้ว”
เหวินหยุนเฟิงมองมู่เจินด้วยสายตาเย็นชา”ออกไป !”
”…”
ใบหน้าของมู่เจินงงงันเจ้าตำหนักน้อยเคยเคารพนางเสมอมิใช่หรือ ? ตอนนี้เหตุใดเขาจึงตวาดนาง ?
”ถึงจะผ่านมากว่า20 ปีแล้ว แม้ข้าจะไม่รู้สึกตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รู้อะไรเลย !” อารมณ์ของเหวินหยุนเฟิงยังไม่ดีขึ้น การปรากฏตัวของมู่เจินยิ่งทำให้เขาโมโห
เขาลุกขึ้นยืนนัยน์ตาที่ดุดันของเขาราวกับดาบที่พร้อมฟาดฟันใส่มู่เจิน
ในสายตาของเขามีความไม่พึงใจแฝงอยู่
”กี่ครั้งที่เจ้าลอบเข้ามาในห้องของข้าในขณะที่บิดามารดาของข้าไม่ทันสนใจ เพื่อต้องการทำเรื่องบัดสีกับข้า หากแต่ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้สึกตัว ข้าก็รู้ว่ายังมีสตรีผู้หนึ่งกำลังรอข้าอยู่ !!”
”มู่เจินข้าเคารพเจ้าในฐานะผู้อาวุโส ทว่าพฤติกรรมของเจ้า ข้ารับไม่ได้จริง ๆ !”
เสียงของเหวินหยุนเฟิงทำให้ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ
เพราะเสียงของเขาดังมากคนอื่น ๆ แม้กระทั่งไป๋ฉางเฟิ่งผู้ซึ่งอยู่ข้างนอกแม้ไม่ได้เข้ามาก็สามารถได้ยินถ้อยคำนั้นอย่างชัดเจน
”ตำหนักเซียนพยับหมอกนี่ช่างยุ่งเหยิงจริงๆ หากแต่เมื่อเหวินหยุนเฟิงฟื้นขึ้นมาได้ก็ดีแล้ว ไว้ข้าพบหมอปรุงยาแล้ว ข้าก็จะกลับสำนักเวชโอสถเสียที”
ไป๋ฉางเฟิ่งถอนหายใจเขาไม่เต็มใจที่จะอยู่ในตำหนักเซียนพยับหมอก
*****
ภายในห้อง
ยกเว้นจุนเทียนเยว่ซึ่งรู้มานานแล้วชายชราอีกสามคนนั้นถึงกับยืนตะลึง
นัยน์ตาของเหวินหวู่เหว่ยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเขาหันไปมองมู่เจินด้วยความโกรธ พลางตวาดออกมาว่า “มู่เจิน !”
เสียงคำรามดังสนั่นราวฟ้าร้องมู่เจินตกใจ นางไม่ละอายที่ถูกเปิดเผย นางเยาะเย้ยกลับว่า “ไม่ว่าข้าจะแย่สักเพียงใด หากแต่ก็ยังดีกว่าผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนั้น หญิงสาวคนนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นนายหญิงของตำหนักเซียนพยับหมอก ? แล้วไงล่ะ … ”
นางหยุดชั่วขณะ”เจ้าตำหนักน้อยเป็นคนที่เทพธิดาทรงโปรดปราน ตอนนี้เจ้าตำหนักน้อยก็ฟื้นคืนสติแล้ว เขาก็ต้องแต่งงานกับเทพธิดาอยู่ดี ผู้หญิงที่หวังอำนาจแบบนั้นมีที่ใดเหมาะสมเล่า ?”
