จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 751-755
บทที่ 751 : เทพธิดาผู้สูงส่ง (3)
ในที่สุดใบหน้าของเฟยเฟยหยางพลันเปลี่ยนไปเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและจ้องมองเหวินหวู่เหว่ยอย่างหวาดกลัว
”ท่านเจ้า… ”
”พอแล้ว!”
ขณะที่เฟยเฟยหยางอยากจะเอ่ยถามเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น
เทพธิดาผู้สูงส่งกวาดสายตาไปมองเหวินหวู่เหว่ยจากนั้นจึงเบี่ยงสายตาที่หยิ่งผยองของนางไปมองเฟยเฟยหยาง น้ำเสียงของนางฟังเหมือนเฉยเมย ทว่าก็มีพลังเหมือนพายุ
”ส่วนเจ้าหากต้องการออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์”
ใบหน้าซีดขาวของเฟยเฟยหยางเปลี่ยนเป็นมีความสุขเขารู้สึกตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเทพธิดา
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าหากผู้ใดต้องการเข้าสู่แดนสวรรค์ เขาสามารถเข้าสู่แดนสวรรค์ได้โดยอาศัยคำอนุญาตจากผู้มีอำนาจในอาณาจักรสวรรค์ เว้นแต่จะสามารถฝึกฝนจนทะลวงเข้าสู่ระดับเฉินเจี่ยได้
เข้าถึงระดับเฉินเจี่ยรึ? ในโลกนี้ นับพันปีแล้วที่ไม่มีผู้ใดทำได้ เช่นนั้นตำหนักเซียนพยับหมอกจึงพยายามเอาอกเอาใจเทพธิดานางนี้เพื่ออาศัยนางในการเข้าสู่แดนสวรรค์
ชั่วขณะนั้นเว้นคู่สามีภรรยาและพี่น้องสกุลจงแล้ว สายตาของคนอื่น ๆ ที่มองเฟยเฟยหยางเปลี่ยนเป็นอิจฉา
หากพวกเขารู้ว่าเพียงพูดจาไม่กี่คำก็ทำให้พวกเขามีโอกาสได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ พวกเขาจะลุกขึ้นยืนเคียงข้างเทพธิดาเช่นกัน
มีเพียงเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกเท่านั้นที่บ้าปฏิเสธโอกาสดีๆ เช่นนี้อย่างโง่เขลา !
”เทพธิดาข้ามีเรื่องกราบเรียนท่าน”เฟยเฟยหยางกล่าวอย่างมีความสุขโดยไม่สนใจนัยน์ตาดุดันของจุนเทียนเยว่ “ก่อนหน้านั้นเจ้าตำหนักน้อยเหวินหยุนเฟิงอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่เป็นเจ้าตำหนักที่ห้ามไม่ให้เขามาพบท่าน นอกจากนี้เจ้าตำหนักก็ยังส่งคนไปแจ้งไป๋หยานให้ออกไปจากตำหนักเซียนพยับหมอก ตอนนี้นางจึงหนีรอดไปแล้ว”
ใบหน้าของเทพธิดาเปลี่ยนเป็นมืดมนเมื่อนางได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของ เหวินหยุนเฟิงดีขึ้นแต่ไม่มีผู้ใดคิดที่จะบอกนาง ?
”อีกทั้งไป๋หยานก็มีลูกชายคนหนึ่งซึ่งน่ารักมากหากเขาโตขึ้น เขาจะต้องเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลามากแน่ ๆ”
”โอ้?” “เช่นนั้น ข้าจะส่งลูกชายของนังเด็กไร้หัวนอนปลายเท้านั่นไปให้ธิดาของข้า แม้ว่าข้าจะไม่ชอบเด็ก ๆ ทว่าหากเขาน่ารักอย่างที่เจ้ากล่าวมา เก็บเขาไว้สักสิบปีก็คงโตพอน่าจะเหมาะกับธิดาของข้า อย่างไรเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตำหนักเซียนพยับหมอกนี่ก็ต้องเป็นของธิดาของข้า”
รวมถึงคนทั้งหมดด้วย!