ยามนี้นอกจากสองพี่น้องสกุลจง เจ้าตำหนักและฮูหยินแล้ว ก็ยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนที่ยืนเงียบ เมื่อได้ยินถ้อยคำของมู่เจิน
“ผู้อาวุโสมู่เจินกล่าวได้ถูกต้องแล้วเราไม่อาจทำให้เทพธิดาขุ่นเคืองได้”
“เป็นความจริงที่ว่าเทพธิดาไม่เพียงแต่จะเป็นคนจากแดนสวรรค์เท่านั้นทว่านางยังเป็นเป้าหมายของราชาอสูร และราชาเทพสวรรค์อีกด้วย ตอนนี้นางสนใจเจ้าตำหนักน้อย ก็นับเป็นโชคของเขาแล้ว”
”หากเจ้าตำหนักน้อยเป็นคู่ของเทพธิดาได้ในภายหน้าเมื่อตำหนักเซียนพยับหมอกเป็นที่โปรดปรานของแดนสวรรค์ เราก็จะมั่นคงขึ้น … ”
เหวินหยุนเฟิงเลิกอาการคุ้มคลั่งที่มีมาแต่ต้นยามนี้เขาแลดูสงบและทำให้ทุกคนหวั่นกลัว
เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเป็นเพราะเหวินหวู่เหว่ยไม่ต้องการทำให้เทพธิดาขุ่นเคือง เขาจึงไม่ลงมือทำอะไรเลย ทว่าตอนนี้กว่าที่บุตรชายของเขาจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เขาจึงไม่ต้องการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
”ในครั้งนั้นข้าต้องสูญเสียภรรยา และบุตรสาว เพียงเพราะพวกเจ้าขัดขวางไม่ให้ข้าก้าวออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก ทว่าตอนนี้ก็ผ่านพ้นมากว่า 20 ปีแล้ว ข้าจะไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดของตำหนักเซียนพยับหมอกอีก”
ชายผู้นั้นลุกขึ้นจากเตียงริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยอาการเย้ยหยัน “หากพวกเจ้ายังขืนบังคับข้าอีก ข้าก็จะยอมสู้ตายกับพวกเจ้า !”
บุตรสาว?
ทุกคนจับถ้อยคำนั้นได้โดยไวแววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
ท่านเจ้าตำหนักน้อยมีบุตรสาวด้วยหรือ?
เหวินหยุนเฟิงหันไปมองไป๋หยานสายตาของเขาพลันอ่อนโยนลง “บุตรสาวของข้า เจ้าคงทุกข์ทรมานมามากในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา เจ้าจะไม่ถูกผู้ใดรังแกอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจ้ามีพ่อแล้ว”
***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (3)***
บทที่ 727 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (4)
ถ้อยคำของเขาสร้างความตกใจกระทั่งทำให้ทุกผู้คนต่างก็ยืนตะลึงกันไปหมด
จุนเทียนเยว่ที่เดาออกมานานแล้วทั้งตอนนี้ก็ได้รับการยืนยันแล้ว นัยน์ตาของนางแดงก่ำ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “เจ้าเป็นหลานสาวของข้าจริง ๆ กระนั้นหรือ ? นางเป็นหลานสาวของข้าจริง ๆ หวู่เหว่ย เจ้าได้ยินหรือไม่ ? นี่หลานสาวของข้า !”
”ข้าได้ยินเรามีหลานสาวแล้ว ใช่แล้วความปรารถนาของเจ้าก็สำเร็จเสียที … ”
น้ำตาของจุนเทียนเยว่ร่วงหล่นนางผลักมือของสามีออก จากนั้นก็เดินเข้าไปหาไป๋หยาน พลางจับมือขาวนวลของไป๋หยานแน่น
”ไม่น่าแปลกใจเลยหลานรักของข้า นับแต่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็มีความรู้สึกดีกับเจ้ามาก ๆ นี่กลายเป็นว่ามันคือการเชื่อมต่อทางสายเลือด”
ไป๋หยานนิ่งงันทว่าก็ไม่ได้ถอนมือของตนออก
”ฮูหยินหากท่านต้องการรับนางเป็นหลานสาวของท่าน ท่านก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านางเป็นหลานสาวของท่านจริง ๆ !” มู่เจินยืดอกเย้ยหยัน “ผู้อาวุโสทุกท่าน หญิงผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับชายนับไม่ถ้วน ผู้ใดจ่ายเงินให้ก็มีความสัมพันธ์กับนางได้ เช่นนั้นท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่านางเป็นสายเลือดของเจ้าตำหนักน้อย”
ไม่มีผู้อาวุโสคนใดพูดกับนาง
ความจริงก็คือนางเป็นถึงหมอปรุงยาระดับแปดต่อให้นางเป็นบุตรสาวของเจ้าตำหนักน้อยหรือไม่ ก็แล้วอย่างไร แค่เหตุผลนี้ พวกเขาก็ไม่ว่าอะไรแล้ว หากนางจะเข้าสู่ตำหนักเซียนพยับหมอก
เหวินหยุนเฟิงรู้สึกเบื่อหน่ายกับผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอกเป็นอย่างมากหากแต่เขาก็ไม่เคยแสดงความโกรธเคืองใด ๆ ตราบกระทั่งได้ยินถ้อยคำของมู่เจิน ความขุ่นเคืองของเขาพลันระเบิดขึ้นไม่ต่างกับภูเขาไฟระเบิด
”มู่เจินเจ้ารนหาที่ตายจริง ๆ !”