เมื่อเด็กน้อยนั่นเป็นสายเลือดของตำหนักเซียนพยับหมอกก็ย่อมถือเป็นคนของนาง ผู้คนในตำหนักเซียนพยับหมอก มีผู้ใดบ้างกล้าที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของนาง !
ใบหน้าของจุนเทียนเยว่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ นางกำหมัดแน่น ร่างของนางสั่นเทา
โชคดีที่นางได้รับรู้แล้วว่าหยานเอ๋อกับ เฉินเอ๋อหนีออกไปแล้วแน่นอน นางจะไม่ให้โอกาสหญิงผู้นี้ทำร้ายพวกเขา !
อย่างไรก็ตามก่อนที่จุนเทียนเยว่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกนางก็เห็นว่า ไม่ไกลกันนัก พ่อแม่ลูกสามคนกำลังมา
ไป๋หยานสวมอาภรณ์สีแดงนางเป็นสตรีที่สวยที่สุดในโลก ใบหน้าที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา แววตาสดใสของนางเย็นยะเยือก
ในอ้อมแขนของนางอุ้มเด็กน้อยอายุประมาณหกขวบผิวของเขาขาวเปล่งปลั่ง ริมฝีปากของเขาเป็นสีแดง เขาเป็นเหมือนเทวดาน้อยน่ารักหนักหนา และบุรุษข้างกายนางก็หล่อเหลา นัยน์ตาเรียวคมเฉียงขึ้นเปี่ยมเสน่ห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ริมฝีปากของเขาแดงจัด ทำให้ใบหน้าของเขาน่าหลงใหลยิ่งขึ้น ภาพที่คนทั้งสามเดินมาด้วยกันนั้นสมบูรณ์แบบ ราวกับจิตรกรรมฝาผนัง หากเป็นก่อนหน้านี้ สายตาของเทพธิดาคงไม่อาจละไปจากตี้คังและไป๋เสี่ยวเฉินได้ ยิ่งตอนนี้เมี่อนางได้เห็นใบหน้าของไป๋หยาน นางก็ไม่สามารถละสายตาได้เลย
***จบบทเทพธิดาผู้สูงส่ง (3)***
บทที่ 752 เทพธิดาผู้สูงส่ง (4)
นัยน์ตาของนางหรี่ลงขณะจ้องมองหญิงผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางราวกับว่านางเห็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวมาก
ไป๋หนิง?
ไป๋หยาน?
ที่สุดนางก็นึกออกว่าเคยได้ยินชื่อไป๋หนิงมาจากที่ใด?
ไม่…เป็นไปไม่ได้!
ไป๋หนิงไม่ได้อยู่โลกมนุษย์นี้นางไม่น่าจะมีความสัมพันธ์กับตำหนักเซียนพยับหมอกนี่ ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ มันจะต้องเป็นเรื่องบังเอิญ
บางทีนี่อาจจะเป็นการปลอบใจตัวเองเพื่อให้สีหน้าของนางดีขึ้นเท่านั้น นางสูดลมหายใจเข้าลึก พลางมองคนทั้งสามที่เดินมาด้านหน้า
”เจ้าก็คือไป๋หยาน ? บุตรสาวของเหวินหยุนเฟิงกระนั้นหรือ ?”
ริมฝีปากของไป๋หยานเหยียดยิ้มนางไม่สนใจเทพธิดาเลย นางเดินช้า ๆ ไปยืนข้างกายจุนเทียนเยว่ “ท่านย่า ท่านเป็นเช่นไรบ้าง ?”
”เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลย”จุนเทียนเยว่กล่าว
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ไป๋หยานหันไปมองเทพธิดาพร้อมรอยยิ้ม “เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้บิดามารดาของข้าต้องพลัดพรากกันใช่หรือไม่ ? แล้วตอนนี้มารดาของข้าหายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีผู้ใดรู้ ?”