”หยุนเฟิง!”
จุนเทียนเยว่ตกใจกระทั่งหน้าถอดสีนางรีบคว้ามือของเหวินหยุนเฟิง พลางกล่าวว่า “อย่าเพิ่งลงมือ เจ้าเพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก ให้แม่แก้ปัญหาให้เจ้าเองเถิด”
นางเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้จัดการมู่เจินทั้งยังปล่อยให้มู่เจินเหิมเกริม หาไม่แล้วมู่เจินคงจะไม่ทำให้บุตรชายของนางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ หากลูกของนางอาการกำเริบ นางคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต
”ปัง!”
คราวนี้ไม่ต้องรอให้เหวินหยุนเฟิงเป็นผู้เริ่มไป๋หยานก็ถีบหน้าอกของมู่เจินซึ่งไม่ทันระวังตัว ทำให้มู่เจินเซถอยหลังไปหลายก้าว
แม้ว่ามู่เจินจะเหนือกว่าอีกทั้งแข็งแกร่งกว่าไป๋หยาน ซ้ำนางก็ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเตะครั้งนี้มากมายนัก ทว่าความอัปยศที่นางถูกเตะต่อหน้าผู้คนก็ทำให้มู่เจินเดือดพล่าน
”นังเด็กน้อยเจ้ามันก็แค่ลูกไม่มีพ่อ อย่าคิดว่าข้ารู้ไม่เท่าทันนะว่าเจ้ามาที่ตำหนักเซียนพยับหมอกแห่งนี้ ก็เพียงเพื่อหวังจะหาผลประโยชน์จากอำนาจของเรา ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า เทพธิดาจะไม่มีวันยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นได้หรอก เจ้าต้องตายแน่ !”
ไป๋หยานยิ้มอย่างเย่อหยิ่งยโส”เทพธิดา ? หากนางกล้าที่จะมา ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะไม่ปล่อยให้นางได้รอดกลับไป ! นอกจากนี้ … ”
นางมองไปโดยรอบด้วยสายตาที่เย็นชาก่อนจะจงใจใช้พลังชี่แท้ เพื่อให้เสียงของนางกระจายไปทั่วทุกมุมของคฤหาสน์
”วันนี้เหวินหยุนเฟิงต้องไปพร้อมกับข้าหากผู้ใดกล้าขวางทาง ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะเหยียบตำหนักเซียนพยับหมอกแห่งนี้ให้ราบคาบ !”
ไป๋หยานไม่เคยคิดที่จะใช้อำนาจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และสำนักเวชโอสถมาก่อน ทว่ายามนี้เมื่อเป็นเรื่องของบิดามารดานาง นางจึงไม่รังเกียจเลยที่จะให้ทั้งสองสำนักจัดการตำหนักเซียนพยับหมอก !
เช่นนั้นประโยคเหล่านี้นางจึงกล่าวออกมาด้วยจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่แสดงออกอย่างแจ่มชัดทางแววตา
*****
ณลานบ้าน ไป๋ฉางเฟิ่งผู้ซึ่งกำลังรอให้ตำหนักเซียนพยับหมอกจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ทว่าจู่ ๆ พลังชี่แท้ก็ดังเข้าหูของเขา
ยามนี้ใบหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนคลื่นแห่งความโกรธพุ่งพล่านจากหัวใจ เขารีบไปยังสถานที่ที่เสียงดังมา
ภายในห้อง… มู่เจินอยากจะกล่าวประชดประชันต่อ ทว่าทันใดนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยแรง
ในเมื่อนางยืนอยู่ตรงประตูพอดีจากการปะทะนั้นร่างของนางพลันปลิวลอยละล่อง ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นเสียงดังปัง ชั่วขณะนั้นปากของนางที่กำลังจะต่อล้อต่อเถียงพลันเต็มไปด้วยเลือด
”ผู้ใดขวัญกล้า… ” มู่เจินเงยศีรษะขึ้นพลางตะโกน หากแต่นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ที่วิ่งเข้ามาในห้อง เสียงของนางขาดหาย นางนั่งตัวสั่น
***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (4)***
บทที่ 728 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (5)
นี่มัน…เจ้าสำนักเวชโอสถเขาช่างเป็นชายชราที่แปลกประหลาดและไร้เหตุผลจริง ๆ
หากเป็นเจ้าตำหนักเขาอาจจะให้อภัยนาง เพราะนางเคยช่วยชีวิตเจ้าตำหนักน้อยไว้ แต่หากยั่วยุชายชราผู้นี้ นางอาจจะต้องตายอย่างน่าสังเวช
ไป๋หยานเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ก่อนหน้านี้นางได้ยินว่าไป๋ฉางเฟิ่งจะมา นางก็วางแผนจะเอาเมล็ดองุ่นเลือด และจากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาถึงที่นี่เร็วถึงเพียงนี้ ทำให้สีหน้าของนางแลดูอ่อนลงเล็กน้อย
”เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธหัวใจของเขาพลันเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
เมื่อครู่นี้นางคือหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ อีกทั้งเป็นหมอปรุงยาระดับแปดคนนั้นด้วยใช่หรือไม่ ?
หากนางตายไปจะทำเช่นไร? เพื่อช่วยชีวิตคนแล้ว เจ้ายอมเสี่ยงปรุงยาระดับแปดเลยกระนั้นหรือ ?
นั่นคืออสนีบาตของยาเม็ดระดับแปดเลยนะหากเจ้าพลาดพลั้ง เจ้าก็ต้องแลกด้วยชีวิต !
”ท่านเจ้าตำหนักกลายเป็นว่าหลานสาวไร้ค่าของท่านได้ทำให้เจ้าสำนักเวชโอสถขุ่นเคืองเข้าเสียแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าตำหนักเซียนพยับหมอกคงจะอยู่ไม่เป็นสุขอีกต่อไป”
ครั้นมู่เจินได้เห็นความโกรธในดวงตาของไป๋ฉางเฟิ่งนางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่า
หลังจากนางกล่าวจบไป๋ฉางเฟิ่งก็ยกมือขึ้น พลันฝ่ามืออันทรงพลังก็กระแทกลงบนหน้าอกของนาง ร่างของนางลอยละล่องออกไปอีกครั้ง ทั้งยังกระอักเลือดหนักกว่าเดิม
”หุบปาก!” นอกจากนี้ ไป๋ฉางเฟิ่งยังประกาศออกมาทันทีว่า “นับจากนี้ไป สำนักเวชโอสถของเรากับตำหนักเซียนพยับหมอกไม่อาจปรองดองกันได้อีก ! มีเจ้าก็ต้องไม่มีข้า มีข้าก็ต้องไม่มีเจ้า !”
เหวินหวู่เหว่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็งุนงง ไม่เข้าใจว่าไป๋ฉางเฟิ่งโมโหในเรื่องใด ?
ก่อนหน้านี้ก็สนทนากันดีๆ จู่ ๆ กลายเป็นไม่ลงรอยกันในเวลาไม่กี่นาทีได้อย่างไร ?
ครั้นเห็นไป๋ฉางเฟิ่งมองไป๋หยานด้วยความโกรธทุกคนต่างก็คิดในใจว่า
หรือว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะไปขัดใจเจ้าสำนักเวชโอสถเข้าให้?