เทพธิดาทำเสียงฮึ่มฮั่ม”ข้าชอบเหวินหยุนเฟิง นั่นนับเป็นโชคดีของเขา ข้าอยากจะให้โอกาสเขา ทว่าเขากลับไม่ยอมรับ เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจตำหนิข้าได้เฟยเฟยหยาง เจ้าคิดว่า เทพธิดาพูดถูกหรือไม่ ?”
ตอนนี้สำหรับเฟยเฟยหยางแล้วทุกสิ่งที่เทพธิดากล่าวมานั้นถูกต้องทั้งหมด นางย่อมไม่มีทางพูดอะไรผิด !
“สิ่งที่เทพธิดากล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงนับเป็นโชคดีของเจ้าตำหนักน้อยที่ท่านเห็นเขาเข้าตา !” เขาหันไปมองไป๋หยานพร้อมกับหัวเราะเยาะ ครั้นคิดได้ว่าเขาต้องถูกขับออกจากตำหนักเซียนพยับหมอกเพราะหญิงเฮงซวยผู้นี้แววตาของเขาก็ยิ่งดุร้าย “แม่นางไป๋ ข้าเกรงว่า เจ้าอาจจะไม่รู้จักตัวตนแท้จริงของเทพธิดาใช่หรือไม่ ?”
ไป๋หยานเลิกคิ้วเอ่ยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยิน ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังแล้วว่า เทพธิดาองค์นี้เป็นสตรีที่ราชาอสูรและราชาเทพสวรรค์หลงใหล รวมถึงเป็นเจ้านายของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อีกด้วย”
ใบหน้าของตี้คังเปลี่ยนเป็นดำคล้ำนี่จะอะไรกับเขานักหนา ?
เหตุใดจึงมีคนคอยให้ร้ายเขาเสมอ?
ครั้นเฟยเฟยหยางได้ยินถ้อยคำนั่นเขาถึงกับยืนอึ้ง ทั้งที่นางรู้ หากแต่ยังกล้าที่จะปรากฏตัวออกมาต่อหน้าเทพธิดาโดยไม่กลัวตาย
อย่างไรก็ตามหลังจากกล่าวจบแล้วไป๋หยานก็หันไปมองตี้คัง
”หยานเอ๋อข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะ ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใครด้วยซ้ำ … ” หัวใจของตี้คังสั่นไหว เพราะเกรงว่าไป๋หยานจะเข้าใจเขาผิดอีก
รอบแท่นบูชาเงียบไปครู่หนึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าถ้อยคำของชายหนุ่มมีความหมายเช่นไร หากแต่พวกเขาก็หันมาจับจ้องมองตี้คังเป็นตาเดียว
”เงียบไปเลย!” ไป๋หยานกัดฟัน พลางมองเขาด้วยแววตาดุดุ จากนั้น นางก็หันไปมองเทพธิดา “เจ้าบอกว่า เจ้าเป็นเจ้านายของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิทั้งสี่นั่นอยู่ที่ใดกันล่ะ ?”
ใบหน้าของเทพธิดาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันรอยยิ้มประชดประชันพลันปรากฏที่มุมปากของนาง “เจ้าจะเห็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ของข้าง่าย ๆ ได้อย่างไร ? มดน้อย ๆ เยี่ยงเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเห็นพวกมันหรอก !”