จุนเทียนเยว่รู้สึกประหลาดใจมากนางรีบดึงไป๋หยานไปแอบไว้ข้างหลัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “ท่านเจ้าสำนักไป๋ ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หากนางทำอะไรผิดพลาด ท่านก็ไม่ควรจะถือสา ตำหนักเซียนพยับหมอกก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าสำนักเวชโอสถของท่าน ข้ามีความสามารถพอที่จะปกป้องนาง”
อาจเป็นด้วยอุปาทานเพราะเมื่อไป๋หยานรู้ว่าเหวินหยุนเฟิงเป็นบิดาของนาง ทั้งเหตุผลที่เขาไม่สามารถกลับไปหามารดาของนางได้ก็เป็นเพราะคนของตำหนักเซียนพยับหมอกพวกนี้ นั่นทำให้ไป๋หยานไม่ชื่นชมผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอกมากนัก
ทว่าตอนนี้เมื่อจุนเทียนเยว่ออกหน้าปกป้องนางนางจึงใจอ่อน และไม่ต่อต้านอย่างที่เคยเป็นมา
”มันเป็นเรื่องระหว่างข้ากับหยานเอ๋อไม่เกี่ยวกับตำหนักเซียนพยับหมอกของเจ้า !”
หัวใจของไป๋ฉางเฟิ่งเต็มไปด้วยความโกรธหากมิใช่เป็นเพราะตำหนักเซียนพยับหมอก เหตุใดหลานของเขาจะต้องเสี่ยงชีวิตปรุงยาเม็ดระดับแปดด้วยเล่า ?
เพียงเห็นร่างของนางก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าก่อนหน้านี้นางต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด
ในขณะที่จุนเทียนเยว่กำลังรู้สึกประหลาดใจนั้นไป๋ฉางเฟิ่งก็เข้าถึงตัวไป๋หยานแล้ว เขาลากตัวไป๋หยานออกจากหลังจุนเทียนเยว่ราวกับนกอินทรีคว้าไก่
“เจ้ากล้าดีอย่างไร? กล้าทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการโดยไม่ขออนุญาตข้า ? ขนาดยาเม็ดระดับแปดเจ้าก็ยังกล้าปรุง เหตุใดอสนีบาตไม่สังหารเจ้าตายไปเสียนะ ?”
เมื่อเทียบกับเจ้าบ้านหลานที่เคร่งขรึมแล้วไป๋ฉางเฟิ่งนั้นอ่อนโยนต่อไป๋หยานอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้เขาโกรธมาก สามารถจินตนาการได้ว่าพฤติกรรมของไป๋หยานนั้นเป็นอันตรายมากเพียงใด
”ท่านตา…ข้าผิดไปแล้ว… ”
ไป๋หยานรู้ดีว่านางทำผิดนางจึงยอมรับผิด จากนั้นนางก็กล่าวว่า “แต่หากให้โอกาสข้าเลือกใหม่ ข้าก็จะทำอยู่ดีแหละ”
ท่านตากระนั้นรึ?
”…”
ใบหน้าของฝูงชนงงงวย
นางเป็นหลานสาวของไป๋ฉางเฟิ่งกระนั้นรึ?
ถ้าเช่นนั้นไป๋หนิงมีความเกี่ยวข้องใดกับไป๋ฉางเฟิ่ง ?
สีหน้าของเหวินหยุนเฟิงเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
ไป๋หนิง(白凝)? กับไป๋หนิง (白宁)? (ออกเสียงเหมือนกัน ทว่าคนละความหมาย ชื่อจริง ๆ คือไป๋หนิงคำหลัง หากแต่มารดาของไป๋หยานแกล้งบอกว่าเป็นชื่อแรก)
เหตุใดเขาจึงไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย?
***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (5)***
บทที่ 729 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (6)
ใช่นอกเหนือจากสามสำนักหลักแล้ว ผู้ใดจะสามารถปลูกฝังสตรีได้โดดเด่นเช่นหนิงเอ๋อเล่า ?
”ข้าเคยบอกแล้วว่าหยานเอ๋อหน้าตางดงามมาก ทั้งยังคล้ายกับไป๋หนิง !”
จุนเทียนเยว่ตกใจมากนางเคยเห็นไป๋หนิงเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของนางที่งดงามกระทั่งไม่อาจลืมได้เลย
ส่วนเหวินหยุนเฟิงนั้น
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยได้ออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายคนโตของหนึ่งในสามสำนักใหญ่ก็ตาม ทว่าเขาก็ไม่เคยพบกับไป๋หนิงมาก่อน เช่นนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าสตรีที่เขารักมานานหลายปีเป็นถึงคุณหนูของสำนักเวชโอสถ !
“เจ้าสำนักไป๋เป็นท่านตาของหยานเอ๋อจริงๆ กระนั้นหรือ ?” จงหนานมีความสุขมาก “เช่นนั้นท่านก็เป็นบิดาของแม่นางไป๋หนิงด้วยใช่หรือไม่ ? ไม่สิ ต้องเรียกคุณหนูไป๋หนิงสิ”
”เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรสาวของข้าอยู่ที่ใด?”
หัวใจของไป๋ฉางเฟิ่งเคร่งเครียดหากตำหนักเซียนพยับหมอกรู้ว่าบุตรสาวของเขาอยู่ที่ใด เขาจะสังหารเพียงแค่มู่เจิน
”ครั้งนั้นเจ้าตำหนักน้อยกับแม่นางไป๋หนิงตกหลุมรักซึ่งกันและกัน ทว่าเทพธิดาก็มาหลงใหลเจ้าตำหนักน้อยของเรา เราจึงต้องไปนำตัวเขากลับมาแต่งงานกับเทพธิดา เดิมทีมู่เจินเสนอให้พาคนของนางไปที่นั่นด้วย เหตุนี้ พี่ชายกับข้าจึงลอบฉกตัวเขากลับมาก่อน”
บูม!
ความโกรธของไป๋ฉางเฟิ่งเพิ่มขึ้นอีกคนเหล่านี้กล้าที่จะล้มเลิกการแต่งงานของบุตรสาวเขา ไม่สามารถให้อภัยได้
“ท่านตา”ไป๋หยานขมวดคิ้ว “พวกเขาเป็นอาจารย์ของข้า เขาดีต่อข้ามากท่านอย่าทำให้พวกเขากลัวสิ”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ไป๋ฉางเฟิ่งก็ระงับความโกรธ พลางกล่าวต่อว่า “พูดต่อไปสิ”
”ต่อมา…”จงหนานหันไปมองมู่เจิน พลางกล่าวด้วยท่าทางเย้ยหยัน “ผู้อาวุโสของตำหนักเซียนพยับหมอกได้กักบริเวณเจ้าตำหนักน้อย และไม่อนุญาตให้เขาออกจากคฤหาสน์แห่งนี้ มู่เจินอ้างว่า นางอยากรู้ว่าหญิงสาวที่เจ้าตำหนักน้อยลุ่มหลงเป็นเช่นไร เหตุใดเขาถึงไม่สามารถลืมนางได้ เช่นนั้นนางจึงส่งคนออกไปภายนอก แต่เมื่อนางกลับมา นางก็บอกทุกคนว่าแม่นางไป๋หนิงไม่ทำตัวตามวิถีของสตรีที่ดี”
เมื่อครู่ไป๋ฉางเฟิ่งก็ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้วทว่าในเวลานั้น เขาไม่รู้ว่าผู้ที่มู่เจินเอ่ยถึงก็คือบุตรสาวของเขา แน่นอนว่า เขาย่อมไม่อยากยุ่งเกี่ยว
ทว่าในเวลานี้เมื่อได้ยินอีกครั้ง ความโกรธที่เขาระงับไว้ก่อนหน้านี้ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“ทั้งนางยังอ้างด้วยว่าแม่นางไป๋เต็มใจที่จะขายเรือนร่างเพื่อแลกเงิน ซ้ำนางยังบอกว่า เมื่อเจ้าตำหนักน้อยหลอกไป๋หนิงว่าเป็นเพียงคนธรรมดา ไป๋หนิงก็เลยทิ้งเจ้าตำหนักน้อย และถลาเข้าสู่อ้อมแขนของชายอื่นทันที”
แน่นอนว่าถ้อยคำของมู่เจินนั้นเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่านี้ทว่าจงหนานกลัวว่าปากของพวกเขาจะแปดเปื้อน เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นได้
”ฮ่าฮ่าฮ่า!” ไป๋ฉางเฟิ่ง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมกับหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นราวกับหมาป่าคลั่ง “บุตรสาวของข้า ไป๋ฉางเฟิ่ง จะขายตัวเพื่อแลกเงินเล็กน้อยกระนั้นรึ ? คนเช่นนางจะแต่งงานกับผู้ชายดีสักเพียงใดก็ได้ ? นางจะเลือกคนที่นางไม่รักเพียงเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นั้นหรือ ?”