”เช่นนั้นรึ?เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเห็นมังกรเขียวที่เจ้าว่าเป็นของเจ้า … ”
นัยน์ตาของไป๋หยานเปล่งแสงเย็นยะเยือกนางแตะนิ้วมือลงบนริมฝีปากพลางผิวปาก ทันใดนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ตามมาด้วยฟ้าผ่า พร้อมเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
ทุกคนต่างก็ตกใจมากกระทั่งกล่าวคำใดไม่ออก พวกเขามองไปบนท้องฟ้าด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจเสียงมังกรก็ร้องคำรามดังทั่วท้องฟ้าจนหูแทบหนวก ราวกับเสียงนั่นสามารถเจาะชอนไชวิญญาณทุกผู้คนได้
มังกรตัวใหญ่บินมาราวกับพายุร่างใหญ่ยาวปกปิดท้องฟ้าจนสิ้น
สีของมันเขียวราวกับมรกตร่างสีเขียวโอบล้อมด้วยแสงสีทอง มันแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนัก
ในช่วงเวลานี้ทุกคนต่างก็รู้สึกซาบซึ้งเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ผู้อาวุโสหลายคนคุกเข่าลงกับพื้น พลางคำนับมังกรเขียวบนท้องฟ้า
***จบบทเทพธิดาผู้สูงส่ง (4)***
บทที่ 753 : เทพธิดาผู้สูงส่ง (5)
เมื่อมังกรเขียวปรากฏตัวขึ้นเมฆก็หายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าที่สดใสไร้เมฆหมอก ทั้งเสียงฟ้าร้อง และฟ้าผ่าพลันหายไปด้วย
“สีเขียวมรกตทั้งมีรัศมีสีทองปกคลุมร่างกาย นี่คือสิ่งมงคลที่ควรคู่แก่การบูชา นี่คือมังกรเขียว สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฎในตำนานใช่หรือไม่ ?”
”ใช่เช่นที่ตำนานว่าไว้ มังกรเขียวคือสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ ? แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
สีหน้าของตี้คังเย็นชาลงอีกครั้งนัยน์ตาเรียวคมเปล่งประกายแสงอันชั่วร้ายยิ่งขึ้น
ไป๋หยานขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามว่า”เกิดอะไรขึ้นกระนั้นรึ ?”
”สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นั้นมาจากแดนอสูรทว่าพวกมันถูกเจ้าปราบ ทั้งยังพาพวกมันออกต่อสู้ไปทุกทิศทุกที่ พวกมันจึงมีพลังแข็งแกร่ง ทว่าบรรดาผู้อาวุโสแดนสวรรค์ได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ โดยอ้างว่าสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นั้นเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแดนสวรรค์ !”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ปากของไป๋หยานจึงยกโค้งขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแดนสวรรค์ก็ไร้ยางอายมาก
มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแดนอสูรทว่าพวกเขากลับประกาศว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของแดนสวรรค์กระนั้นหรือ ? ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากแดนอสูรถูกผนึกมาเป็นเวลาหลายปีจึงไม่สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ เช่นนั้นคำกล่าวที่สามารถได้ยินเพียงด้านเดียวก็คือคำกล่าวของแดนสวรรค์
เมื่อเวลาผ่านไปโลกก็เข้าใจว่าสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่นั้นกลายเป็นสัตว์เทพของโลกใบนี้
ด้วยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวไป๋หยานก็รู้สึกไม่ดีต่อแดนสวรรค์แล้ว !
*****
บนท้องฟ้าว่างเปล่ามังกรเขียวขดร่าง พลางขมวดคิ้วแน่นมองลงมายังผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง “เจ้าเป็นใคร ? เหตุใดจึงปลอมเป็นเจ้านายของข้า ?”
ชั่วขณะนี้ใบหน้าของเทพธิดาเปลี่ยนจากดำเป็นขาวและจากขาวกลายเป็นเขียว นางทำหน้าไม่ถูกแล้ว
”เจ้าบอกว่าข้าเป็นตัวปลอม ข้าก็ต้องเป็นตัวปลอมงั้นหรือ ? ข้าขอถามเจ้า เจ้าเป็นเพียงมังกรน้อยกล้าปลอมเป็นสัตว์เทพของข้า…มังกรเขียวได้เยี่ยงไร ?
ปลอม?
ทุกคนตกตะลึงมังกรเขียวตัวนี้มีสัญลักษณ์ทุกอย่างตรงตามภาพวาดในตำนาน แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แตกต่างเลยแม้แต่น้อย เหตุใดเทพธิดาถึงบอกว่ามันเป็นตัวปลอม ?