เพียงชั่วอึดใจเขาก็หยุดหัวเราะ เจตนาสังหารแผ่กระจายออกจากนัยน์ตาของเขา โดยเฉพาะอายเย็นยะเยือกที่พุ่งตรงไปยังมุมที่มู่เจินนั่งอยู่
”และสำนักเวชโอสถของเราก็เป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่เจ้าบอกข้าทีสิว่าในโลกนี้มีสำนักไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเราได้ หรือจะเป็นตำหนักเซียนพยับหมอกของเจ้า”
ใบหน้าของมู่เจินซีดนางขดตัวตรงมุมห้องเนื้อตัวสั่นเทา
นางตรวจสอบตัวตนของนางแพศยานั่นแล้วนี่นาว่านางเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ นางจะเป็นคุณหนูของสำหนักเวชโอสถได้อย่างไร ?
”บอกมา…ว่าบุตรสาวของข้าอยู่ที่ใด!” แววตาของไป๋ฉางเฟิ่งดุดัน “ที่นางได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะเจ้าส่งคนมาทำร้ายใช่หรือไม่ ?”
นัยน์ตาของมู่เจินสับสนงงงันนางจะต้องไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ว่า นางได้ส่งคนไปฆ่าไป๋หนิง…
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวพันถึงความตายในครั้งนี้ ตราบใดที่นางไม่ยอมรับ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาผิดนางได้
“ท่านบอกว่าไป๋หนิงบาดเจ็บกระนั้นหรือ?” จุนเทียนเยว่ตกใจมาก ขณะเอ่ยถามออกมา
***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (6)***
บทที่ 730 : ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (7)
ถ้อยคำของไป๋ฉางเฟิ่งนั้นตรงกันข้ามกับของมู่เจินอย่างสิ้นเชิง
ทว่า…
เพียงฐานะของไป๋หนิงที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของสำนักเวชโอสถก็รู้ได้แล้วว่าผู้ใดเป็นคนพูดจริง และผู้ใดเป็นคนหลอกลวง !
”ใช่…บุตรสาวของข้าถูกไล่ล่าอีกทั้งได้รับบาดเจ็บสาหัส นั่นคือเหตุผลที่นางมอบไป๋หยานหลานสาวข้าให้กับคนที่นางไว้วางใจ หากแต่ผู้ใดจะรู้ว่านางจะอายุสั้น ทำให้หลานของข้าต้องทนทุกข์ทรมานตกระกำลำบากในบ้านของสารเลวคนหนึ่ง !
หากมิใช่เพราะคนตำหนักเซียนพยับหมอกและมู่เจิน บุตรสาวของเขาก็คงจะไม่หายตัวไป และหลานสาวของเขาจะต้องเจ็บปวดเช่นนี้กระนั้นหรือ ?
หากเขารู้ว่าบุตรสาวของเขาตั้งครรภ์ เขาจะพานางกลับบ้าน และจะปกป้องนาง หลานสาวของเขาจะได้เติบโตขึ้นภายใต้ปีกของเขา
ทั้งหมดนี้ต้องตำหนิตำหนักเซียนพยับหมอก!
ทว่าสิ่งที่ทำให้ไป๋ฉางเฟิ่งสงสัยก็คือเหตุใดไป๋หนิงเลือกที่จะไม่กลับสำนักเวชโอสถ หากแต่กลับมอบความไว้วางใจให้ผู้อื่นดูแลไป๋หยานแทน
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้อีก
เหวินหวู่เหว่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกล่าวด้วยความโกรธ “มู่เจิน จากนั้นเกิดอะไรขึ้น ? ผู้ใดเป็นคนทำร้ายไป๋หนิง ?”