จุนเทียนเยว่หันมามองนางเต็มใจที่จะเชื่อหลานสาวของนางมากกว่าเทพธิดา
เช่นนั้นนี่ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเทพธิดานางนี้หลอกลวงพวกเขามาตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่ ?
”ฮ่าๆ !”
มังกรเขียวหัวเราะเยาะพลันมันก็ก้มลงมองเทพธิดาอย่างขบขัน “เจ้าบอกว่า ข้าไม่ใช่มังกรเขียว เช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานใด ?”
”อย่างแรกที่เราต่างก็รู้ๆ กัน มังกรเขียวนั้นเป็นมังกรเพศผู้ ทว่าเสียงของเจ้าเป็นมังกรเพศเมีย มันจะเป็นไปได้อย่างไร ?”
เสียงของมังกรเขียวฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงมันจะเป็นมังกรเขียวได้อย่างไร ? มันจะต้องเป็นตัวปลอม ?
แต่คนอื่นกลับพูดไม่ออกเพราะตำราโบราณอธิบายเพียงลักษณะของมังกรเขียว ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
“หลายปีที่ผ่านมามังกรเขียวตายเพื่อปกป้องข้า เขาทั้งซื่อสัตย์ทั้งกล้าหาญ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถปกป้องเขาได้ ข้าก็ไม่อนุญาตให้ใครข่มเหงเขา !”
ยิ่งเทพธิดาพูดมากขึ้นนางก็ยิ่งรู้สึกว่า ตนเองเป็นเจ้านายสัตว์อสูรศักดิ์สิทธ์ทั้งสี่เอาจริง ๆ
บางครั้งเมื่อคนพูดเรื่องโกหกมากกว่าเรื่องจริงคนเราก็ยิ่งจริงจังกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
”หม่ามี้ป๊ะป๋าวายร้าย เฉินเอ๋อเคยเห็นคนไร้ยางอายหลายคนในชีวิตของเฉินเอ๋อ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนยกหางตัวเองได้ขนาดนี้”
ทันใดนั้นเองเสียงที่ไร้เดียงสาก็ทำลายความเงียบและลั่นเข้าไปในหูของทุกคน
พร้อมกันนั้นสายตาของทุกคนต่างก็หันไปจับจ้องมองบนใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของไป๋เสี่ยวเฉินแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เด็กคนนั้นกล้าหาญสุดยอดไปเลยกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเทพธิดา
”เฉินเอ๋อให้พ่อจัดการกับนางเอง” ตี้คังลูบศีรษะของไป๋เสี่ยวเฉิน พลางมองไปที่ไป๋หยาน จากนั้นเขาก็กวาดนัยน์ตาเรียวคมไปทางเทพธิดา
แววตาที่เคยอ่อนโยนเมื่อครู่นี้ตอนนี้กลับน่าสะพรึงกลัวสยองขวัญยิ่งนัก แรงผลักดันอันมหาศาลแผ่กระจายออก เรือนผมสีเงินยวงพลิ้วไสว อาภรณ์ของเขาสะบัดไปตามสายลม
”ข้าไม่รู้ว่าตัวข้าไปตามตื๊อเจ้าตั้งแต่เมื่อใด ?”
เทพธิดาตกใจพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหมายถึงอะไร ?
***จบบทเทพธิดาผู้สูงส่ง (5)***
บทที่ 754 : เทพธิดาผู้สูงส่ง (6)
นางบอกว่าชายคนนี้ตามตื๊อนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
”เจ้าปลอมเป็นเจ้านายของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แล้วเจ้าก็ยังใส่ร้ายข้าอีก ! แค่นี้ข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไว้ได้แล้ว !”
บูม!
เขาแผ่บรรยากาศอันมืดมนปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าทำให้ใบหน้าของเทพธิดาเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง พลันสายตาที่มองตี้คังอย่างประหลาดใจในคราแรกกลับกลายเป็นตกตะลึง
ไม่!
เป็นไปไม่ได้!
ทุกคนในโลกนี้ล้วนไร้ค่าทว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงสามารถคุกคามนางได้เช่นนี้ ?
จุนเทียนเยว่และคนอื่นๆ ต่างก็หันไปจ้องมองตี้คังด้วยเช่นกัน
เมื่อได้รับรู้ถึงลมหายใจที่แข็งแกร่งและน่าสยดสยองของตี้คังแล้ว พวกเขาก็รู้แล้วว่าที่ตี้คังถูกเหวินหยุนเฟิงตีครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะเขายินยอม
หาไม่ด้วยความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ อย่าว่าแต่เหวินหยุนเฟิงคนเดียวเลย ต่อให้รวมเหวินหวู่เหว่ยเข้าไปด้วยก็ไม่อาจแตะเขาได้แม้ปลายเล็บ
”เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่?” เทพธิดาหน้าซีด นางกัดริมฝีปาก “แน่นอนว่าข้าเป็นเจ้านายของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าตามตื๊อข้า ที่ข้าบอกก็คือราชาอสูรและราชาเทพสวรรค์ต่างหาก”
เหตุที่ก่อนหน้านี้นางได้รับการเคารพยกย่องมีฐานะสูงส่งในตำหนักเซียนพยับหมอกก็เป็นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบนางได้ แต่ชายผู้นี้กลับแตกต่าง
เขาทำให้นางรู้สึกถูกคุกคาม
เช่นนั้นเทพธิดาผู้หยิ่งผยองและจองหองอยู่เสมอในยามนี้กลับตระหนักได้แล้วว่านางไม่คู่ควร หากแต่นางก็ไม่กล้าแสดงท่าทางโกรธเคือง ทั้งยังพยายามอธิบายกับตี้คังอย่างใจเย็น
ส่วนตี้คังนั้นเขาไม่สนใจเทพธิดานั่นเลย นัยน์ตาเรียวคมของเขาพุ่งเข้าหาฝูงชน พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านพ่อตาไม่อยู่หรือ ?”
”แค่ก!” หลังจากได้ยินเหวินหวู่เหว่ยก็ไอแค่ก ๆ พลางกล่าวอย่างเก้อเขินว่า “ข้าได้ยินว่าเทพธิดาจะมา ข้าเกรงว่าหยุนเฟิงจะผลุนผลันรีบออกมา เช่นนั้นข้าจึงแอบทำให้เขาหมดสติไป
”ดีแล้ว”
ตี้คังโล่งใจเขากลัวพ่อตาเอาจริง ๆ จัง ๆ เพียงทำเสียงดุใส่เขายังไม่กล้า อย่าว่าแต่จะตอบโต้พ่อตาเลย หาไม่แล้ว หยานเอ๋อคงได้ตีเขาตายแน่ ?
เช่นนั้นเพื่อให้สามารถครองคู่กับไป๋หยานได้อย่างราบรื่น จึงมีบางสิ่งที่เหวินหยุนเฟิงไม่ควรรู้
”ท่านคิดจะทำอะไร?” ไป๋หยานหันไปมองตี้คังพลางขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ตี้คังหัวเราะน้อยๆ เขาจับมือที่อ่อนนุ่มนิ่มของนางแน่น “ข้าต้องการให้โลกรู้ว่า เจ้าเป็นภรรยาของข้า ราชินีองค์เดียวในแดนอสูร”
เขากระซิบข้างหูของไป๋หยานน้ำเสียงของเขาลุ่มลึก กระทั่งคนที่สามารถได้ยินประโยคนี้มีเพียงไป๋หยานที่ยืนข้างกายเขาเท่านั้น
ร่างของไป๋หยานแข็งทื่อนางพยายามถอนมือออกจากเขา อย่างไรก็ตามเขากลับกุมมือนางแน่นขึ้น นั่นทำให้นางไม่สามารถหนีรอดไปได้
”ท่าน…”
ครั้นเทพธิดาแลเห็นความรักของคนทั้งสองนางก็อดที่จะโกรธขึ้นมาไม่ได้ แต่ขณะที่นางกำลังจะแสดงความโกรธออกมานั้น นางก็นึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวของชายผู้นั้นขึ้นมาทันที นางกล้ำกลืนคำพูดลงไป
ทันใดนั้นเองเสียงนกร้องก็ดังมาจากด้านบน ทำให้ทุกคนต้องแหงนเงยหน้าขึ้นมอง
บนท้องฟ้ามีนกจำนวนนับไม่ถ้วนบินวนว่อนไปทั่วทั้งท้องฟ้าทำให้ท้องฟ้าไร้เมฆกลายเป็นสีเทา
”นี่มันเกิดอะไรขึ้นสัตว์อสูรมากมายเหล่านี้มาจากที่ใด แม้ว่าสัตว์อสูรทั้งหมดในตำหนักเซียนพยับหมอกจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น หากแต่ก็ไม่น่าจะมากถึงเพียงนี้
”สัตว์อสูรพวกนี้มาเพราะอะไรหรือว่าเทพธิดาเรียกพวกมันมา ?”