ใบหน้าของมู่เจินเปลี่ยนเป็นซีดขาวนัยน์ตาของนางหลุกหลิกไปมา “ข้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ?”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ?” เหวินหวู่เว่ยเย้ยเยาะ “ผู้ใดกันที่บอกข้าว่า ไป๋หนิงเป็นเพียงเด็กสาวจากครอบครัวธรรมดา ๆ ผู้ใดบอกข้าว่านางขายตัวเพื่อแลกเงิน ตอนนี้เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ทำร้ายไป๋หนิง เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้างั้นหรือ ?”
มู่เจินกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
ทันทีที่ข้ารู้ว่านังแพศยาไป๋หนิงมีความสัมพันธ์กับเจ้าตำหนักน้อยแล้วข้าก็ส่งคนไปสังหารหญิงผู้นั้น หากมิใช่เป็นเพราะนาง ตำหนักเซียนพยับหมอกคงจะไม่วุ่นวายเช่นนี้หรอก
ครั้นมู่เจินแสดงท่าทางโกรธแค้นออกมาจู่ ๆ เหวินหยุนเฟิง ก็ไปปรากฏตัวต่อหน้านาง ไม่รู้เมื่อใดที่มือของเขาจับลำคอของนาง นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายดุดัน
”ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ เพราะนอกจากเจ้าแล้วจะมีผู้ใดที่กล้าทำร้ายหนิงเอ๋อ ? เจ้าทำร้ายนางไม่พอ เจ้ายังต้องการสาดโคลนใส่ภรรยา และบุตรสาวของข้าอีกกระนั้นรึ ? บัญชีนี้เจ้าต้องชดใช้ !”
ไป๋ฉางเฟิ่งมองพฤติกรรมของเหวินหยุนเฟิงอย่างเฉยเมยเขาไม่กล่าวคำใด
ในหัวใจของเขาโทษเหวินหยุนเฟิงเต็มประตูแต่เพราะเห็นแก่หน้าไป๋หยานเขาจึงยังไม่ลงมือ เขาโยนความผิดทั้งหมดไปให้คนของตำหนักเซียนพยับหมอกแทน
”ท่านตา”ไป๋หยานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะบนริมฝีปากของนาง “ข้ามีพยานตอนที่ท่านแม่ตกอยู่ในอันตรายมาด้วย ชิงอี้ โยนชายผู้นั้นเข้ามาสิ”
สตรีในชุดสีน้ำเงินก้าวผ่านประตูเข้ามาจากนั้นก็เขวี้งชายวัยกลางคนลงไปที่พื้น ก่อนจะไปยืนอยู่เคียงข้างไป๋หยาน
มู่เจินตกตะลึงนางมองไปที่ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งถูกทิ้งไว้บนพื้น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เขาตายไปแล้วมิใช่หรือ? ไป๋หยานนำศพนี้มาเพื่ออะไร ?
ในเวลานี้ไป๋หยานได้มาถึงด้านหน้าชายวัยกลางคน มือของนางสัมผัสชายวัยกลางคนผู้นั้น มู่เจินสงสัยและไม่เข้าใจว่าไป๋หยานกำลังทำสิ่งใดอยู่ ?
เพียงแค่ได้เห็นภาพฉากต่อไปทุกคนต่างก็หนาวสันหลังด้วยความหวาดกลัวจนเหงื่อเย็น ๆ ไหลชุ่ม
ไป๋หยานดึงวิญญาณที่โปร่งใสออกมาจากร่างกายและเพราะวิธีการของนางนั้นรุนแรงมาก วิญญาณจึงส่งเสียงร้องโหยหวนทำให้ผู้คนต่างก็ขนหัวลุก
อย่างที่รู้ๆ เมื่อคนเราตาย วิญญาณของเขาจะออกจากร่าง และอีกสามวันต่อมา เขาก็จะกลับชาติมาเกิด
ทว่าไป๋หยานกลับดึงวิญญาณของคนอื่นออกมา
นี่มันหมายความว่าไง?
ทั้งร่างของมู่เจินเย็นยะเยือกร่างของนางสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา บางทีนางอาจคิดไปถึงผลที่จะตามมาของนาง
วิญญาณชายวัยกลางคนไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบมู่เจินอีกทันทีที่เขาเห็นหน้าซีด ๆ ของนาง เขาก็กรีดร้อง พร้อมกับพุ่งเข้าหานาง
***จบบทไป๋ฉางเฟิ่งโกรธ (7)***