”ข้าก็คิดอย่างนั้นคงไม่ได้หมายความว่าราชาอสูรออกมาตามหาเทพธิดาในตอนนี้หรอกนะ ? ตอนนี้นางกำลังเพลี่ยงพล้ำ เขาอาจจะมาช่วยนาง… ”
ทุกคนต่างก็รู้สึกตกใจจนบอกไม่ถูกเสียงร้อนรนดังมาจากด้านหลัง “เจ้าตำหนัก ฮูหยิน เกิดเรื่องไม่ดี เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว … ”
***จบบทเทพธิดาผู้สูงส่ง (6)***
บทที่ 755 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (1)
”เกิดเรื่องอะไรขึ้น??”
หัวใจของเหวินหวู่เหว่ยเต้นแรงใบหน้าของเขาเคร่งเครียด มีสิ่งใดผิดปกติกระนั้นรึ ?
หรือไป๋ฉางเฟิ่งและพวกตาเฒ่าเหล่านั้นสร้างปัญหาให้เขาอีกแล้ว ?
”ตำหนักเซียนพยับหมอกเรามีสัตว์อสูรและสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งอยู่ข้างนอก พวกมันพยายามวิ่งกรูมาที่นี่ ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดพวกมันได้ ข้าน้อยจึงมารายงานท่านเจ้าตำหนัก และท่านผู้อาวุโส”
บรรดาผู้คุ้มกันตัวสั่นที่สุดเขาก็สามารถพูดออกมาได้ เมื่อหวนนึกถึงภาพสัตว์อสูรเหล่านั้นแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะขนหัวลุกด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
”แล้วพวกตาเฒ่าไป๋ฉางเฟิ่งล่ะ?” สีหน้าของเหวินหวู่เหว่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก เหงื่อไหลท่วมหัวของเขา ขณะกัดฟันถาม
”พวกเขากำลังดูการแสดงกันอยู่”
“……”
ดูการแสดงกระนั้นรึ?
พวกเขายังมีอารมณ์ดูละคร
หรือตาเฒ่าพวกนี้โกรธเขาที่ไม่พามาพบเทพธิดาก็เขากลัวคนบ้าพวกนั้นจะระงับอารมณ์ไม่ได้แล้ว ลงมือต่อสู้กับเทพธิดาในทันที เช่นนี้เขาจะปล่อยให้คนพวกนั้นเข้ามาได้อย่างไร?
เหวินหวู่เหว่ยจับมือของจุนเทียนเยว่เขากำลังจะหันหลังเพื่อจากไป หากทว่า เมื่อเขามองสัตว์อสูรที่บินอยู่บนท้องฟ้า เขาพลันหยุดชะงักเล็กน้อย
หากเขาจากไปสัตว์อสูรพวกนี้ล่ะจะทำอย่างไร ?
ในช่วงที่เขากำลังลังเลอยู่นั้นฝุ่นก็ฟุ้งปลิวว่อน ราวกับมีม้าวิ่งจนฝุ่นตลบ เขาตกใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่ได้ยินเสียงดังสนั่น เขาก็รีบดึงร่างจุนเทียนเยว่ไปปกป้องไว้ข้างหลัง เขารู้สึกหวาดกลัว ขณะมองไปยังสถานที่ที่ซึ่งมีฝุ่นฟุ้งกระจายนั่น
ไม่ไกลกันนักมีฝูงสัตว์อสูรวิ่งกรูเข้ามาราวกับคลื่นสาดซัดอย่างรุนแรง
ผู้นำกลุ่มสัตว์อสูรเหล่านั้นอยู่หน้าสุดมันก็คือเสือสีน้ำตาลที่ดุร้าย และเหนือหัวของมันมีจิ้งจอกที่สวยงามตัวหนึ่งยืนอยู่
สุนัขจิ้งจอกโบกอุ้งเท้าเล็กน้อยเพื่อออกคำสั่ง เทียบกับพื้นหลังที่มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังจำนวนมาก ดูเหมือนว่าจิ้งจอกตัวนั้นจะดูมีเสน่ห์และน่ารักยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่างหน้าตาของมันซึ่งแลดูแปลกประหลาด
ในฐานะที่เป็นคนในแดนมนุษย์เขาย่อมไม่ทราบว่าสุนัขจิ้งจอกมีความสำคัญอันใด หากแต่สำหรับเทพธิดาที่แม้จะอยู่ในตำแหน่งต่ำต้อยในแดนสวรรค์ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าราชาแห่งแดนอสูรเป็นสุนัขจิ้งจอก
สุนัขจิ้งจอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจและศักดินาแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงตระกูลจิ้งจอกย่อมหมายถึง ผู้มีฐานะสูงส่ง
เช่นนั้นเมื่อนางแลเห็นสุนัขจิ้งจอกนำทัพสัตว์อสูรมานางก็ไม่อาจแม้จะกระพริบตา จิตใจของนางพลันว่างเปล่า นางลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
”พี่ใหญ่”จงเป่ยตะโกนเรียกจงหนาน พลางกระทุ้งข้อศอกใส่เขาเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดหรือไม่ว่าสุนัขจิ้งจอกนั่นมีความคล้ายคลึงกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของหยานเอ๋อก่อนหน้านี้ ?”
“ก็คล้ายกันมากอยู่นะหากแต่สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ใหญ่กว่าเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยนั่นอย่างเห็นได้ชัด มันไม่น่าจะใช่สุนัขจิ้งจอกตัวเดียวกัน”
ขณะที่สองพี่น้องกำลังประหลาดใจอยู่นั้นสุนัขจิ้งจอกก็กระโดดลงจากหลังเสือ พลันนัยน์ตากลมโตที่สวยงามก็หันมาจ้องมองไป๋หยาน
ชั่วขณะนั้นร่างที่ตื่นเต้นของมันพลันสั่นเทามันร้องไห้ออกมา พลันรีบวิ่งไปที่ไป๋หยาน
ตี้คังไม่มีเวลาห้ามปรามเจ้าจิ้งจอกสุนัขจิ้งจอกพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของไป๋หยานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานใบหน้าของเขาพลันมืดมน นัยน์ตาที่สง่างามของเขาจ้องมองสุนัขจิ้งจอกที่จับเสื้อของไป๋หยานไม่ยอมปล่อย
”ฮืออออ”
น้ำตาหยดโตๆ ราวเม็ดถั่วร่วงหล่นลงจากดวงตาของสุนัขจิ้งจอก มันมองไป๋หยาน และหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน แล้วเสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น มันร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่พูดอะไรออกมาแม้สักคำ
ฝูงชนเงียบกริบในพริบตา
เมื่อเทียบกับความตื่นตกใจของคนอื่นแล้วใบหน้าของเฟยเฟยหยางกลับยิ่งน่าเกลียดเหมือนกลืนแมลงวันลงคอ
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (1)***